“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอเป็นที่รัก” : “If Anything Happens I Love You” แอนิเมชันที่ใช้เวลา 12 นาที ทำให้โลกตระหนักถึงความสำคัญของการรับรู้ถึงความรักในครอบครัว

เราบอกรักลูก (หรือคนที่เรารักที่สุด) ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?

เราอาจตอบคำถามนี้ด้วยการหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้นพบว่า จริงๆ แล้วเราต่างคิดว่ามีเวลาเสมอ

เวลาที่จะพูด 

เวลาที่จะกอด 

เวลาที่จะทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้แต่ยังไม่ได้ทำ 

เราทุกคนล้วนใช้ชีวิตอยู่บนความเข้าใจง่ายๆ นี้ว่า “พรุ่งนี้ก็ยังมีอยู่ตรงนั้นเสมอ”

แต่ความธรรมดานั้นเอง กลับเปราะบางที่สุด

If Anything Happens I Love You คือแอนิเมชันที่เล่าเรื่องราวของคู่รักคู่หนึ่งที่สูญเสียลูกสาวไปจากเหตุการณ์ยิงกราดในโรงเรียน โดยใช้วิธีการเล่าผ่านภาพ เสียงเพลง และเงา ซึ่งไม่ใช่เงาที่สะท้อนรูปร่างภายนอก แต่คือเงาของโลกภายในและสิ่งที่ไม่ได้พูดออกมา เงาของความโศกเศร้าที่แน่นขนัดอยู่ภายในใจ เงาที่ภาพสะท้อนอัดแน่นตัวโตขยายใหญ่กว่าเจ้าของเงา คือตัวแทนของถ้อยคำที่ยังไม่ได้พูด เงาของความรักที่เราเฝ้าสงสัยว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ เพราะเรายังไม่ได้มีแม้แต่โอกาสที่จะพูดมันออกไป

ภาพเงาในเรื่องเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ทำให้เราเห็นว่า บ่อยครั้งที่เงาเหล่านี้พยายามสื่อสารแทนสิ่งที่ปากเราไม่กล้าพูด สิ่งที่มือเราไม่กล้าทำ มันบอกให้เราเห็นถึงความจริงอีกอย่างหนึ่งว่า มนุษย์เรามักเลือกจะเก็บคำพูดที่สำคัญที่สุด ไว้ในที่ที่ลึกที่สุดของหัวใจ ราวกับจะรอให้เวลาที่เหมาะสมมาถึงเสียก่อน

แอนิเมชันเรื่องนี้ไม่มีภาพความรุนแรง ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีเลือด ไม่มีบทสนทนา แต่กลับกรีดลึกเข้าไปในหัวใจของผู้ชมด้วยความเงียบ ความเรียบง่าย ไม่มีอะไรที่หวือหวาเกินจริง แต่กลับทรงพลังยิ่งกว่าด้วยความธรรมดาแสนสามัญ ความธรรมดาของชีวิตประจำวันที่เราอาจลืมไปว่า 

ทุกอย่างสามารถพังทลายลงได้ในชั่วพริบตาเดียว

เมื่อเราได้รู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยความเปราะบาง

ข้อความสั้นๆ ของเด็กสาวในโทรศัพท์: “If anything happens, I love you.”

หกคำธรรมดา ที่กลายเป็นคำบอกลาสุดท้าย 

คำที่พ่อแม่จะจำไปตลอดชีวิต

ในโลกจริง เราไม่สามารถปกป้องลูก หรือคนที่เรารัก ได้เสมอไป ไม่มีใครเตรียมตัวทันกับความสูญเสีย และไม่มีใครรู้ว่าเรายังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ที่จะพูดคำสำคัญเหล่านั้น

เราจึงต้องถามตัวเองอีกครั้ง ครั้งล่าสุดที่เราบอกรักลูก หรือคนที่เรารักคือเมื่อไหร่? และเราจะรออะไรอีกหรือไม่ เพื่อจะพูดคำง่ายๆ เหล่านั้นออกไป

ความเศร้าไม่ได้ผ่านชีวิตไปเป็นเส้นตรง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังพูดถึงความเงียบในอีกความหมายหนึ่ง ความเงียบที่ไม่ได้หมายถึงความว่างเปล่า แต่เป็นพื้นที่ พื้นที่ของความเศร้า พื้นที่ของการยอมรับ พื้นที่ของการอยู่กับความไม่สมบูรณ์

ในบางครอบครัว ความเศร้าไม่ได้ผ่านไปเป็นเส้นตรง หากแต่ดำรงอยู่เหมือนเงาที่ค่อยๆ เดินเคียงไปกับชีวิต

เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเงียบนั้น ไม่ผลักไส ไม่เร่งเร้า ไม่พยายามจะหาคำอธิบายให้กับทุกความรู้สึก เพราะบางครั้ง การยอมให้เงาอาศัยอยู่ในบ้าน ในใจ ในชีวิตคู่ อาจเป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้

ความทรงจำของลูกยังคงอยู่ในรูปของเสื้อผ้า เพลงที่ชอบ ฟุตบอลที่เคยเล่น เค้กวันเกิด และเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ไม่มีใครนั่งอีกแล้ว มันไม่ใช่เศษของอดีต แต่มันคือสะพานที่เหมือนเส้นความรู้สึกบางๆ ที่พาเรากลับไปในวันที่ยังมีเสียงหัวเราะ และพาเราก้าวต่อไปในวันที่ยังต้องหายใจ

ในช่วงท้ายของภาพยนตร์ ความรักของสามีภรรยาที่เหมือนจะเปราะบางและร้าวรานจนไม่อาจประสานได้ กลับถูกเชื่อมด้วยความเงียบแบบเดียวกัน ความเศร้าแบบเดียวกัน และถ้อยคำสุดท้ายที่ลูกฝากไว้ให้

หกคำที่ไม่ใช่สำหรับคนที่จากไป แต่เป็นถ้อยคำประคองชีวิตให้ลุกขึ้นใหม่สำหรับคนที่ยังเหลืออยู่

“If anything happens, I love you.”

อาจไม่ใช่เพียงคำพูดสุดท้ายของลูก แต่คือคำที่ช่วยประคองให้คนสองคนเดินต่อไปได้ในวันที่ไม่มีลูกอยู่ตรงกลางอีกต่อไป 

พ่อแม่ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับความทรงจำแทนที่จะใช้ชีวิตกับตัวลูก และใช้ความทรงจำนั้นค่อยๆ เป็นพลังก่อประกอบชีวิตขึ้นใหม่  ความรักเป็นสิ่งที่พวกเขายังเหลืออยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของชีวิตที่พังทะลายลงนั้น ความรักที่ไม่อวดตัว ไม่เร่งเร้า ไม่พยายามชนะอะไร แต่ค่อยๆ ก่อรูปร่างใหม่อีกครั้ง เหมือนแสงอ่อนๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างบ้านในเช้าหลังฝนตก

ความรักที่ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างหายดี แต่ทำให้เรายังอยู่ได้

บางทีประโยค “If anything happens, I love you” ประโยคเดียวที่ลูกสาวทิ้งไว้ให้ และประโยคเดียวที่พวกเขาเหลืออยู่นี้ จะกลายเป็นพลังที่ทำให้พวกเขาค่อยๆ ประคองชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้ง


Writer

Avatar photo

กองบรรณาธิการ Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts