สวัสดีค่ะคุณวีรพร
ดิฉันอายุสามสิบแปดแล้วปีนี้ มีลูกเล็กๆ อยู่คนหนึ่ง อายุห้าขวบ ตามจริงที่ผ่านมาก็เป็นครอบครัวอบอุ่นดีทุกอย่าง แต่หลังทำงานมาทั้งวัน ติดรถกลับบ้านมาทำกับข้าวแล้วยังต้องดูแลการบ้านลูก เสาร์อาทิตย์ก็ต้องเก็บกวาดทำงานบ้านและดูลูกอีก โดยที่ตลอดมาสามีไม่ช่วยเลย บางทีก็รู้สึกน้อยใจ กับเหนื่อยมาก อยากพัก อยากมีเวลาไปสปา ไปหาเพื่อนบ้างก็ไม่มี บางครั้งก็ร้องไห้ออกมาเฉยๆ เวลาลูกงอแงมากๆ ต้องทำอย่างไรดีคะ
เตย, นนทบุรี
————————————————————————————————————————
ความจริงเรื่องนี้น่าจะต้องถูกพูดคุยหารือกันตั้งแต่ตอนก่อนที่จะตัดสินใจมีลูกค่ะ
ค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนอยู่พอสมควร ขอเริ่มจากประเด็นเรื่องเกินกำลังก่อนก็แล้วกัน ในสังคมสมัยใหม่ที่ผู้หญิงต้องทำงานนอกบ้านเช่นเดียวกันกับผู้ชาย การที่พ่อจะช่วยดูแลลูกเกือบๆ จะเป็นเรื่องที่เข้าใจกันอยู่โดยแทบไม่ต้องพูดคุยกันด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นสามีในหลายประเทศโดยเฉพาะแถบเอเชียก็ยังมีทัศนคติว่าการเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของแม่คนเดียว
ไม่เพียงแค่การดูแลลูกแต่คนเดียวตามลำพังจะเป็นเรื่องเหนื่อยเกินไป มันยังเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะทำได้ดีด้วยค่ะ
เรากำลังพูดถึงการดูแลชีวิตของคนอีกคน ลูกอีกคน คนทั้งคนที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงในบ้าน เรากำลังพูดถึงคนที่เรารักมากที่สุดในชีวิต คนที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ที่เหมาะสมและเติบโตอย่างมีคุณภาพ สามีกับภรรยาต้องช่วยกันค่ะ
พ่อจำเป็นต้องช่วยเลี้ยงดูด้วยค่ะ…ไม่มากก็น้อย ไม่แค่เพื่อช่วยแบ่งเบา แต่ยังเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยทำให้ความสัมพันธ์ครอบครัวอบอุ่นและสมบูรณ์ขึ้นด้วย
หลายคู่สามีภรรยายังพบว่าการช่วยกันดูแลลูกทำให้ได้เรียนรู้กัน และรักใคร่กันมากขึ้น และเหมือนคนร่วมชีวิตกัน สามีภรรยาก็ควรจะสามารถพูดคุยเรื่องนี้กันได้เหมือนเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะก่อนที่จะตัดสินใจมีลูก ต่อให้ภายหลังมีลูกแล้ว แล้วพบว่าเหนื่อยเกินไปจากทั้งงานนอกบ้านและการดูแลลูกไปพร้อมกัน ภรรยาควรเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากสามีได้ เหมือนเพื่อน เหมือนคู่ชีวิต เหมือนบุพการีผู้ปกครองสองคน คนทำงานร่วมกันสองคนที่ต้องการผลเลิศในสิ่งที่ทำ
หากทั้งพ่อและแม่พบว่าการทำงานนอกบ้านทั้งคู่ ช่วยกันดูแลลูกอีก แล้วยังพบว่าเป็นเรื่องเหนื่อยเกินไปก็จำเป็นต้องหาทางจัดการใหม่นะคะ เพื่อให้การเลี้ยงลูกเป็นไปได้ราบรื่น สนุกและไม่กดดัน
ถ้าใครคนใดคนหนึ่งสามารถทำรายได้มากพอจะดูแลเศรษฐกิจครอบครัวได้ และอีกคนชอบที่จะเป็นแม่หรือพ่อเต็มเวลา ก็อาจพิจารณาหยุดพักความต้องการที่จะไปต่อในหน้าที่การงานสักระยะ ลาออกจากงานมาอยู่กับบ้านดูแลลูกจนกว่าลูกจะโตอีกหน่อย
กรณีนี้โปรดเข้าใจด้วยว่า จะเป็นข้างแม่หรือพ่อก็ได้ที่เลือกจะอยู่บ้านเลี้ยงลูก ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไรทั้งสิ้น นี่ไม่ใช่เรื่องใครหาเงินได้ หรือใครด้อยกว่าใคร แต่เป็นเรื่องการบริหารจัดการครอบครัว และนี่ก็โลกสมัยใหม่นานแล้ว ในประเทศอื่นๆ การที่พ่อจะออกจากงานมาเลี้ยงลูกและให้ภรรยาเป็นคนหาเงินเข้าบ้านเป็นเรื่องปกติมาก
แต่หากไม่สามารถ หรือยังคงต้องการทำงานทั้งคู่ก็ให้หาความช่วยเหลือ จากปู่ย่าตายายลุงป้าน้าอา และแน่นอน…รวมถึงจ้างพี่เลี้ยง หรือน้อยกว่านั้นคือจ้างคนมาช่วยทำงานบ้าน หรือน้อยที่สุดคือหาเครื่องจักรผ่อนแรงต่างๆ อย่างเครื่องซักผ้า เครื่องล้างจาน เพื่อลดปริมาณงานอื่นๆ ลง
อีกเรื่องที่อยากจะคุย คือความพร้อมทางด้านจิตใจของทั้งพ่อและแม่ ขอให้เข้าใจว่าการเป็นพ่อแม่อาจดูเหมือนง่ายในตอนที่ยังไม่มีลูก แต่พอมีลูกเข้าจริงๆ หลายคนกลับพบว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดไว้ โดยเฉพาะในช่วงปีแรกๆ ภาระหนักหนาสาหัส อีกอย่างที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงของการมีลูกคือความห่วงกังวล ซึ่งทำให้สูญเสียพลังมากกว่าที่คนพบจากการทำงานอื่น
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นไปได้มากเช่นกันที่พ่อหรือแม่หรือทั้งพ่อทั้งแม่อาจพบว่าไม่ชอบเลี้ยงเด็ก ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนสูง แต่ในเมื่อมีลูกแล้ว จะทำอย่างไรได้…นอกจากดูแลการเติบโตของเขาให้ดีที่สุด
หาวิธีค่ะ คุยกันค่ะ ขอให้คุยกันอย่างคู่รักเหมือนเคยคุยก่อนแต่งงาน ก่อนจะมีลูก คุยกันอย่างนุ่มนวล อ่อนโยน ไม่กล่าวหากล่าวโทษกัน ไม่โยนภาระให้กัน มองหาความเป็นไปได้ที่ดีที่สุด มองดูชีวิตคู่ชีวิตครอบครัวที่คุณมีร่วมกัน มองดูลูกที่คุณนำมาสู่โลกว่าคุณอยากเห็นอนาคตเขาเป็นแบบไหน และเขาต้องการอะไรบ้างที่จะไปถึงตรงนั้น ค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ จัดค่ะ