เลี้ยงลูก 2025 ตอนที่ 4 คู่มือและเครื่องมือสำหรับพ่อแม่ที่ไม่รู้ว่า “ระบบที่เราอยู่” จะพร้อมในชาติไหน

จากชุดบทความ : เลี้ยงลูก 2025 ในสังคมที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อพ่อแม่ ตอนที่ 4/5

“ต้องเลือกนะ ระหว่างโปรเจกต์ใหม่กับการไปรับลูกให้ทันทุกวัน”

นี่คือคำพูดที่แม่หลายคนได้ยินในที่ทำงาน แม้ไม่ได้ยินแต่สุดท้ายบรรยากาศก็พาไปให้รู้สึกแบบนี้อยู่ดี

นั่นคือความจริงของระบบที่เราอยู่

ขณะที่เรารอให้ระบบเปลี่ยน เราอาจต้องหาวิธีเอาตัวรอดไปพลางๆ ก่อน 

Mappa รวบรวมเครื่องมือที่แม่หลายคนใช้  บางข้ออาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันช่วยให้ผ่านแต่ละวันมาได้ และเราอาจจะต้องสร้าง super power ของตัวเองไปพลางๆ ก่อน 

เครื่องมือที่ 1: รู้สิทธิของตัวเอง (แม้จะน้อยนิด แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี)

สิทธิตามกฎหมายแรงงานไทย (ข้อมูลปี 2567):

สำหรับลาคลอด แม่ได้ 98 วัน โดยได้รับเงินเดือนแบบจ่ายเต็ม 45 วัน และประกันสังคมจ่ายอีก 50% อีก 53 วัน ส่วนสิทธิลาคลอดสำหรับพ่อนั้น ในภาคเอกชนไม่มีสิทธิตามกฎหมาย แต่ภาครัฐได้ 15 วัน

สิทธิอื่นๆ ที่ควรรู้ คือห้ามเลิกจ้างพนักงานตั้งครรภ์ ห้ามให้พนักงานตั้งครรภ์ทำงาน ระหว่าง 22.00-06.00 น. ทำงานล่วงเวลา หรือวันหยุด พนักงานลาป่วยได้ 30 วัน/ปี โดยได้รับเงินเต็ม ลาพักร้อน 6 วัน/ปี และลากิจตามที่นายจ้างกำหนด เพราะไม่มีขั้นต่ำตามกฎหมาย

คำแนะนำเพิ่มเติม อ่านสัญญาจ้างให้ละเอียด เพราะบางบริษัทให้สิทธิมากกว่ากฎหมาย เก็บหลักฐานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอีเมล ใบรับรองแพทย์ หรือใบลา รู้จักสายด่วน 1506 กรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน และเช็คสิทธิประกันสังคมที่เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม

เครื่องมือที่ 2:  ศิลปะการเจรจาต่อรอง (แม้คุณไม่มีอำนาจต่อรอง)

แม่หลายคนเล่าว่า การนั่งตรงข้ามฝ่ายบุคคล หรือเจ้านายที่ต้องไปขอเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นหลังคลอดลูก เป็นความรู้สึกผิดและรู้สึกตัวเล็กแบบเลี่ยงไม่ได้

“บริษัทไม่มีนโยบายแบบนี้ค่ะ”

คือคำตอบที่ได้รับอยู่เสมอ

แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องยอมแพ้ นี่คือสิ่งที่แม่บางคนทำ:

กรอบการเจรจา 4 ขั้นตอน:

ขั้นที่ 1:  แสดงคุณค่าของตัวเอง ด้วยการรวบรวมผลงานที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าคุณมีค่ากับบริษัทแค่ไหน 

ขั้นที่ 2: เตรียมทางเลือกไว้หลายทาง เสนอทางเลือกต่างๆ เช่น ทำงานที่บ้าน 2 วัน? เริ่มงาน 7 โมง เลิก 4 โมง? หรือแบ่งงานกับเพื่อนร่วมงาน? 

ขั้นที่ 3: ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ โดยอธิบายว่าบริษัทจะได้อะไร เช่น พนักงานที่มีความสุข เท่ากับผลงานดี และลาน้อยลง 

ขั้นที่ 4 : ขอทดลองก่อน โดยขอทดลอง 3 เดือน พร้อมตัวชี้วัดผลงานชัดเจน

ตัวอย่างบทสนทนาที่ใช้ได้จริง:

“คุณ [ชื่อฝ่ายบุคคล] คะ ดิฉันอยากคุยเรื่องการปรับเวลาทำงานหลังกลับจากลาคลอด ดิฉันเข้าใจว่าบริษัทอาจไม่มีนโยบายชัดเจน แต่ดิฉันอยากเสนอแนวทางที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ค่ะ

จากผลงานที่ผ่านมา [ยกตัวอย่างผลงาน] ดิฉันมั่นใจว่าจะสามารถส่งมอบงานได้เหมือนเดิม หรืออาจจะดีกว่า ถ้าได้ความยืดหยุ่นเรื่องเวลา

ดิฉันขอเสนอ [ทางเลือกที่เตรียมมา] โดยยินดีที่จะตั้งตัวชี้วัดผลงานที่วัดผลได้ชัดเจน ทำรายงานประจำสัปดาห์ และพร้อมทบทวนผลทุก 3 เดือน เราลองทดลองกัน 3 เดือนก่อนได้ไหมคะ?”

ถ้าถูกปฏิเสธ ให้ขอบคุณที่รับฟัง ถามว่ามีทางเลือกอื่นไหม ขอเวลาคิดและกลับมาคุยใหม่ และเตรียมแผนสำรอง คือหางานใหม่ที่ยืดหยุ่นกว่า

เครื่องมือที่ 3:  สร้างหมู่บ้านของเราเอง (ไม่มีบ้านข้างเคียงเลย แต่เราสร้างใหม่ได้)

“เลี้ยงเด็กหนึ่งคนใช้คนทั้งหมู่บ้าน”  แต่เอ๊ะ! หมู่บ้านของเราอยู่ไหน?

ปู่ย่าตายายอยู่ต่างจังหวัด เพื่อนก็มีลูกมีงานของตัวเอง พี่เลี้ยงก็แสนแพง

งั้นเรามาสร้างหมู่บ้านใหม่กัน

แบบแปลนหมู่บ้านยุคใหม่

เริ่มจากหากลุ่มแม่ด้วยกัน จะเป็นแม่ในคอนโดเดียวกันหรือที่ทำงานเดียวกัน อาจจะตั้งกลุ่มไลน์ “แม่มือใหม่ช่วยรับส่งลูก” และผลัดกันรับส่งลูก และใช้พี่เลี้ยงหรือคนขับรถร่วมกัน

หรือจะเป็น หมู่บ้านออนไลน์ ก็สร้างกลุ่มเฟซบุ๊ก “คุณแม่มือใหม่ [ชื่อย่าน]” หาแอปพลิเคชันหาพี่เลี้ยง แบ่งปันคอร์สออนไลน์กัน หรือหาลูกพี่ลูกน้องที่ว่างงานมาเป็นพี่เลี้ยงชั่วคราว หรือนักศึกษามาเป็นติวเตอร์และพี่เลี้ยงเล่นกับเด็ก

วิธีขอความช่วยเหลือ (ยากที่สุด แต่สำคัญที่สุด):

แทนที่จะพูดว่า “ช่วยมาดูลูกให้หน่อย” ลองพูดว่า “พรุ่งนี้ช่วง 2-4 โมง พอมีเวลาว่างไหม อยากชวนมาเล่นกับน้อง” แทนที่จะพูดว่า “เหนื่อยมาก” ลองพูดว่า “ช่วงนี้ต้องการความช่วยเหลือเรื่อง [ระบุชัดเจน] ใครพอจะแนะนำได้บ้าง”

เครื่องมือที่ 4:  เอาตัวรอดทางการเงิน (แม้เงินน้อย แต่เราต้องรอด)

ค่าผ้าอ้อม 1,500 บาทต่อเดือน ค่านมผง 2,000 บาทต่อเดือน (ถ้าไม่ได้กินนมแม่) ค่าหมอและวัคซีน 2,000 บาทต่อเดือน ค่าพี่เลี้ยง 15,000 บาทต่อเดือน รวมๆ แล้ว สำหรับเด็กคนหนึ่งใช้เงินเพิ่ม 20,000+ บาทต่อเดือน แต่เงินเดือนไม่ได้เพิ่ม อาจจะลดด้วยซ้ำ ถ้าลาบ่อย

จัดทำงบประมาณเพื่อความอยู่รอด:

ขั้นแรก : บันทึกทุกอย่าง ใช้แอปบันทึกรายรับรายจ่าย แยกบัญชี “เงินลูก” ชัดเจน และทบทวนทุกสัปดาห์ 

ขั้นที่สอง: ซื้อของอย่างฉลาด ผ้าอ้อมซื้อยกลังตอนลดราคา เสื้อผ้าซื้อมือสองหรือรับต่อ ของเล่นทำเองหรือหมุนเวียนกับเพื่อน อาหารทำเองแล้วแช่แข็งเอาไว้ทานหลายๆ มื้อ 

ขั้นที่สาม : มองหาการสนับสนุนจากรัฐบาล ที่แม้มีน้อย คือเงินอุดหนุนเด็ก 600 บาทต่อเดือน ลดหย่อนภาษี 60,000 บาทต่อปี และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถ้าเข้าเกณฑ์ 

ขั้นที่สี่  : หารายได้เสริมสำหรับพ่อแม่ เช่น ขายของออนไลน์ตอนลูกนอน งานอิสระ เขียนบทความหรือออกแบบ สอนพิเศษออนไลน์ และขายของแบบไม่ต้องสต็อก

เงินฉุกเฉินหาจากไหน ก็มีเงินกู้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่เหลือ การกู้เงินดอกเบี้ยต่ำ จากสหกรณ์ออมทรัพย์ หรือประกันชีวิตที่กู้ได้ และขายของที่ไม่ใช้

เครื่องมือที่ 5: ปฐมพยาบาลสุขภาพจิต (เพราะแม่ที่พังช่วยใครไม่ได้)

พ่อแม่หลายคนเล่าประสบการณ์ว่า มีคืนหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องนอนมืดๆ ลูกร้องไม่หยุด รู้สึกอยากโยนทุกอย่างทิ้ง หนีไปให้ไกล

นั่นคือจุดที่รู้ว่า ต้องการความช่วยเหลือ

สัญญาณอันตราย:

ร้องไห้ทุกวันติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์ รู้สึกว่าลูกน่ารักเฉพาะตอนนอน คิดว่า “ทุกคนคงสบายกว่าถ้าไม่มีฉัน” โกรธลูกหรือสามีแบบควบคุมไม่ได้ และนอนไม่หลับแม้ลูกจะหลับ

ความช่วยเหลือทันที:

สายด่วนวิกฤต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง กลุ่มสนับสนุนหลังคลอด เช่น “พีพีดีประเทศไทย” บนเฟซบุ๊ก

ความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ:

โรงพยาบาลรามาธิบดี มีคลินิกสุขภาพจิตหลังคลอด โรงพยาบาลศิริราช มีคลินิกจิตเวชผู้หญิง และมีแอปพลิเคชันปรึกษาจิตแพทย์ออนไลน์

เทคนิคเอาตัวรอดประจำวัน:

  • การทำสมาธิแบบ 5-4-3-2-1 เมื่อรู้สึกวุ่นวายใจ หา 5 สิ่งที่เห็น 4 สิ่งที่สัมผัสได้ 3 สิ่งที่ได้ยิน 2 สิ่งที่ได้กลิ่น และ 1 สิ่งที่ได้รส
  • กฎ 15 นาที ถ้ารู้สึกจะพัง ให้ตัวเอง 15 นาที ใส่หูฟังตัดเสียงรบกวน ออกไปยืนนอกระเบียง อาบน้ำอุ่น หรือโทรหาเพื่อน
  • ลดความคาดหวัง อาหารเย็นเป็นข้าวไข่เจียวก็ได้ ลูกดูการ์ตูน 30 นาทีไม่ตาย ซักผ้า 3 วันครั้งก็ไม่เป็นไร 

เครื่องมือที่ 6: ปุ่มหยุดอาชีพชั่วคราว (หยุด ไม่ใช่จบ)

หลายคนต้องกดปุ่มหยุดอาชีพ บางคนลาออก บางคนลาโดยไม่รับเงินเดือน ถ้าต้องทำ นี่คือวิธีลดความเสียหาย

ก่อนกดปุ่มหยุด:

บันทึกทุกอย่าง รวบรวมผลงาน อัพเดทประวัติการทำงาน ขอจดหมายแนะนำ และอย่าลืมว่าเราสามารถเปิดประตูบางบานเอาไว้เผื่อเป็นประโยชน์ในอนาคต เช่น เสนอตัวเป็นที่ปรึกษา รับงานเป็นโครงการ และพิจารณาความเป็นไปได้ในการทำงานบางเวลา

รักษาการติดต่อ:

คอยอ่านข่าวสารในวงการ เรียนออนไลน์หรือฟังสัมมนาออนไลน์ สร้างเครือข่ายออนไลน์ และเป็นอาสาสมัครในสายงานที่เคยทำอยู่ อย่าทำตัวเองให้หลุดจากวงจรการทำงานไป อย่าลืมว่า กดปุ่มหยุด ไม่ใช่ปุ่มจบ

ระหว่างหยุดพัก:

สร้างทักษะผ่านหลักสูตรออนไลน์ฟรี หลักสูตรออนไลน์ราคาไม่แพง เรียนจากยูทูบ เป็นต้น

ทำโครงการย่อย เขียนบล็อก รับงานอิสระ 5-10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เป็นพี่เลี้ยงให้รุ่นน้องที่ทำงานออนไลน์ และเข้าร่วมกลุ่มแม่ในสายอาชีพเดียวกัน

บันทึกช่วงว่างงาน:

เรียกว่า “พักอาชีพเพื่อครอบครัว” ระบุทักษะที่ได้รับ เช่น การทำหลายอย่างพร้อมกัน การจัดการวิกฤต และงานอาสาสมัครหรืองานอิสระที่ทำ

แผนการกลับมา:

เริ่มสร้างเครือข่าย 3 เดือนก่อนกลับ อัพเดททักษะที่ขาดหาย ฝึกตอบคำถามสัมภาษณ์ พิจารณาโปรแกรม “กลับเข้าทำงาน” และไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องรู้สึกผิดที่เว้นช่วงที่ว่างนั้นไป

เครื่องมือที่ 7: จัดกิจวัตรประจำวันแบบที่ใช้ได้จริง

กิจวัตรตอนเช้า (สำหรับคนไม่ชอบตื่นเช้า):

เตรียมทุกอย่างในคืนก่อนหน้า เสื้อผ้าและชุดของลูกๆ แบบไม่ต้องคิดมาก อาหารเช้าแบบหยิบแล้วไป (grab & go)  

ทำงานที่บ้านพร้อมลูก:

กล่องของเล่นพิเศษ ที่เปิดเฉพาะตอนประชุมได้ผลเป็นอย่างดี เซ็ตตารางเวลาดูหน้าจอแบบไม่รู้สึกผิดถ้าต้องใช้ 

เตรียมอาหารวันอาทิตย์:

ทำอาหารครั้งเดียว กินไปเลย 3 มื้อ โดยทำใส่ตู้แช่แข็งเป็นสำรองไว้ หรือจะเป็นอาหารหม้อเดียวทานได้ทั้งวัน หรือไข่เจียวเป็นอาหารเย็นนี้ก็ได้

ระเบียบวันลูกป่วย:

มีแผนสำรอง ก, ข, ค เบอร์ฉุกเฉินในโทรศัพท์ มียาในตู้ยาให้ครบ และแอปหมอออนไลน์ให้พร้อม

เครื่องมือที่ 8:  เทคโนโลยีคือเพื่อน

แอปพลิเคชันช่วยชีวิต

อย่าใช้โทรศัพท์เพียงดูโซเชียลมีเดีย มีแอปพลิเคชั่นมากมายที่ช่วยให้การจัดการชีวิตดีขึ้น จัดการเวลาด้วยแอปจดบันทึกและแอปเตือนความจำ วางแผนอาหารด้วยแอปเมนูอาหาร หาพี่เลี้ยงด้วยแอปหาพี่เลี้ยง สุขภาพจิตด้วยแอปปรึกษาจิตแพทย์และแอปสมาธิ การเงินด้วยแอปบันทึกรายรับรายจ่าย ช็อปปิ้งด้วยแอปซูเปอร์มาร์เก็ต ส่งถึงบ้าน และดูแลสุขภาพด้วยแอปหมอออนไลน์

อ้อ! เรามี แอป Mappa สำหรับหากิจกรรรมสนุก สร้างทักษะให้กับลูกได้ด้วยนะ ไม่ต้องหากิจกรรมเอง

อุปกรณ์ที่คุ้มค่า:

หม้อหุงช้า (slow cooker) ที่สามารถเอาวัตถุดิบใส่ไปตอนเช้า แล้วกลับมาทานตอนเย็น หุ่นยนต์ดูดฝุ่น เครื่องล้างจาน สิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตดีขึ้น 200%  และอย่างลืม กล้องมอนิเตอร์ และหูฟังไร้สาย เพราะบางทีต้องประชุมไปเตรียมกับข้าวไป

เครื่องมือที่ 9: ระบบจัดการความรู้สึกผิด

ความรู้สึกผิด คือของแถมที่ได้มาตั้งแต่วันที่ลูกเกิด

สิ่งที่ทำให้รู้สึกผิดและวิธีตอบโต้:

“ลูกร้องตอนฉันทำงาน” ลูกกำลังเรียนรู้ว่าแม่มีชีวิตนอกเหนือจากเขา นั่นคือบทเรียนที่ดี 

“ฉันให้ลูกดูแท็บเล็ต” 30 นาทีของเนื้อหาที่มีประโยชน์ไม่ได้ทำลายสมองลูกขนาดนั้น

“ไม่ได้ทำอาหารเย็นเอง” ครอบครัวที่มีความสุขสำคัญกว่าอาหารทำเอง 

“ฉันอยากอยู่คนเดียว” นั่นคือความต้องการปกติของมนุษย์ ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่รักลูก

คาถาต้านความรู้สึกผิด:

“ฉันทำดีที่สุดแล้ว 

ในสถานการณ์ที่ฉันมี 

ลูกต้องการแม่ที่มีความสุข 

มากกว่าแม่ที่สมบูรณ์แบบ 

วันนี้พอแล้ว และพรุ่งนี้เป็นวันใหม่”

เครื่องมือที่ 10:  มองไกลไปข้างหน้า

หนึ่งในคุณแม่ที่ Mappa พูดคุยเล่าให้พวกเราฟังว่า จำวันที่นั่งในห้องประชุม ลูกโทรมาร้องไห้ผ่านวิดีโอคอล เจ้านายมองด้วยสายตาที่เราไม่อยากเห็นเลย 

วันนั้นเธอคิดว่า อาชีพจบแล้ว

แต่ 3 ปีผ่านไป เธอยังอยู่ที่เดิม ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้ทำโครงการที่ภูมิใจ และลูกก็โตขึ้น เข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น

บทเรียนที่ได้จากเรื่องนี้คือ มันไม่ได้ยากแบบนี้ตลอดไป ในปีแรกๆ อาจจะเป็นโหมดเอาตัวรอด จากนั้นสัก 1-3 ปี เราจะเริ่มได้จังหวะชีวิตใหม่ และเมื่อลูกอายุ 3 ปีขึ้นไป เป็นความเป็นปกติจะเป็นแบบใหม่

อาชีพกับครอบครัวไม่ใช่เกมแพ้ชนะ บางช่วงอาชีพช้าลง บางช่วงครอบครัวมีเวลาให้ครอบครัวน้อยละ แต่ไม่ใช่ชีวิตมีความสมดุลทุกวัน

และลูกของเรา พวกเขากำลังเฝ้ามองเราอยู่ เขาเห็นแม่ที่ทำงานหนัก เขาเห็นแม่ที่ไม่ยอมแพ้ เขาเห็นแม่ที่มีตัวตนอื่นๆ นอกเหนือจากการเป็นแม่

แล้วหมู่บ้านจะมาเอง อาจไม่ใช่หมู่บ้านแบบเดิม แต่คุณจะเจอคนที่เข้าใจ และพร้อมจะช่วยเหลือกัน

จาก Mappa ถึงพ่อแม่ทุกคน

ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ Mappa อยากบอกว่า…

คุณแข็งแกร่งกว่าที่คิด คุณทำได้ดีกว่าที่รู้สึก และคุณไม่ได้อยู่คนเดียว

ระบบอาจยังไม่พร้อม แต่เราพร้อมที่จะช่วยกันเอาตัวรอดไปได้

ทีละวัน ทีละก้าว ทีละลมหายใจ

และวันหนึ่ง เมื่อมองย้อนกลับไป คุณจะภูมิใจที่ผ่านมันมาได้

ในระบบที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเรา แต่เราก็ยังยืนอยู่ตรงนี้

นั่นแหละ คือพลังพิเศษที่แท้จริงของเรา

และลูกเรา เขาจะไม่ได้อายุเท่านี้ตลอดไป


ตอนต่อไป: เราจะมาดูอนาคตที่เป็นไปได้ และเราแต่ละคนจะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร เพราะการเอาตัวรอดอย่างเดียวไม่พอ เราต้องสร้างระบบที่ดีกว่าให้ลูกหลานของเรา


Writer

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts