“เธอยังเป็นสลิ่มอยู่ปะ” บทสนทนาระหว่างคนเคยรัก ใน Cloud Cuckoo Country

  • Cloud Cuckoo Country ภาพยนตร์ไทยว่าด้วยคู่รักไร้ชื่อ ที่เลิกรากันไปเพราะความเห็นต่างทางการเมือง และกลับมาพบกันอีกครั้งโดยบังเอิญ หลังจากเวลาผ่านไป 10 ปี
  • บทสนทนาของทั้งคู่เกิดขึ้นขณะเดินไปด้วยกันในสถานที่ต่างๆ ในย่านพระนคร สะท้อนถึงปัญหาทางการเมือง ที่คนที่มีจุดยืนทางการเมืองแตกต่างกันไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นปกติ
  • หลังจากถกเถียงกันอยู่พักใหญ่ ทั้งคู่ต่างแยกย้ายไปคนละทาง ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังไม่มีจุดจบ

Cloud Cuckoo Country เป็นภาพยนตร์ไทยที่ไม่ได้ตั้งใจฉายในไทย เขียนบทและกำกับโดย เอมอัยย์ พลพิทักษ์ นำแสดงโดย เฌอเอม-ชญาธนุส ศรทัตต์ และ นัตตี้-นันทนัท ฐกัดกุล ถูกฉายในเทศกาลภาพยนตร์ Osaka Asian Film Festival 2022 และอีกหลายประเทศ ล่าสุดฉายในหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ในฐานะงานศิลปะ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา 

เราสะดุดตากับชื่อ Cloud Cuckoo Country ประเทศของนกกาเหว่าเมฆซึ่งหมายถึงดินแดนอุดมคติที่สมบูรณ์แบบเกินจริง และผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนนั้นก็ “ไร้เดียงสา” เกินกว่าจะมองเห็นความเป็นจริง และลักษณะเช่นนี้ได้ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้

ภาพยนตร์เล่าเรื่องความรัก รัฐบาล การเมือง ผ่านบทสนทนาแสบ ๆ คัน ๆ ขณะที่ตัวละครเดินไปตามสถานที่ต่างๆ บนเกาะรัตนโกสินทร์ พื้นที่ที่สะท้อนถึง “ราก” ของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย  และระหว่างการสนทนา เราก็มองเห็นการต่อสู้กันของสองมุมมองที่พยายามยืนยันว่าสิ่งที่ตนเชื่อนั้นใช่

“เธอนี่ก็เชื่อสุดใจเลยเนอะว่าตัวเองมีเหตุผลเป็นเครื่องมือ และกำลังสู้อยู่กับอีกฝั่งที่เขามีแค่ความเชื่อ” 

ฝ่ายหนึ่งพูด เธอเป็นสายอนุรักษ์นิยมที่ไม่เชื่อเท่าไรนักว่าการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

“เธอกลายเป็นคนที่ไม่สนใจปัญหาอะไรเลย” 

อีกฝ่ายหนึ่งตอบ เธอเป็นนักข่าวหัวก้าวหน้าที่เชื่อว่าประเทศควรดีกว่านี้ และจะดีกว่านี้ได้ 

ชุดกระโปรงสีหวานโทนร้อนกับเสื้อเชิ้ตกางเกงทะมัดทะแมงโทนเย็น ไม่เข้ากันแม้กระทั่งทัศนคติและการแต่งกาย

ตัวละครทั้งสองที่แตกต่างกันทุกด้านอย่างสุดขั้ว คือเศษเสี้ยวจากความผุพังของรัฐบาลและความสัมพันธ์ที่เคยสมหวังแต่แตกสลาย 

ทั้งอัดอั้นและพรั่งพรู หลบซ่อนและเปิดเผย ยึดมั่นและกังขา เห็นการยืนหยัดในความเชื่อและความรู้สึกที่มีต่อความรักและการเมือง โดยไม่ได้ผสมสีตีตราว่าความคิดชุดใดถูกหรือผิด 
หนังพยายามพูดการเมืองอย่างจริงใจ ตรงไปตรงมา และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเอามาก ๆ

ตัวละครเรื่องนี้ไม่มีชื่อ เพราะพวกเธอสามารถเป็นใครก็ได้ในชีวิตเรา 

บางครั้งในฐานะผู้ชมเราเห็นตัวเองในนั้น เห็นเพื่อน พ่อแม่ ครูประถม ป้าแถวบ้าน หรือแม้กระทั่งดาราที่ชอบ อยู่ในเสี้ยวหนึ่งของบทสนทนาเสมอ มุมมองและทัศนคติของตัวละครมันเชื่อมสัมพันธ์กับคนในชีวิตจริง ทุกคนสามารถเป็นได้ทั้ง ‘เธอคนที่อนุรักษ์นิยม’ และ ‘เธอคนที่หัวก้าวหน้า’ ในคราวเดียว หลายครั้งความรู้สึกมันก็ไม่เลือกข้าง

ความจริงบนความไม่จริงบางอย่างถูกถ่ายทอดออกมาผ่านภาพ ตัวละครพูดถึงชีวิต ผู้คน ความรัก ครอบครัว การเมือง พูดในสิ่งที่มันไหลวนอยู่ในชีวิตประจำวันเรา แต่กลับเลือกใช้ฉากที่ไม่เห็นบุคคลแวดล้อมอื่นเลยนอกจากตัวหลัก เหมือนทำสงครามกันด้วยคำพูด แต่สู้กันบนแบ็กกราวด์มินิมอลสะอาดตา ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถเห็นภาพเหล่านี้ได้ในชีวิตจริง

“ถ้าตอนนี้เรายังคบกันจะเป็นไง”

ลึก ๆ พวกเธอก็แอบคิดถึงความเป็นไปได้ของโอกาสในการรักกัน แม้ในวันทัศนคติขัดแย้ง

“เราจะไม่คบกันจนถึงวันนี้หรอก” เธออีกคนตอบ

หลายอย่างเปลี่ยนไปก็จริง แต่ปัญหาคือสิ่งที่มันคงอยู่ เอาเข้าจริงพวกเธอต่างก็ปรารถนาความเข้าอกเข้าใจจากอีกฝ่าย แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น

ดังนั้นการกลับมาเจอกันแบบไม่ได้คาดคิด มันจึงทำงานกับความรู้สึกของทั้งคู่ทำให้ต้องกลับมาสำรวจและรื้อฟื้นถึงอารมณ์และความสงสัยที่คั่งค้าง ซึ่งบ้างปล่อยไว้ บ้างก็แก้ไข

เช่นรสชาติไอศกรีมที่โปรดปราน ความปรารถนาในวัยเยาว์ ชุดเจ้าสาวในแบบที่ฝัน

เล่าปัจจุบันในพื้นที่ที่สะสมอดีต พูดถึงอนาคตในวันที่ไม่มีกันอยู่ในนั้น

ท้ายที่สุดก็ต้องร่ำลากันไปตามอุดมการณ์ของตัวเอง

“เธอเลือกแต่ความถูกต้อง ไม่เลือกความรัก”
“ส่วนเธอก็เลือกแต่ความรัก ไม่เคยเลือกความถูกต้อง”

ไม่เคยมีคำตอบไหนถูกผิด นั่นคือสิ่งที่หนังบอกเรา


Writer

Avatar photo

อรญา ศรีสังวาลย์

คนเจนซีที่เชื่อว่าบ้านเมืองจะดีกว่านี้ได้ หลงใหลในการทอดไข่และก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่ถั่วงอก มีความสุขทุกครั้งที่กินหวาน ตัดผม และเห็นคนบังเอิญใส่เสื้อสีแมทช์กัน

Illustrator

Avatar photo

ลักษิกา บรรพพงศ์

กราฟิกดีไซน์เนอร์ที่เกิดและเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจเพลงเด็ก ติดซีรีส์ ชอบร้องเพลง ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และเป็นทาสแมว

Related Posts