ตอนที่ 2: ปรัชญาของหนังสือภาพญี่ปุ่น 

แม้หนังสือภาพญี่ปุ่นจะมีรูปแบบหลากหลาย ทั้งสีสันจัดจ้านหรือเรียบนิ่งเหมือนห้องชงชา แต่สิ่งหนึ่งที่แทบทุกเล่มมีร่วมกันคือ “ความไว้ใจกันระหว่างผู้สร้างสรรค์หนังสือภาพกับผู้อ่าน” เป็นความเชื่อว่าผู้อ่าน ซึ่งก็รวมเด็กอยู่ในนั้นด้วย ไม่ใช่ภาชนะว่างเปล่าที่รอให้ใครเอาความรู้หรือคำสอนมาเติม แต่เป็นมนุษย์ที่มีความสามารถในการรู้สึก มองเห็น และตีความโลกตามแบบของตนเอง

นี่คือหัวใจของหนังสือภาพญี่ปุ่น และเป็นสิ่งที่ทำให้ผลงานจำนวนมากยังคงอยู่เหนือกาลเวลาเพราะมันไม่ได้สอนเด็กว่าต้องคิดอย่างไร แต่เปิดพื้นที่ให้เด็ก “คิดด้วยตัวเอง”

ภาพ คือคำเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตรให้เด็กสร้างความหมายของตัวเอง

ภาพที่ไม่บอกความหมาย คือคำเชื้อเชิญอย่างเป็นมิตรให้เด็กสร้างความหมายของตัวเอง ซึ่งเป็นคำเชิญที่วัฒนธรรมญี่ปุ่นให้ความสำคัญมาตลอด เด็กไม่ถูกเร่งให้ “เข้าใจให้ถูก” เท่ากับถูกเชื้อเชิญให้ “รู้สึกให้พอ” หนังสือภาพจำนวนมากจากญี่ปุ่นจึงเลือกใช้ภาษาน้อย บางครั้งน้อยจนผู้ใหญ่รู้สึกเหมือนถูกท้าทายเสียเอง สีหน้าตัวละครที่แทบไม่ขยับ องค์ประกอบภาพที่ปล่อยให้ “ที่ว่าง” ทำงานแทนคำบรรยาย ทั้งหมดนี้คือการสื่อสารแบบที่เชื่อว่าความเงียบไม่ใช่ช่องว่าง แต่เป็นพื้นที่ให้ความคิดของผู้อ่านได้ทำงาน

ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ความหมายไม่ได้ถูกยื่นให้ตรง ๆ พื้นที่เล็ก ๆ อย่างโทโคโนะมะในบ้าน ล้วนเป็นการจัดวางภาพหรือวัตถุที่มิได้ประกาศความหมาย แต่เชื้อเชิญให้ผู้มองเติมบางอย่างจากภายในตัวเอง ชิ้นส่วนทางสุนทรียะเหล่านี้จึงกลายเป็นสิ่งที่ฝังเป็นวัฒนธรรมว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับภาพไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายคั่นกลางเสมอไป

เมื่อไม่มีคำบอก เด็กต้อง
มอง
หยุด
คิด
และค่อย ๆ ให้ความรู้สึกพาไปสู่ความหมาย

นี่คือกระบวนการอ่านภาพ การอ่านที่ไม่กลัวผิด เพราะไม่มีคำว่า “ผิด” อยู่ตั้งแต่แรก มีแต่สิ่งที่รู้สึก และสิ่งที่ภาพสะท้อนกลับเข้ามาในใจของผู้มอง ในสายตาของคนญี่ปุ่น นี่ไม่ใช่การปล่อยเด็กให้อยู่กับความงุนงง แต่คือการวางใจอย่างลึกซึ้งว่าเด็กสามารถเดินไปกับความไม่ชัดเจนได้ ความคลุมเครือนั้นเองที่เป็นสนามฝึกทักษะภายใน การสังเกต การทนอยู่กับความไม่แน่นอน การค่อย ๆ รับรู้รสของโลกก่อนจะรีบหาคำตอบ

ทักษะแบบนี้สะท้อนอยู่ทุกหนแห่งตั้งแต่หนังสือภาพคลาสสิกของญี่ปุ่นจนถึงงานร่วมสมัย ภาพจำนวนมากไม่ได้ตั้งใจให้เด็ก “เข้าใจเรื่อง” เท่ากับตั้งใจให้เด็ก “ได้ยินตัวเอง” ขณะอ่าน เมื่อเรื่องราวเงียบลง เสียงของเด็กจะดังขึ้น และนั่นคือประสบการณ์ที่หนังสือภาพญี่ปุ่นพยายามสร้างมานานหลายทศวรรษ ประสบการณ์ของการได้เป็นเจ้าของความหมายโดยไม่ต้องมีใครอนุมัติ

ในโลกจริง ไม่มีใครบอกเราทุกครั้งว่าภาพตรงหน้าควรรู้สึกอย่างไร ไม่มีพาดหัวช่วยตีความ ไม่มีคำอธิบายท้ายเล่ม การเดินทางผ่านความคลุมเครืออย่างไม่ตื่นตระหนกจึงเป็นทักษะสำคัญของมนุษย์ และเป็นทักษะที่หนังสือภาพญี่ปุ่นสอนเด็กได้อย่างเงียบงามที่สุด

เพราะเมื่อเรายอมให้เด็กตีความโลกด้วยถ้อยคำของตัวเอง เราก็ยอมให้เขาเติบโตด้วยตัวเองเช่นกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างภาพกับสมอง: การคิดที่เริ่มจากความรู้สึก

ความสัมพันธ์ระหว่างภาพกับสมองคือบทสนทนาที่เริ่มต้นจากความรู้สึก มากกว่าความเข้าใจ เมื่อเด็กต้องตีความภาพด้วยตัวเอง สมองไม่ได้ทำงานเพียงส่วนที่ใช้มองเห็น แต่เป็นการเชื่อมโยงหลายเครือข่ายพร้อมกัน ส่วนที่ประมวลอารมณ์ ส่วนที่เก็บความทรงจำ ส่วนที่จินตนาการถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และส่วนที่ค่อย ๆ เดาว่าภาพนี้อาจนำไปสู่เรื่องราวแบบไหน กระบวนการที่เชื่อมต่อหลากหลายมิติในสมองเช่นนี้ เรียกว่า neural integration  ซึ่งจริง ๆ แล้วคือทักษะของการก่อประกอบโลกภายในขึ้นมาทีละชิ้น จากข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่ภาพยื่นให้

ภาพที่ไม่บอกความหมายจึงไม่ใช่การทิ้งภาระให้เด็ก แต่คือการมอบสนามทดลองภายในที่ปลอดภัยและไม่ตัดสิน เด็กจึงเริ่มตั้งคำถามเล็ก ๆ แต่สำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโต
เพราะอะไรตัวละครถึงยืนห่างกัน?
เพราะอะไรท้องฟ้าถึงสีนี้?
เพราะอะไรประตูนี้เปิดไว้เพียงครึ่งหนึ่ง?

คำถามเหล่านี้ไม่ใช่ความสงสัยเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเท่านั้น แต่คือการหัด “อ่านอารมณ์” ผ่านสัญลักษณ์ที่นุ่มนวล เด็กเรียนรู้ว่าความห่างระหว่างคนสองคนอาจบอกถึงความรู้สึกที่พูดไม่ได้ สีของท้องฟ้าอาจคืออารมณ์ของวันหนึ่ง ประตูที่เปิดครึ่งเดียวอาจแปลว่ามีบางอย่างพร้อมจะเผยตัว หรือบางอย่างกำลังจะถูกปิดทิ้งไว้ สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้คือแบบฝึกหัดของความฉลาดทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องท่องจำ ไม่มีนิยาม ไม่มีตัวเลือก A B C มีเพียงภาพที่ค่อย ๆ เชื้อเชิญให้เด็กรู้จักโลกภายในของตัวเองก่อนจะเรียนรู้โลกภายนอก

และนี่คือเหตุผลที่วัฒนธรรมภาพของญี่ปุ่นซึ่งให้ความสำคัญกับ “ที่ว่าง” และ “นัยที่ไม่พูดตรง ๆ” สอดคล้องกับการพัฒนาสมองของเด็ก ภาพที่เว้นว่างบางส่วนออกไป ไม่ใช่เพราะประหยัดรายละเอียด แต่เพื่อให้เด็กเติมความหมายของตนเองลงไปในพื้นที่นั้น ความหมายที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ “คำตอบของเรื่อง” แต่คือ “เสียงสะท้อนจากสมองและการตีความ” ที่เด็กได้พบในตัวเอง สมองของเขาถูกฝึกให้ประสานข้อมูลหลายมิติแบบเดียวกับที่ชีวิตจริงจะเรียกร้องจากเขาในวันที่เติบโตขึ้น

เมื่อเด็กฝึกอ่านอารมณ์จากภาพ เขาก็กำลังเรียนรู้วิธีอ่านอารมณ์ของผู้คนในชีวิตจริงไปพร้อมกัน โดยไม่มีใครบอกว่า “คำตอบที่ถูกต้องคืออะไร” และบางที นี่อาจเป็นทักษะสำคัญที่สุดที่หนังสือภาพจะมอบให้มนุษย์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งได้

ความต่างของหนังสือที่ “เปิด” กับหนังสือที่ “ปิด”

ความต่างระหว่าง “หนังสือที่เปิด” กับ “หนังสือที่ปิด” ไม่ได้วัดกันที่จำนวนคำ หรือสไตล์ภาพ แต่ที่ความตั้งใจลึก ๆ ว่าผู้เขียนต้องการให้เด็กค้นพบอะไรในตัวเอง ระหว่างที่อ่าน

หนังสือที่ “เปิด” แบบที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญนั้น เปิดทางให้ความหมายเกิดขึ้นระหว่างทาง มากกว่าจะปิดประตูตั้งแต่ต้นว่า “เรื่องนี้ควรรู้สึกอย่างไร” ภาพที่เว้นว่าง ตัวละครที่ไม่พูดทุกอย่างออกมา และโครงสร้างที่ไม่ได้สรุปบทเรียนให้ชัด ล้วนทำหน้าที่เหมือนลมหายใจลึก ๆยาว ๆ ที่ให้เด็กคิดก่อนตอบ และรู้สึกก่อนสรุป เด็กจึงได้ฝึก divergent thinking หรือ การคิดสร้างสรรค์ที่เปิดกว้างและไม่จำกัด ซึ่งเป็นทักษะของการมองเห็นความเป็นไปได้หลายแบบในเรื่องเดียว มองภาพหนึ่งแล้วไม่รีบต้องรู้คำตอบ มองสถานการณ์หนึ่งแล้วไม่รีบต้องตัดสินใจว่าอะไรถูกหรือผิดทันที ทักษะนี้ฟังดูนุ่มนวล แต่สำคัญต่อชีวิตในยุคที่โลกไม่ได้ทำงานแบบโจทย์คณิตศาสตร์ที่มีคำตอบตายตัว

ในทางตรงกันข้าม หนังสือที่ “ปิด” คือหนังสือที่บอกเด็กว่าภาพนี้หมายถึงอะไร ตัวละครกำลังรู้สึกแบบไหน และบทเรียนคืออะไร เด็กจึงได้ฝึกการจัดระเบียบข้อมูลเพื่อหาคำตอบเดียวที่ถูกต้องตามเจตนาผู้เขียน หนังสือแบบนี้ให้ความชัดเจน ใช้สอนได้ตรงประเด็น เข้าใจง่าย และมีประโยชน์ในหลายสถานการณ์ โดยเฉพาะเมื่อต้องการสร้างกรอบความรู้พื้นฐานหรือช่วยให้เด็กเข้าใจสิ่งใหม่ ๆ อย่างไม่สับสน แต่ความชัดเจนนี้มีราคาของมัน นั่นคือการปิดประตูให้การตีความส่วนตัวของเด็กยังไม่ทันได้เริ่ม

ทั้งสองแบบไม่มีอะไรผิด เพราะเป็นการพัฒนา “กล้ามเนื้อคนละมัด” หนังสือแบบปิดให้ความมั่นคงทางข้อมูล หนังสือแบบเปิดให้เสรีภาพกับกระบวนการคิด แต่เมื่อโลกจริงเต็มไปด้วยความคลุมเครือ ข้อมูลที่ขัดแย้งกัน และเรื่องราวที่ไม่มีใครสรุปให้ ความสามารถในการอยู่กับ “พื้นที่ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์” จึงกลายเป็นทักษะสำคัญที่สุดข้อหนึ่งของมนุษย์

และนี่เองที่หนังสือภาพญี่ปุ่นมอบให้เด็ก พื้นที่เล็ก ๆ คล้ายโทโคโนมะ มุมที่เหมือนจะว่าง แต่จริง ๆ เต็มไปด้วยความหมายที่รอให้ผู้อ่านค้นพบ พื้นที่ที่บอกเด็กอย่างสุภาพว่า “เธอคิดได้เองนะ” พื้นที่ที่ยอมรับว่าความหมายของโลกไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกบ้าน ทุกคน หรือทุกวัย

พื้นที่เช่นนี้ไม่ได้สร้างแค่ทักษะการคิด แต่ปลูกฝังความไวต่อความรู้สึกละเอียดอ่อน ความสามารถในการฟังสิ่งที่ไม่ได้ถูกพูด ความอ่อนโยนต่อความคลุมเครือ และความกล้าที่จะตีความโลกด้วยสายตาของตัวเองโดยไม่ต้องมีใครบอกว่าถูกหรือผิด ความหมายที่เด็กเติมลงไปจึงไม่ใช่คำตอบของเรื่อง แต่เป็นส่วนหนึ่งของตัวเขาเองที่กำลังเติบโต

บางที คำตอบสำหรับคำถามว่า “เด็กต้องการอะไรเพื่อเติบโตเป็นมนุษย์ที่คิดได้เอง?” อาจเรียบง่ายจนเรามองข้ามไป พวกเขาต้องการแค่พื้นที่ พื้นที่เล็ก ๆ ในหน้าหนังสือ ที่ความหมายยังเป็นเพียงร่องรอย พื้นที่ที่อนุญาตให้โลกภายในของเด็กค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราบอกให้เป็น พื้นที่ที่ผู้ใหญ่ยอมถอยหนึ่งก้าว เพื่อให้จินตนาการของเด็กได้ก้าวเข้ามาแทนที่อย่างเงียบงาม

การอ่านภาพ คือการได้รู้จักตัวเองผ่านสิ่งที่เรา “เห็น” มากกว่า “ถูกบอกให้เห็น”

การอ่านภาพคือการได้รู้จักตัวเองผ่านสิ่งที่เรา “เห็น” มากกว่าสิ่งที่เรา “ถูกบอกให้เห็น” เพราะทันทีที่ไม่มีใครอธิบายภาพแทนเรา โลกภายในก็เริ่มทำงาน เด็กต้องหันกลับไปฟังเสียงเล็ก ๆ ของตนเองที่บอกว่า “ฉันเห็นแบบนี้นะ” ก่อนที่จะมองหาเสียงจากภายนอกว่า “ควรเห็นแบบไหน” การอ่านภาพจึงเป็นกระบวนการที่เป็นปัจเจก เป็นพื้นที่ที่ความรู้สึกเดินนำความหมาย และความหมายเกิดจากการรับฟังตัวเองอย่างซื่อตรงมากกว่าการหาคำตอบที่ถูกต้องตามแบบเรียน

นี่คือความงดงามของหนังสือภาพญี่ปุ่น ไม่ใช่เพราะภาพสวย หรือเพราะโครงเรื่องพิเศษ แต่เพราะมันวางใจในมนุษย์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งอย่างจริงใจ  เชื่อว่าความรู้สึกของเด็กมีน้ำหนักมากพอที่จะเป็นจุดตั้งต้นของการตีความ และเชื่อว่าการเรียนรู้ที่ดีที่สุดเริ่มจากข้างใน ก่อนจะขยายออกไปสู่โลกภายนอก ความเชื่อเช่นนี้ดูเบาราวกับไม่มีอะไร แต่จริง ๆ แล้วคือหนึ่งในรากฐานสำคัญที่สุดของความเป็นมนุษย์ที่มั่นคง ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ตัวเองอย่างไม่เกรงกลัว

บางทีนี่จึงเป็นเหตุผลที่ผู้ใหญ่ชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก เมื่อย้อนกลับไปอ่าน “เอะฮง”​ ehon หรือหนังสือภาพ ในวัยที่ชีวิตแบกรับมากกว่าสมัยเด็ก ยังสามารถรู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่างได้อย่างประหลาด เหมือนกลับไปยืนอยู่หน้าภาพที่เคยแขวนในโทโคโนมะมุมหนึ่งของบ้าน ภาพที่ไม่เคยบอกอะไรตรง ๆ แต่กลับให้พื้นที่มากพอสำหรับเราในวัยเยาว์ได้ลองตีความด้วยตัวเอง ความรู้สึกนั้นไม่ใช่ความคิดถึงภาพเก่า แต่คือการได้กลับมาระลึกว่า “ฉันสามารถมองโลกด้วยสายตาของฉันเองได้ โดยไม่ต้องมีใครบอกว่าถูกหรือผิด”

และนั่นคือสิ่งที่เด็กทุกคนควรได้สัมผัสตั้งแต่ต้น สิ่งที่ดูไม่สำคัญแต่ทำงานอย่างยาวนานมากในชีวิต คือภาพที่ไม่รีบปิดประตูของการสร้างความหมาย แต่เปิดประตูให้หัวใจได้เติบโตในจังหวะของตัวเอง เพราะหัวใจที่ค่อย ๆ เติบโตอย่างช้าและมั่นคง มักไม่หวั่นไหวง่ายต่อความกำกวมของโลกภายนอก และกล้าที่จะสร้างความหมายให้ชีวิตด้วยมือของตัวเอง เหมือนต้นไม้ที่แข็งแรงที่สุดไม่ใช่ต้นที่โดนเร่งให้โตเร็วที่สุด แต่คือต้นที่โตตามแสงพอดี ไม่สว่างเกิน ไม่มืดเกิน และไม่ถูกใครบงการให้สูงไปในทิศที่มันไม่อยากไปตั้งแต่แรก 

ปรัชญาหนังสือภาพญี่ปุ่น: ศิลปะที่สอนให้เราเป็นมนุษย์ช้าลงนิดหนึ่ง

เมื่อมองย้อนกลับไปทั้งหมด จากโทโคโนมะในบ้านดั้งเดิม ภาพม้วนโบราณ คามิชิไบริมถนน ไปจนถึงเอะฮง (หนังสือภาพ)​ที่วางเรียงกันอยู่ในร้านหนังสือเล็ก ๆ ตามตรอกซอกซอย ในตอนที่ 1 เราจะเห็นสายใยบางเส้นเชื่อมทุกสิ่งเข้าไว้ด้วยกัน สายใยที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง แต่สัมผัสได้เสมอเมื่อเปิดหนังสือภาพญี่ปุ่น นั่นคือ “ความเคารพต่อความเป็นมนุษย์ของผู้อ่าน ไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไร”

หนังสือภาพของญี่ปุ่นไม่ทำตัวสูงส่งกว่าเด็ก และก็ไม่เคยลดทอนเด็กให้เล็กลงกว่าที่เป็น แต่ยืนอยู่ระดับสายตากับผู้อ่าน เหมือนการนั่งลงข้าง ๆ เด็ก แล้วค่อย ๆ เล่าเรื่องโดยไม่กดดันว่าจะต้องเข้าใจทันที ความสัมพันธ์ระหว่างหนังสือและผู้อ่านจึงไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบครูสอนเด็ก แต่เป็นการเดินเคียงกัน ช้า ๆ เงียบ ๆ และจริงใจ

นี่อาจเป็นเหตุผลว่า ทำไมหนังสือภาพจึงเป็นสื่อที่ไม่เคยตกยุคในญี่ปุ่น ถึงแม้เทคโนโลยีจะก้าวไปเร็วเพียงใด ถึงแม้จอภาพจะสว่างและล่อตากว่าเพียงใด เอะฮง (หนังสือภาพ)​ก็ยังอยู่ ไม่ใช่เพราะความคิดถึง แต่เพราะมันทำหน้าที่บางอย่างที่จอทำแทนไม่ได้ นั่นคือ การพาเรากลับไปพบตัวเอง ในพื้นที่เล็ก ๆ ที่ไม่มีการเร่งเร้า ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีข้อมูลพุ่งเข้าใส่จนล้น

หนังสือภาพญี่ปุ่นจึงเป็นเหมือนหน้าต่างบานหนึ่ง ที่เปิดออกสู่โลกภายนอกพอให้เห็นเสี้ยวความงาม แต่ก็สะท้อนโลกภายในอย่างพอประมาณ การอ่านจึงกลายเป็นทั้งการสำรวจและการเฝ้ามองภายในไปพร้อมๆ กัน โดยถามว่าฉันรู้สึกอะไร ฉันเห็นอะไร และฉันกำลังเป็นใครในเรื่องเล่านี้

ในสังคมที่รีบสรุปทุกเรื่องให้เร็วที่สุด ในยุคที่คำตอบสำเร็จรูปขายได้ง่ายกว่าโอกาสให้คิดเอง ปรัชญาของหนังสือภาพญี่ปุ่นจึงยิ่งมีความหมายมากขึ้นเรื่อย ๆ มันเตือนเราว่า การเติบโตไม่ใช่การสะสมข้อมูล แต่คือการสร้างกล้ามเนื้อภายในที่ใช้รับมือโลกที่ซับซ้อน ความสามารถในการอยู่กับความไม่แน่นอน ความสามารถในการตีความบางสิ่งที่ไม่พูดออกมาตรง ๆ ความสามารถในการเปิดพื้นที่ให้ความรู้สึกมีสิทธิ์ตั้งคำถามก่อนหาคำตอบ

ท้ายที่สุด บางที “ความฉลาด” แบบที่มนุษย์ต้องการในศตวรรษนี้ อาจเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายกว่าที่คิด เริ่มจากหนังสือบางเล่มที่ไม่บอกคำตอบ เริ่มจากภาพที่เงียบกว่าเสียง เริ่มจากช่องว่างเล็ก ๆ ที่เราเติมความหมายของเราเองลงไป

หนังสือภาพญี่ปุ่นไม่ได้สอนเด็กให้คิดเก่งขึ้นเท่านั้น แต่มันสอนให้เราเป็นมนุษย์ที่รู้จักจังหวะของตัวเอง รู้ว่าเมื่อไรควรหยุด มอง ตั้งคำถาม และยอมรับว่าความหมายบางอย่างอาจใช้เวลานานกว่าจะมาถึง และนั่นไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะการเติบโตไม่เคยใช่การแข่งขัน แต่คือการเดินกลับเข้าหาตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

เราอาจไม่ต้องมีโทโคโนมะในบ้านแบบญี่ปุ่น แต่เราสามารถมี “พื้นที่ว่าง” แบบนั้นในชีวิตของเด็กคนหนึ่งได้เสมอ อาจอยู่ในหนังสือเล่มแรกที่เขาเปิด อาจอยู่ในช่วงเวลาก่อนนอนที่เรานั่งอ่านให้ฟัง หรืออาจอยู่ในความเงียบสั้น ๆ ระหว่างหน้าที่หนึ่งกับถัดไป พื้นที่ที่ไม่เร่งรัด ไม่สรุป ไม่วิจารณ์ แต่เชื้อเชิญเบา ๆ ให้เด็กได้เป็นตัวของเขาเองอย่างเต็มที่

บางทีนี่แหละ คือปรัชญาที่แท้ของหนังสือภาพญี่ปุ่น ไม่ใช่ศิลปะของการเล่าเรื่อง แต่คือศิลปะของการเปิดพื้นที่ให้มนุษย์ได้ค้นพบความหมายที่อยู่ข้างในตัวเองอย่างช้า ๆ และงดงาม

อ้างอิง

  • Hempel, R. (1989). The Heian Civilization of Japan. Phaidon.
  • Okudaira, H. (1973). Emaki: Narrative Scrolls from Japan. Weatherhill.
  • Mason, P. (1993). History of Japanese Art. Harry N. Abrams.
  • Doshinsha Publishing. Kamishibai Archives. (Tokyo, Japan).
  • Suzuki, E. (2010). “The Social Role of Kamishibai in Pre-war and Post-war Japan.” International Research in Children’s Literature.
  • Yoshitake, S. (2009). The Art of Kamishibai. Kyoto University Folklore Series.
  • Fukuinkan Shoten Editors. (2002). The History of Japanese Picture Books 1950–2000. Fukuinkan Shoten.
    Nihon Ehon Kenkyukai (Japan Picture Book Research Association). Chronology of Japanese Ehon.
  • Akai Tori Archives (1918–1936). Tokyo Women’s Christian University.
  • Kodomo no Kuni Archives (1922–1944). International Library of Children’s Literature, Tokyo.
  • Yokota, J. (2014). “The Evolution of Japanese Picturebook Aesthetics.” Children’s Literature in Education.
  • Kosslyn, S. (1996). Image and Brain: The Resolution of the Imagery Debate. MIT Press.
  • Arnheim, R. (1969). Visual Thinking. University of California Press.
  • Winner, E., & Hetland, L. (2000). The Arts and Cognition Project. Harvard Project Zero.
  • Gopnik, A. (2009). The Philosophical Baby. Farrar, Straus and Giroux.
  • Parsons, M. (1987). How We Understand Art: A Cognitive Developmental Account of Aesthetic Experience. Cambridge University Press.
  • Nikolajeva, M. (2014). Reading for Learning: Cognitive Approaches to Children’s Literature. John Benjamins Publishing.
  • Sipe, L. (1998). “How Picturebooks Work: A Semiotically Framed Theory of Text-Picture Relationships.” Children’s Literature in Education.
  • Rosenblatt, L. (1978). The Reader, the Text, the Poem. Southern Illinois University Press.
  • International Library of Children’s Literature (Tokyo). Annual Reports (2000–2022).
  • International Institute for Children’s Literature (Osaka). Collections & Statistics.
  • Japan Library Association. Children’s Library Network Reports.
  • Nippon Foundation. (2018). State of Picturebook Publishing in Japan.


Writer

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts