- หากพูดถึงอินฟลูเอนเซอร์สี่ขาที่โด่งดังในสื่อสังคมออนไลน์ เชื่อว่าหลายคนคงคิดถึง ‘กลูต้า’ น้องหมาหน้ายิ้มแห่งเพจ Gluta Story ที่ขโมยหัวใจของชาวทาสหมาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
- ยอร์ช-สรศาสตร์ วิเศษสินธุ์ ผู้เป็นทั้งพ่อหมาและแอดมินเพจ คือผู้ทำหน้าที่ปรนนิบัติพัดวีให้อินฟลูเอนเซอร์สี่ขาเหล่านี้อย่างดีมาเสมอ และทำให้เพจ Gluta Story กลายเป็นพื้นที่แห่งการแบ่งปันเรื่องราวความรักความผูกพันของคนกับสัตว์ได้อย่างงดงามและจริงใจ
- เพราะสัจธรรมของสิ่งมีชีวิตคือ ‘การพบ’ และ ‘พรากจาก’ เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงที่เราเคยฟูมฟักและกอดรัดในอ้อมแขน เมื่อกลูต้าถึงเวลาต้องกลับดาวหมา สายตาที่ยังเจือปนไปด้วยความเสียใจที่ปิดไม่มิดของยอร์ช ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าการบอกลาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำใจยอมรับและจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง
- แม้การสูญเสียสัตว์เลี้ยงจะทิ้งบาดแผลความเสียใจให้กับเจ้าของ แต่ยอร์ชก็ทิ้งท้ายว่า “เราอาจจะต้องดึงสติกลับมาให้ไวที่สุด ช่วงเวลาที่ร้องไห้ก็ร้องไห้ให้เต็มที่ แต่อย่าลืมเรียกสติตัวเอง แล้วกลับมามองฟ้า กลับมามองหมา กลับมามองความสวยงามของปัจจุบัน แล้วก็ใช้ชีวิตต่อ”
หากพูดถึงอินฟลูเอนเซอร์สี่ขาที่โด่งดังในโลกโซเชียล เชื่อว่าหลายคนคงคิดถึง ‘กลูต้า’ น้องหมาหน้ายิ้มแห่งเพจ Gluta Story ที่ขโมยหัวใจของชาวทาสหมาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น และสำหรับใครหลายคนที่เป็นแฟนคลับตัวยงของกลูต้า ก็คงจะรู้ว่ากลูต้ามีเพื่อนๆ พี่น้องสี่ขาอีกหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น กอลลั่ม สนิม ลูกชิ้น เมิร์ล นวล การ์เด้น และจัมโบ้ (ที่กลับดาวหมาไปแล้ว) ซึ่ง ยอร์ช-สรศาสตร์ วิเศษสินธุ์ ผู้เป็นทั้งพ่อหมาและแอดมินเพจ คือผู้ทำหน้าที่ปรนนิบัติพัดวีให้อินฟลูเอนเซอร์สี่ขาเหล่านี้อย่างดีมาเสมอ และทำให้เพจ Gluta Story กลายเป็นพื้นที่แห่งการแบ่งปันเรื่องราวความรักความผูกพันของคนกับสัตว์ได้อย่างงดงามและจริงใจ
Gluta Story คือตัวเลือกแรกที่เราคิดถึงเมื่อได้รับโจทย์ประเด็นเรื่อง ‘สายใยความสัมพันธ์’ (Bonding) ทว่า ไม่กี่วันหลังจากเราส่งอีเมลติดต่อขอสัมภาษณ์ยอร์ชและทีม Gluta Story เราก็ได้รับข่าวร้ายว่า “กลูต้ากลับดาวหมาไปแล้ว” เราจึงตัดสินใจข้ามตัวเลือกนี้ไป ด้วยเข้าใจว่ายอร์ชและทีมงานคงต้องการใช้เวลาเสียใจกับการจากไปของน้องหมาหน้ายิ้มผู้เป็นที่รักของทุกคน
แต่ยอร์ชติดต่อกลับมาและบอกว่าเขาเต็มใจให้สัมภาษณ์กับเรา และนี่คือเรื่องราวสายใยความรักความผูกพันของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงที่ Mappa อยากให้ทุกคนได้อ่าน และหันกลับไปให้เวลากับ ‘เจ้านายสี่ขา’ (อาจจะมากหรือน้อยกว่าก็ได้นะ) ของตัวเอง
คนกับหมา: สายใยความสัมพันธ์ที่ตัดกันไม่ได้ แยกกันไม่ขาด
“หมาแมวอยู่ในทุกช่วงชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ คือตั้งแต่จำความได้ เวลาไปโรงเรียนก็จะคิดถึงหมา ก่อนไปโรงเรียนก็จะมีหมามาส่งขึ้นรถรับส่ง หรือขากลับก็จะมีหมามารอรับผมกลับบ้าน และทุกครั้งที่หมาเสีย ผมก็จะเสียใจ และไม่เข้าใจว่าทำไมต้องจากกัน” ยอร์ชเริ่มต้นบทสนทนา
แม้จะผูกพันกับหมามาทั้งชีวิต แต่กลูต้าถือเป็นหมาตัวแรกที่ยอร์ชและส้ม (แฟนสาว) ตัดสินใจเลี้ยงด้วยตัวเอง เนื่องจากสถานการณ์บางอย่างที่ยอร์ชเล่าว่าถ้าไม่ช่วยกลูต้าเอาไว้ เขาอาจหายไปจากชีวิตตลอดกาล และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสายใยความสัมพันธ์ที่ตัดกันไม่ได้ แยกกันไม่ขาดของมนุษย์และน้องหมาสี่ขาที่ใครหลายคนอาจไม่เข้าใจ
“ถ้าถามถึงความแตกต่างของชีวิตก่อนและหลังจะมีหมา ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องที่หมาทำให้ความเครียด ความทุกข์ หรืออะไรที่มันเข้ามาส่งผลกระทบกับชีวิตของเรา มันผ่านไปได้ไวขึ้นกว่าเดิม”“พอหมาไม่อยู่แล้ว ผมรู้สึกว่าพอเจอปัญหา ผมมูฟออนได้ยาก แล้วก็จะรู้สึกเคว้งๆ”
หมาทำให้อยู่กับปัจจุบัน
สำหรับยอร์ชแล้ว สายใยความรักระหว่างมนุษย์กับสัตว์คือ ‘เวลา’ ที่แต่ละฝ่ายได้ใช้ร่วมกัน และการสร้างสายใยกับหมาก็จำเป็นต้องใช้ ‘การพูดคุย’ เหมือนกับการสร้างสายใยกับคน เพียงแต่เป็นการพูดคุยที่ไม่ต้องใช้ภาษา แต่ใช้ ‘พลังงานความรู้สึก’ เพื่อสื่อสารและสร้างความผูกพันให้แน่นแฟ้นมากขึ้น
“สำหรับผม ผมว่าหมาสัมผัสพลังงานได้ดีกว่าคนเสียอีก ตอนไหนเรากำลังรู้สึกดีมากๆ หมาก็จะกระดิกหาง หูลู่ และเขาจะชอบเราเวลานั้น แต่ในเวลาที่เราเสียใจ หมาก็จะเข้ามาอยู่ใกล้ๆ เข้ามาช่วยเยียวยาใจให้กับเรา อย่างที่บ้านเราอยู่กันหลายคน เรามีพี่เลี้ยงหมาด้วย แล้วเวลามีเรื่องอะไร พี่เลี้ยงบางคนร้องไห้ สนิมก็จะเข้ามาทำหน้าอ่อนโยน ทั้งๆ ที่ปกติสนิมจะเป็นหมาซนๆ หน่อย แต่ถ้าเขาเห็นแววร้องไห้ เขาจะอ่อนโยนทันที เข้ามาอ้อน มาดูว่าเป็นอะไรไหม ซึ่งผมว่าสถานการณ์แบบนี้แหละที่บอกได้ว่าหมาเขารับรู้อารมณ์ความรู้สึกของเราจริงๆ”
“การอยู่ท่ามกลางหมาเหมือนเราได้อยู่กับปัจจุบันมากที่สุด ผมรู้สึกว่าหมามีความคล้ายกับเด็ก เวลาเราอยู่กับเขา เราจะรู้สึกถึงความเป็นปัจจุบัน บางทีเราก็มีเรื่องให้คิด มีอะไรให้กังวล มีปัญหาให้เครียดเยอะ การอยู่กับปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เวลามีหมา แค่สัมผัสพวกเขา ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่กับปัจจุบันได้แล้วนะ”
เวลา ความรัก และอาหาร
เมื่อทีม Gluta Story มีสมาชิกสี่ขาเพิ่มมากขึ้น ยอร์ชจะคอยสำรวจเสมอว่าหมาแต่ละตัวได้รับความรักจากเขามากพอหรือยัง และเขาเองก็จะพยายามให้ความรักกับหมาทุกตัว โดยยอร์ชบอกว่า “นอกจากเวลาแล้ว สิ่งที่หมาต้องการก็คือความรักและอาหาร”
“แค่ได้อยู่ใกล้ๆ ก็เหมือนได้ให้เวลากันแล้ว แค่หมาได้กลิ่นเรา ไม่ว่าเราจะอยู่เฉยๆ พาเขาออกไปข้างนอก หรือเล่นกับเขา ผมว่าทุกการกระทำที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ มันคือการได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแล้ว”
“ผมพยายามคิดอยู่เสมอว่าทุกช่วงเวลาคือช่วงเวลาที่ดี ผมเชื่อแบบนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะตอนที่เป็นเบบี๋หรือตอนที่เป็นหมาแก่ ผมก็มองว่ามันน่ารัก คือถ้าคนรักหมาจะรู้เลยว่า เวลาพูดถึงหมาแก่ มักจะมีเรื่องโก๊ะๆ อยู่เป็นประจำ อย่างกลูต้าที่เคยเป็นหมาเรียบร้อยสมัยสาวๆ พอแก่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งเลย จู่ๆ ก็กลายเป็นหมาตะกละ ชอบขโมยของ แอบเข้าไปตรงนั้นตรงนี้ คือเขามีวีรกรรมในแบบคุณตาคุณยายแก่ๆ ให้ขำ แล้วกลิ่นของหมาแก่ก็จะหอมในแบบที่คนรักหมาชอบ ดังนั้นผมเลยรู้สึกว่าทุกช่วงเวลาคือความทรงจำดีๆ ที่เราควรเก็บรักษาเอาไว้”
เมื่อน้องกลับดาว
“ช่วงที่เขาจากไป เราทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงทำช่วงที่เรายังอยู่ด้วยกันให้สมบูรณ์แบบที่สุด สิ่งที่ผมทำกับกลูต้าหรือกับหมาทุกตัว คือผมจะให้เวลากับเขาให้มากที่สุด รู้สึกว่าอยากทำอะไรก็ต้องทำ เพราะเวลาที่เขาจากไปแล้ว เราจะได้ไม่ติดค้างกัน”
“อย่างจัมโบ้ที่เสียไป ตอนที่เขาเสีย ผมก็รู้สึกว่าดีจังเลยที่เราเคยได้พาเขาไปทะเล ไปเล่นเซิร์ฟ ได้ให้เวลา ให้อ้อมกอด ให้ความรัก ให้ทุกอย่างหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้วล่ะ หรืออย่างกลูต้าก็ไม่มีอะไรติดค้างเลย ทุกอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว”
เพราะสัจธรรมของสิ่งมีชีวิตคือการพบและพรากจาก เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงที่เราเคยฟูมฟักและกอดรัดในอ้อมแขน วันหนึ่งเขาก็ต้องโรยราและบอกลาเจ้าของไป ซึ่งสายตาที่ยังเจือปนไปด้วยความเสียใจที่ปิดไม่มิดของยอร์ชก็เป็นเครื่องยืนยันว่าการบอกลาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำใจยอมรับและจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง
“ช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เราให้อะไรเขาที่สุดแล้วหรือยัง ส่วนเวลาที่เขาจากไป เราทำได้แค่ไปส่งเขา แล้วก็เสียใจ แล้วให้เวลาช่วยเยียวยา สุดท้ายเราก็เสียใจแหละ แต่เมื่อถึงเวลาเสียใจเราก็ต้องเสียใจจริงๆ ยอมรับมัน แล้วก็พยายามก้าวต่อไปให้ได้ มูฟออนให้ไวที่สุด ไม่งั้นเราจะแย่เอง”
ตัวจากไปแต่ความคิดถึงยังอยู่
แม้จะเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว แต่ยอร์ชก็ต้องคอยดึงสติตัวเองไว้เสมอเมื่อคิดถึงการจากไปของน้องหมาที่ตัวเองรัก เขาเล่าว่าการมีหมาอยู่ที่บ้านก็ช่วยให้เขามีสติมากขึ้น และทำให้เขามองเห็นด้านดีๆ ของการจากไปได้บ้างเหมือนกัน
“ผมเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว เป็นคนเปราะบางและเซนซิทีฟมากๆ ผมชอบทำให้ตัวเองดราม่า ทำให้คนซึ้งๆ ซึ่งต้องคอยดึงสติตัวเองเอาไว้ เวลาเจอรูปเก่าๆ ก็จะคิดถึงมาก แต่ก็พยายามมองด้านดี พูดถึงด้านดี พยายามคิดถึงด้านดีๆ มากกว่า”
“ผมคงไม่สามารถแนะนำอะไรคนอื่นได้มากเท่าไร เพราะผมก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้เก่งกว่าเขา พอกลูต้าตายก็ร้องไห้เป็นหมาของจริง คือต่อให้เก่งแค่ไหน แต่พอถึงวันนั้นปุ๊บ เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่รู้สึกได้ แต่ที่ผมอยากจะฝากคือเราอาจจะต้องดึงสติกลับมาให้ไวที่สุด ช่วงเวลาที่ร้องไห้ก็ร้องไห้ให้เต็มที่ แต่อย่าลืมเรียกสติตัวเอง แล้วกลับมามองฟ้า กลับมามองหมา กลับมามองความสวยงามของปัจจุบัน แล้วก็ใช้ชีวิตต่อ” ยอร์ชทิ้งท้าย