สวัสดีค่ะ
มีเรื่องอยากปรึกษาพี่แหม่มค่ะ เรื่องนี้เป็นปัญหาคาใจที่เราเจอมาตั้งแต่สมัยเรียน จนตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่ มีลูกแล้วก็ยังโดนอยู่ คือการถูกคนอื่นลอกเลียนแบบสไตล์ของเราเอง (หรือน่าจะเรียกว่า copycat) นับรวมล่าสุดตอนนี้ก็ 5 – 6 ครั้งได้
ที่ผ่านมาเรารู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร เป็น introvert ที่ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย ไม่สุงสิงกับใครถ้าไม่จำเป็น เหมือนแมวที่นั่งอยู่เงียบๆ ก็ไม่มีใครมองเห็น ทั้งชีวิตมี 4 อย่างที่เรียกว่าเป็นความสุขส่วนตัว คือการตัดผมสั้น อ่านหนังสือ ฟังเพลง และกินกาแฟ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องพื้นๆ มากๆๆๆๆ แบบที่มันไม่น่าจะเป็นต้นแบบให้ใครได้ รวมทั้งเรื่องการเลี้ยงลูกที่เราชิลมาก คือมีลูกเล็ก แต่สามารถสนุกกับการใช้เวลาของตัวเองไปพร้อมกับลูกได้ มีความแกงกันไปมาระหว่างแม่ลูกอย่างสนุกสนาน มีเรื่องแม่ๆ ลูกๆ บ้าๆ บอๆ มาเล่าในสเตตัสบ่อยๆ ลูกก็ไม่ค่อยงอแงอาละวาด คือไม่ได้รู้สึกว่าฉันเลิศ ฉันคูลอะไรเลย แค่ใช้ชีวิตของตัวเอง
แต่ที่ผ่านมา ดันโดนคนใกล้ชิดก็อปสไตล์ยันดีเทล อย่างเช่น ผมทรงเดียวกันเป๊ะ อ่านหนังสือตอนกินข้าว อ่านหนังสือในร้านกาแฟ แม้กระทั่งสเตตัสเล่าเรื่องลูกยังโดนลอกเลย เปลี่ยนแค่ตัวละคร โครงสร้างการเล่าเรื่อง เส้นเรื่องเหมือนกันเป๊ะ
ที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าก็คือ พอเจอคู่แฝดตัวเองแบบก็อปเกรดบี ถึงแม้ภายนอกเขาจะเหมือนเรา แต่เราดูออกว่าเขาไม่ได้อินสิ่งนั้นจริงๆ ก็ยิ่งเศร้าไปใหญ่ หนังสือดีๆ กาแฟดีๆ มันควรได้รับการบริโภคแบบอินจริงๆ มากกว่าจะเป็นแค่เครื่องประดับเอาไว้โชว์ว่าฉันมีความสุขนะจ๊ะ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เรารู้ว่าไม่ต้องใส่ใจคนพวกนี้ก็ได้ เขาแค่ insecure หรืออยากจะมีความสุข และต้องการหาต้นแบบที่ดูมีความสุขง่ายๆ แต่ด้วยความที่เราไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับชีวิต การก็อปสไตล์แบบนี้มันทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย เหมือนโดน stalker เลยค่ะ ยิ่งคนที่ก็อปเราเป็นคนที่ดูเหนือกว่าเราทุกอย่าง ทั้งหน้าตา สถานะทางสังคม ครอบครัว การเงิน เราก็ยิ่งงงว่าเขาจะมาเดินตามคนที่ไม่มีอะไรอย่างเราทำไม
ที่เล่ามาทั้งหมดก็อยากจะรบกวนพี่แหม่มช่วยวิเคราะห์หน่อยว่าคนที่ชอบเลียนแบบคนอื่นเขาเป็นอะไร แล้วทำไมเราต้องเจออะไรแบบนี้บ่อยๆ อาจจะไม่ใช่คำถามที่มีสาระเท่าไหร่ และไม่ใช่ปัญหาหนักเลยด้วย แต่อยากได้ใครสักคนมาให้คำตอบที่เป็นเหตุเป็นผล เพื่อทำความเข้าใจคนพวกนี้ และทำให้ใจเราสงบขึ้นหน่อยค่ะ
พี (นามสมมติ), กรุงเทพฯ
……….
คุณพีต้องเข้าใจก่อนค่ะว่าเราอยู่ประเทศที่ผิวเผิน เรื่องนี้เคยพูดในหลายที่หลายโอกาสมาก่อนแล้ว คือเราไม่เคยถูกสอนว่าความชอบคืออะไร เราไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนคนหนึ่งชอบและไม่ชอบอะไร หรือเพราะอะไร โดยเฉพาะเด็กๆ ทั้งๆ ที่มันเป็นคำถามที่จะพาเราลงลึกไปสู่แก่นสารของคนคนหนึ่งและสิ่งต่างๆ มากมาย
เราถูกสอนและสอนเด็กๆ ว่านี่ดี นี่ไม่ดี และการดีไม่ดีนั่นก็ยังมองอย่างฉาบฉวย ดีงี้ๆ ไม่ดีงี้ๆ บอกว่าดีก็เชื่อสิว่าดี บอกไม่ดีก็ไม่พูดถึงลึกลงไปว่าไม่ดีอย่างไร ยิ่งแนวคิดแบบทุกอย่างมีดีและไม่ดีในตัวเองยิ่งไม่พูดถึง อะไรดีก็ดีพิสุทธิ์ อะไรเลวก็เลวบริสุทธิ์ ขาวจัดดำจัด ไม่มีสิ่งที่ดีนิดๆ ไม่ดีหน่อยๆ หรือเฉดเทาต่างระดับต่างๆ ตรงกลาง ไม่มีการพิเคราะห์ลงลึก ยิ่งกว่านั้นเรายังอ่านน้อยมาก
สรุปสั้นๆ เราเป็นประชากรแบนๆ คับแคบ และตัดสินทุกอย่างอย่างเปลือกๆ นำมาซึ่งนิสัยไม่ดีอื่นๆ อย่างหน้าไหว้หลังหลอก หรือขี้โอ่ ขี้อวด ขี้เกทับ ขี้บลัฟ ขี้ปด ปลอม และขี้ลอกเลียน
นั่นประการหนึ่ง
อีกประการ เรายังเป็นประเทศที่ค่อนข้างแล้งแรงบันดาลใจ ทั้งฮีโร่และไอดอลมีก็ไม่มาก มิหนำซ้ำยังปลอมๆ ดังข้างต้นที่ว่ามาอีก ผู้คนก็ไม่สนใจอะไรมาก ดาราคนนี้เก๋ก็ทำผมทรงเดียวกับเขา ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกับเขา จะเข้ากับรูปร่างหน้าตาตัวเองหรืองานการหรือไม่ก็ไม่ได้สนใจ คนนี้เขาว่าเก่งก็คอยจำๆ คำพูดของเขามาใส่ปากตัวเองพูดต่อ มีไลฟ์โค้ชซึ่งเป็นใครไม่รู้มาเอาเงินเราไปเพื่อบอกเราว่าต้องคิดงี้พูดงี้ โดยไม่สนใจพื้นฐานความเป็นเราด้วยซ้ำ ก็ยังไปเชื่อเขาเอาเงินไปให้เขา แล้วเขาก็แค่เก็บคำคมของใครต่อใครมาเรียงต่อเป็นประโยคของตัวเองทำมาหากินได้ โด่งดังมีคนนับถือก็มาก แล้วก็อย่างที่ว่าผู้คนก็อ่านน้อยอ่านจนไม่ค่อยรู้ว่าใคร ใครก็อปคำพูดใครมา
คุณบอกว่าคุณไม่ได้คูลอะไร ฉันก็แค่ใช้ชีวิตของตัวเอง แค่ใช้ชีวิตของตัวเองนั่นแหละค่ะ ยิ่งน่าก็อป คนส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องมีชีวิตของตัวเอง หรือชีวิตของตัวเองคืออะไร คุณอ่านหนังสือด้วย นั่นไง คุณถึงแตกต่าง ไม่เหมือนใคร และแน่นอน…น่าสนใจ เหมือนมีอะไร แต่เขาไม่อ่านหนังสือไงคะ เขาไม่รู้หรอกว่าอะไร แถมเขาก็ไม่เห็นตอนคุณนั่งอ่าน หรืออาจจะเห็น แต่เขาไม่ถูกสอนให้เข้าใจแก่นสารของการอ่าน เขาไม่รู้จริงๆ ว่ากว่าจะมาเป็นผู้หญิงที่สามารถเลือกใช้ชีวิตของตัวเองได้มันลึกซึ้งและผ่านความเข้าใจในสารพัดเรื่องหลากหลายมิติมาแค่ไหน แล้วเขาก็พอใจแค่ที่เห็นแค่นั้นเอง แค่คล้ายๆ เหมือนๆ ดูเผินๆ ก็โอเคพอใจ
ที่แน่ๆ คือเขาไม่ชอบตัวเอง นี่เป็นเรื่องน่าสะเทือนใจ น่าสะเทือนใจพอๆ กับไม่สามารถอยู่กับความไม่ชอบตัวเอง หรือคิดได้กระทั่งว่าต้องแสวงหาอะไรสักอย่างที่จะทำให้ตัวเองน่าชื่นชอบขึ้น กระทั่งสำหรับตัวเอง
ไม่ง่ายค่ะ บอกเลย คนอื่นๆ มีชีวิตที่ยากกว่าที่คุณจะเข้าใจ ในสังคมที่บอกคนว่าต้องกล้าเป็นตัวเองแต่บูลลี่ทุกเรื่อง สังคมที่บอกว่าคนต้องกล้าแสดงออกแต่พอพูดไม่กี่คำก็กลายเป็นคนที่สังคมระแวง ไม่กล้าไว้ใจ ให้ความสนิทสนมไป เราเป็นสังคมที่ย้อนแย้งที่สุดในโลก และแน่นนอนนั่นก็ทำให้ทุกอย่างอลหม่านไปหมด
อย่าสนใจใครมากค่ะคุณพี คุณมีชีวิตที่ดีพอจะเป็นตัวอย่าง เป็นคนที่มีคนชื่นชมพอที่จะเลียนแบบ ยินดีด้วยมากๆ กรุณาอย่าไปเคืองเขา อ่อนโยนกับเขาค่ะ ดีจังที่เขาเห็นคุณเป็นแม่แบบ หากมีโอกาสก็บอกเขานัยๆ ว่าคุณอ่านเยอะ เผื่อเขาจะเลียนแบบและลงลึกได้มากขึ้น ถึงตอนนั้นเขาจะได้เป็นตัวเขาเสียที
แล้วอีกอย่าง คนเหล่านี้ฉาบฉวย หากเขายังฉาบฉวยต่อไปสักพักเขาก็จะไปถูกตาต้องใจคนอื่นใหม่ๆ อีก เพราะเขาไม่ลงลึกกับอะไร เขาพร้อมจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดแหละ ไม่นานเขาก็จะเลิกเป็นคุณ กลายเป็นคนอื่นอีก ไปเรื่อยๆๆๆ
หมายเหตุ : ใครอยากถาม อยากเล่า อะไร พี่แหม่ม แม่แหม่ม หรือป้าแหม่ม สามารถส่งและหรือเล่ามาได้ที่กล่องข้อความของเพจเฟซบุ๊ค mappa หรือ อีเมล์ mappalearning@gmail.com ทีมงานจะรวบรวมนำไปเป็นวัตถุดิบสำคัญแล้วส่งต่อให้พี่แหม่มค่ะ เพราะคอลัมน์นี้ตั้งต้นจากผู้อ่านไม่ใช่ผู้เขียน |