Frozen & Frozen II ละลายความเชื่อจากอดีตที่แช่แข็งเราไว้ เพื่อให้สังคม ‘มูฟออน’ ได้จริง ๆ

  • Frozen คือแอนิเมชันจากค่ายดิสนีย์ที่ออกฉายในปี 2013 และประสบความสำเร็จจนมีภาคต่อในอีกหกปีถัดมา
  • ความโด่งดังของ Frozen นั้นอาจเป็นเพราะชุดสวย ๆ ของเอลซ่า ความน่ารักสดใสของโอลาฟและอันนา เรื่องราวความรักของพี่น้องที่ไม่ค่อยมีให้เห็นในการ์ตูนเจ้าหญิง หรือบทเพลงไพเราะติดหูอย่าง Let It Go
  • แต่นอกเหนือจากเหตุผลข้างต้นแล้ว Frozen และ Frozen II ต่างก็กล่าวถึงประเด็นการปลดแอกตัวเองออกจากความเชื่อเก่า ๆ ของพ่อแม่ การย้อนไปเผชิญหน้าความผิดพลาดและความเลวร้ายที่บรรพบุรุษได้ก่อไว้ และการพยายามเปลี่ยนแปลงและแก้ไขประวัติศาสตร์ให้ถูกต้องของคนรุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน

ในบรรดาแอนิเมชันของดิสนีย์ในยุคหลัง Frozen ที่ออกฉายในปี 2013 นับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด อาจจะด้วยฉากปราสาทหิมะสุดอลังการ เพลงติดหู ความน่ารักของโอลาฟ เสื้อผ้ากรุยกรายและท่าเดินสับ ๆ ของเอลซ่า และองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างทำให้ Frozen กลายเป็นแอนิเมชันที่ครองใจได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จนกระทั่งดิสนีย์ต้องสร้างภาคต่ออย่าง Frozen II ออกมาในอีก 6 ปีถัดมา

แต่ภายใต้ความงดงามของปราสาทน้ำแข็ง มนุษย์หิมะ ท่าเดินสุดสับของเอลซ่า ความน่ารักสดใสของอันนา หรือเรื่องราวความรักความผูกพันของสองพี่น้อง Frozen ทั้งสองภาคยังมีเส้นเรื่องที่พูดถึงแนวคิดที่สวนทางกันของคนสองรุ่น การปลดแอกจากคำสอนหรือความเชื่อของคนรุ่นก่อน และการย้อนกลับไปเผชิญหน้าความผิดพลาดของบรรพบุรุษเพื่อจะแก้ไขและทำในสิ่งที่ถูกต้อง

เด็กดีไม่เห็นมีค่า

เมื่อพูดถึง Frozen เพลง Let It Go ก็คงจะดังขึ้นมาในหัวใครหลายคน และฉากที่น่าจดจำที่สุดก็คงเป็นฉากที่เอลซ่าสร้างปราสาทน้ำแข็งของตัวเองพร้อมกับตะโกนร้องเพลง Let It Go ไปด้วย เหตุที่ทำให้มันน่าประทับใจนอกจากเพลงเพราะ ๆ และฉากอลังการหรือการเดินจริตเวเนของเอลซ่าแล้ว ก็อาจเป็นเพราะนั่นคือครั้งแรกที่เอลซ่าได้เป็นตัวเอง ก่อนที่เรื่องจะดำเนินมาถึงฉากนี้ เรารู้จักเอลซ่าในฐานะคนเก็บตัวและเคร่งขรึมเพราะมีพลังน้ำแข็งที่เคยควบคุมไม่ได้และเป็นอันตรายต่อคนที่เธอรักที่สุดอย่างอันนา

ในตอนที่เอลซ่าและอันนายังเด็ก เอลซ่าผู้มีพลังน้ำแข็งติดตัวมาตั้งแต่เกิดเล่นสนุกกับอันนาแล้วพลาดท่าใช้พลังน้ำแข็งจนเกิดอุบัติเหตุทำให้อันนาหมดสติ ทั้งที่เอลซ่าไม่ได้ตั้งใจ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองต่ออุบัติเหตุนั้นของพระราชาแอคนาร์กับพระราชินีอิดูน่า พ่อและแม่ของสองพี่น้อง กลับเป็นอาการตื่นตระหนกจนกล่าวโทษลูกสาวที่มีอายุเพียงไม่กี่ขวบ ทั้งคู่อุ้มอันนาไปรักษากับปู่แพ็บบี้ ผู้นำเผ่าโทรลล์ผู้รอบรู้ซึ่งบอกว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในพลังของเอลซ่า แต่มันจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเธอโตขึ้นและเธอก็ต้องหัดควบคุมมันให้ได้ นอกจากนั้นปู่แพ็บบี้ยังฉายนิมิตให้เห็นว่าหากผู้คนรู้ว่าเอลซ่ามีพลังวิเศษ ผู้คนอาจมองเธอเป็นแม่มดและทำร้ายเธอ

ดูเหมือนว่าคำว่า “ข้อดี” จะลอยผ่านหูของพระราชาและพระราชินีไป คำว่า “หัดควบคุมมันให้ได้” ก็ถูกตีความไปว่า “ห้าม” ใช้พลังนี้ และซ้ำร้ายไปกว่านั้น นิมิตที่เอลซ่ากำลังถูกขับไล่และทำร้ายก็ทำให้พ่อแม่หวาดกลัว เมื่อกลับมายังวังพระราชาแอคนาร์จึงออกคำสั่งให้ปิดประตูวัง ลดจำนวนข้าราชบริพารลง ห้ามไม่ให้เอลซ่ามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ให้เธอซ่อนพลังของเธอไว้จากทุกคนรวมถึงอันนาจนกว่าเธอจะหาทางควบคุมพลังได้ ในนามของความหวังดี แอคนาร์และอิดูน่าทำให้ลูกสาวคนโตหวาดกลัวในพลังของตนและกลายเป็นเด็กหญิงผู้โดดเดี่ยว ในขณะที่ลูกสาวคนเล็กก็ถูกลบเลือนความทรงจำเกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนั้น เธอไม่เคยมีโอกาสได้รู้ว่าอะไรทำให้พี่สาวที่เคยเล่นด้วยกันมาตลอดกลับปลีกตัวออกหากและไม่ยอมคุยกับเธออีก

แม้พระราชากับพระราชินีจะไม่ได้ต้องการให้เอลซ่าต้องกักเก็บพลังของตัวเองไปตลอดชีวิต และเพียงแค่อยากให้เอลซ่ารอเวลาที่พวกเขาหาคำตอบได้ว่าจะควบคุมพลังอย่างไรก่อน แต่อุบัติเหตุเรือล่มก็ทำให้ทั้งคู่จากไปก่อนที่จะได้มีโอกาสพูดคุยและทำความเข้าใจกับลูกสาวทั้งสอง เอลซ่าที่ยังจำอุบัติเหตุครั้งนั้นได้ดีและคิดว่าเป็นความผิดของเธอจึงกลายเป็นคนไม่กล้าเข้าสังคมและเก็บเนื้อเก็บตัว ในขณะที่อันนาที่เป็นคนช่างพูดช่างคุยและรักการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ แต่กลับถูกแยกจากพี่สาว ก็กลายเป็นคนแสวงหาการพบปะกับคนแปลกหน้า เมื่อถึงเวลาที่เอลซ่าสามารถเข้าพิธีราชาภิเษกได้ ประตูวังที่ปิดมาเนิ่นนานก็ได้เปิดต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองมากมาย และอันนาก็แทบจะตกหลุมรักชายหนุ่มคนแรกที่เธอได้เจออย่างเจ้าชายฮานส์ เธอขอให้เอลซ่าอนุญาตให้ทั้งคู่แต่งงานกัน เมื่อเอลซ่าไม่เห็นด้วยและมีปากเสียงกับอันนา พลังน้ำแข็งที่ถูกกดทับมาตลอดจึงระเบิดออกต่อหน้าแขกทั้งหลาย

“ปีศาจ” แขกคนหนึ่งตะโกนด่าเธอ และนั่นทำให้เอลซ่าที่หวาดกลัวพลังของตัวเองอยู่แล้วรีบวิ่งหนีออกมาจากเมืองไปสู่ภูเขาน้ำแข็งอันห่างไกล

ตลอดทั้งเรื่องก่อนที่จะถึงจุดนี้ เราจะเห็นว่าเอลซ่าพูดพึมพำคำที่พ่อแม่พร่ำสอนอยู่เสมอว่า “ปิดมันไว้ อย่ารู้สึก อย่าแสดงออก” แม้กระทั่งตอนที่ประตูวังเปิด ในขณะที่อันนาร่าเริงเพราะจะได้เจอคนอื่น ๆ ในรอบหลายปี เอลซ่ากลับบอกกับตัวเองว่า “อย่าเปิดใจไป อย่าให้เขาเห็น ต้องเป็นคนดีอย่างที่เขาสอนให้เป็น อย่าคิด ปิดไว้ ซ่อนมันให้พ้น” ฉากที่เอลซ่าสร้างปราสาทน้ำแข็งบนภูเขาอันห่างไกลจึงทรงพลังเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอทลายโซ่ตรวนความหวังดีของพ่อแม่ที่กลายเป็นคำสาปลงและได้เป็นตัวเองในที่สุด

พันธนาการที่มาในรูปแบบของความรักและความหวังดีโดยเฉพาะจากพ่อแม่นั้นเป็นพันธนาการที่อาจตรึงเราไว้แน่นที่สุด ก่อน Frozen เรามีตัวอย่างจากเรื่อง Tangled (หรือ Rapunzel) ที่ตัวร้ายในเรื่องไม่ได้ร้ายสุดร้ายให้เห็น แต่เธอมาในนามของแม่เลี้ยงใจดีที่เอาอกเอาใจราพันเซลเพื่อหวังจะใช้ประโยชน์จากเส้นผมของเธอ เมื่อได้รู้ว่าแม่ไม่ได้รักเธออย่างที่เคยเข้าใจ ราพันเซลก็ไม่ลังเลอีกต่อไปที่จะฉีกกฎทุกกฎที่แม่เคยสอน แต่ในสถานการณ์ของเอลซ่านั้น แอคนาร์และอิดูน่าทำไปด้วยความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ เป็นความรักของคนเป็นพ่อแม่ที่อยากจะปกป้องลูกทั้งจากตัวเอง จากการไปทำร้ายคนอื่น ๆ และการโดนคนอื่น ๆ ทำร้ายเท่านั้น

การกล้าก้าวออกมาจากเขตแดนที่พ่อแม่ขีดไว้ของเอลซ่าจึงถือว่าเป็นวินาทีที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตเธอ เพราะเธอต้องสู้ทั้งกับความหวังดีของพ่อแม่และความเชื่อที่พ่อแม่ส่งต่อมาว่าการปกปิดตัวตนจะทำให้เธอและคนอื่น ๆ ปลอดภัย แต่แล้วเธอก็ได้รู้ว่า บางครั้งความคิดของพ่อแม่ก็ไม่ได้ถูกต้องที่สุด การกักเก็บพลังของเธอไว้รังแต่จะทำให้พลังของเธอระเบิดและสร้างความเสียหายได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นมันยังทำให้คนอื่น ๆ ไม่คุ้นเคยกับพลังของเธอและคนก็มักจะหวาดกลัวในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้จักด้วย การกล้าที่จะพูดว่า “ปล่อยมันไป” ของเอลซ่าจึงเป็นนาทีที่เธอได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเองและเรียนรู้ที่จะโอบกอดพลังที่เธอมี และแม้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเอลซ่าจะสามารถสร้างสมดุลระหว่างการเป็นตัวเองกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ แต่ในที่สุดเธอก็ได้รู้ว่าการเป็น “เด็กดี” ในความเข้าใจของพ่อแม่อาจสวนทางกับการเป็นคนที่มีความสุขแบบที่เธออยากเป็น และนั่นก็ไม่ได้แปลว่าเธอเป็นคนไม่ดี

จงเอาชนะความกลัวที่มี สู้ความจริงที่แม่น้ำล่วงรู้

ใน Frozen II เอลซ่าพบปัญหาใหม่เมื่อเธอได้ยินเสียงประหลาดคอยร้องเรียกหาเธอ จนเธอเผลอใช้พลังปลุกวิญญาณป่าต้องมนตร์และทำให้อาณาจักรแอเรนเดลล์เผชิญภัยพิบัติ และเป็นปู่แพ็บบี้อีกเช่นเคยที่บอกเธอว่าหากเธอไม่ออกเดินทางตามหาต้นตอของพลัง แอเรนเดลล์จะต้องเผชิญกับหายนะ เอลซ่าจึงต้องออกเดินทางเพื่อไขปริศนานี้ด้วยการให้เสียงเรียกนำทาง และเสียงเรียกนั้นก็นำทางเธอไปสู่ป่าเวทมนตร์ ป่าที่มีหมอกปกคลุมกันคนในไม่ให้ออก คนนอกไม่ให้เข้ามาเนิ่นนานนับตั้งแต่พระราชาแอคนาร์ พ่อของเอลซ่าและอันนายังเด็ก

ในสมัยที่พระราชารูนาร์ด ปู่ของอันนาและเอลซ่า ครองบัลลังก์แห่งแอเรนเดลล์ รูนาร์ดได้ผูกมิตรกับชาวนอร์ธธัลดราซึ่งเป็นเผ่าพื้นเมืองและได้สร้างเขื่อนเป็นของขวัญกระชับมิตรไว้ในป่าต้องมนต์ ทว่าชาวนอร์ธธัลดรากลับโจมตีรูนาร์ดจนนำไปสู่การฆ่าฟันกันและทำให้จิตวิญญาณแห่งป่าทั้งสี่อย่าง ดิน น้ำ ลม ไฟ พิโรธก่อนจะสลายตัวหายไปเหลือไว้เพียงหมอกปิดกั้นทางเข้าออกจากป่า พระราชารูนาร์ดจากไปในการรบราฆ่าฟันครั้งนั้น แต่แอคนาร์ผู้เป็นลูกถูกพลังปริศนาช่วยเหลือไว้และขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาแทนพ่อ… อย่างน้อยนั่นก็คือประวัติศาสตร์ที่แอคนาร์เข้าใจและเล่าให้ลูก ๆ ฟังมาโดยตลอด และเมื่อเรื่องเล่าจบลง เขาก็บอกกับลูก ๆ ว่าให้ระวังจิตวิญญาณแห่งป่าที่อาจตื่นขึ้นอีกครั้งและจะเป็นภัยคุกคามต่อแอเรนเดลล์

เมื่อเด็ก ๆ ได้ฟังเรื่องเล่าและมีคำถามต่อว่าทำไมชาวนอร์ธธัลดราต้องทำร้ายคนที่มอบของขวัญให้พวกเขา หรือเมื่อใดที่จิตวิญญาณจะตื่นขึ้นอีกครั้ง พระราชินีอิดูน่าจะร้องเพลงกล่อมเด็กให้ลูก ๆ ของเธอฟังว่าหากอยากรู้ความจริงในอดีตให้ไปขอคำตอบจากแม่น้ำอะโธฮะรัน

การเดินทางเพื่อตามหาที่มาของพลังและความจริงในอดีตของเอลซ่าจึงนำพาเธอไปยังแม่น้ำดังกล่าว ที่นั่นเอลซ่าได้รู้ว่า ต้นตอของความขัดแย้งไม่ได้มาจากชาวนอร์ธธัลดรา หากแต่เป็นปู่ของเธอเอง พระราชารูนาร์ดผูกมิตรกับชาวพื้นเมืองเพียงเพื่อต้องการช่วงชิงทรัพยากรของพวกเขา การสร้างเขื่อนไม่ใช่ของขวัญแห่งมิตรภาพแต่คือการบ่อนทำลายวิถีชีวิตและจิตอันเชื่อมโยงกับธรรมชาติของชาวนอร์ธธัลดรา กอปรกับความระแวงว่าตนจะถูกชิงอำนาจ พระราชารูนาร์ดจึงลอบสังหารผู้นำของชาวนอร์ธธัลดราจนเกิดเป็นการรบราฆ่าฟันระหว่างสองฝ่าย และทำให้จิตวิญญาณแห่งป่าพิโรธ

“จงเอาชนะความกลัวที่มี สู้ความจริงที่แม่น้ำล่วงรู้” ท่อนหนึ่งในบทเพลงกล่อมเด็กที่อิดูนาร้องให้เอลซ่ากับอันนาในวัยเด็กฟังกล่าวไว้แบบนั้น

ความกลัวที่แม่พูดถึงในเพลงคงไม่ใช่แค่อุปสรรคระหว่างทางไปแม่น้ำอะโธฮะรันที่ต้องข้ามทะเลกาฬอันเชี่ยวกราก แต่เป็นความกลัวที่ต้องรับรู้ว่าบรรพบุรุษของเราเคยทำสิ่งที่เลวร้ายไว้กับคนอื่น ๆ เป็นเรื่องน่ากลัวที่ต้องรู้ว่าบางความเชื่อและประวัติศาสตร์ที่ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นนั้นคือความเข้าใจผิด ๆ และเป็นเรื่องน่ากลัวอยู่เหมือนกันที่ต้องตระหนักได้ว่าอาจเป็นลูกหลานอย่างเรานี่เองที่มีหน้าที่หาคำตอบ เปิดเผยความจริงแม้ความจริงนั้นจะเป็นสิ่งเลวร้ายที่บรรพบุรุษเราเคยทำลงไป และเราคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบการกระทำนั้น

เรื่องราวใน Frozen II เทียบเคียงได้กับประวัติศาสตร์การล่าอาณานิคมที่คนขาวกระทำต่อชาวพื้นเมืองในอเมริกา และอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หนังภาคต่อของราชินีน้ำแข็งเรื่องนี้จะเข้าฉายในช่วงสัปดาห์ Thanksgiving ในปี 2019

อย่างที่เราทราบกันดีว่า ในวัน Thanksgiving ของทุกปี ชาวอเมริกันจะเฉลิมฉลองขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้บรรพบุรุษของพวกเขาอพยพมาตั้งรกรากในอเมริกาได้ โดยลืมคำนึงถึงความจริงที่โหดร้ายว่า การสร้างชาติอเมริกานั้นแลกมากับการล่าอาณานิคมและช่วงชิงทรัพยากร พื้นที่ และแม้แต่ชีวิตของชาวพื้นเมือง

ใน Frozen II เอลซ่าและอันนาเลือกจะทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยการทำลายเขื่อนที่ปู่เคยสร้างไว้ แม้จะรู้ดีว่าพวกเธอต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตและกระแสน้ำจากเขื่อนก็อาจทำให้แอเรนเดลล์ต้องเจอกับภัยพิบัติอีกคำรบหนึ่ง แต่ทั้งคู่ก็ปล่อยอดีตให้ผ่านไปและแสร้ง ‘มูฟออน’ เพียงเพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามครั้งนั้นไม่ได้ ที่เอลซ่าเผลอปล่อยพลังที่ไม่รู้ที่มาที่ไปจนแอเรนเดลล์ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติก็เป็นผลลัพธ์จากการกระทำของปู่เธอ แม้ชาวแอเรนเดลล์ในปัจจุบันจะไม่ได้ร่วมกระทำความผิดไปกับบรรพบุรุษ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็คือผลพวงที่ส่งต่อมาจากการกระทำของคนในอดีตอยู่ดี

ภัยพิบัติที่ชาวแอเรนเดลล์พบเจอจึงเป็นโทษและความรู้สึกผิดที่พวกเขาต้องแบกรับ ไม่ต่างอะไรจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่คนรุ่นหลังต้องประสบพบเจอในโลกความจริงอันเกิดจากการรุกรานป่าของบรรพบุรุษ และหากเอลซ่าและอันนาเลือกที่จะไม่ทำลายเขื่อน หมอกหนาก็ยังปกคลุมป่าต้องมนต์ต่อไป จิตวิญญาณแห่งป่าอย่างดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะยังคงพิโรธและให้โทษแก่ชาวแอเรนเดลล์อยู่อย่างนั้น

การ “ทำในสิ่งที่ถูกต้อง” ของเอลซ่าและอันนา อาจไม่สามารถชดเชยสิ่งที่สูญเสียไปหรือแก้ไขอดีตได้ แต่อย่างน้อยพวกเธอก็ได้ร่วมแก้ไขประวัติศาสตร์ให้ถูกต้อง อย่างน้อยราชารูนาร์ดก็จะถูกจดจำในฐานะผู้กระทำอย่างที่เขาสมควรได้รับแทนการถูกจดจำในฐานะผู้ถูกกระทำอย่างที่อยู่ในเรื่องเล่าจากรุ่นสู่รุ่น และอย่างน้อยชาวแอเรนเดลล์ก็ได้ตระหนักรู้ว่า อดีตราชาผู้สร้างชาติของพวกเขาทำร้ายใครมาบ้างกว่าที่จะแอเรนเดลล์จะเป็นแอเรนเดลล์แบบที่เป็นอยู่ได้ และชีวิตสุขสบายในเมืองแสนสงบของพวกเขาต้องแลกกับความเดือดร้อนของใครมาบ้างการพังเขื่อน สลายหมอกที่ปกคลุมป่า และแก้ไขเรื่องเล่าลือถึงความป่าเถื่อนของชาวนอร์ธธัลดราใน Frozen II คือสารที่ดิสนีย์กำลังเรียกร้องให้คนตระหนักรู้ว่างานเฉลิมฉลองวัน Thanksgiving คือการสร้างสังคมมหรสพฝังกลบความผิดพลาดในอดีต และคือวิธีการที่ดิสนีย์ในฐานะตัวแทนของ ‘คนรุ่นใหม่’ พยายามทำให้เรากล้าทำลายความเชื่อ ความรู้ และวิธีคิดผิด ๆ ในอดีต เช่น ประวัติศาสตร์การสร้างชาติอันยิ่งใหญ่ที่ถูกเล่าจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อ ‘รับผิดชอบ’ ในสิ่งที่บรรพบุรุษทำไว้และทำให้สังคม ‘มูฟออน’ ได้จริง ๆ


Writer

Avatar photo

ปัญญาพร แจ่มวุฒิปรีชา

อย่ารู้จักเราเลย รู้จักแมวเราดีกว่า

Illustrator

Avatar photo

ธีรภัทร์ เศาธยะนันท์

ชอบกินลาเต้เย็น

Related Posts