เราบอกรักลูก (หรือคนที่เรารักที่สุด) ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
เราอาจตอบคำถามนี้ด้วยการหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้นพบว่า จริงๆ แล้วเราต่างคิดว่ามีเวลาเสมอ
เวลาที่จะพูด
เวลาที่จะกอด
เวลาที่จะทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้แต่ยังไม่ได้ทำ
เราทุกคนล้วนใช้ชีวิตอยู่บนความเข้าใจง่ายๆ นี้ว่า “พรุ่งนี้ก็ยังมีอยู่ตรงนั้นเสมอ”
แต่ความธรรมดานั้นเอง กลับเปราะบางที่สุด
If Anything Happens I Love You คือแอนิเมชันที่เล่าเรื่องราวของคู่รักคู่หนึ่งที่สูญเสียลูกสาวไปจากเหตุการณ์ยิงกราดในโรงเรียน โดยใช้วิธีการเล่าผ่านภาพ เสียงเพลง และเงา ซึ่งไม่ใช่เงาที่สะท้อนรูปร่างภายนอก แต่คือเงาของโลกภายในและสิ่งที่ไม่ได้พูดออกมา เงาของความโศกเศร้าที่แน่นขนัดอยู่ภายในใจ เงาที่ภาพสะท้อนอัดแน่นตัวโตขยายใหญ่กว่าเจ้าของเงา คือตัวแทนของถ้อยคำที่ยังไม่ได้พูด เงาของความรักที่เราเฝ้าสงสัยว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ เพราะเรายังไม่ได้มีแม้แต่โอกาสที่จะพูดมันออกไป
ภาพเงาในเรื่องเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ทำให้เราเห็นว่า บ่อยครั้งที่เงาเหล่านี้พยายามสื่อสารแทนสิ่งที่ปากเราไม่กล้าพูด สิ่งที่มือเราไม่กล้าทำ มันบอกให้เราเห็นถึงความจริงอีกอย่างหนึ่งว่า มนุษย์เรามักเลือกจะเก็บคำพูดที่สำคัญที่สุด ไว้ในที่ที่ลึกที่สุดของหัวใจ ราวกับจะรอให้เวลาที่เหมาะสมมาถึงเสียก่อน
แอนิเมชันเรื่องนี้ไม่มีภาพความรุนแรง ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีเลือด ไม่มีบทสนทนา แต่กลับกรีดลึกเข้าไปในหัวใจของผู้ชมด้วยความเงียบ ความเรียบง่าย ไม่มีอะไรที่หวือหวาเกินจริง แต่กลับทรงพลังยิ่งกว่าด้วยความธรรมดาแสนสามัญ ความธรรมดาของชีวิตประจำวันที่เราอาจลืมไปว่า
ทุกอย่างสามารถพังทลายลงได้ในชั่วพริบตาเดียว
เมื่อเราได้รู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยความเปราะบาง
ข้อความสั้นๆ ของเด็กสาวในโทรศัพท์: “If anything happens, I love you.”
หกคำธรรมดา ที่กลายเป็นคำบอกลาสุดท้าย
คำที่พ่อแม่จะจำไปตลอดชีวิต
ในโลกจริง เราไม่สามารถปกป้องลูก หรือคนที่เรารัก ได้เสมอไป ไม่มีใครเตรียมตัวทันกับความสูญเสีย และไม่มีใครรู้ว่าเรายังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ที่จะพูดคำสำคัญเหล่านั้น
เราจึงต้องถามตัวเองอีกครั้ง ครั้งล่าสุดที่เราบอกรักลูก หรือคนที่เรารักคือเมื่อไหร่? และเราจะรออะไรอีกหรือไม่ เพื่อจะพูดคำง่ายๆ เหล่านั้นออกไป
ความเศร้าไม่ได้ผ่านชีวิตไปเป็นเส้นตรง
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังพูดถึงความเงียบในอีกความหมายหนึ่ง ความเงียบที่ไม่ได้หมายถึงความว่างเปล่า แต่เป็นพื้นที่ พื้นที่ของความเศร้า พื้นที่ของการยอมรับ พื้นที่ของการอยู่กับความไม่สมบูรณ์
ในบางครอบครัว ความเศร้าไม่ได้ผ่านไปเป็นเส้นตรง หากแต่ดำรงอยู่เหมือนเงาที่ค่อยๆ เดินเคียงไปกับชีวิต
เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเงียบนั้น ไม่ผลักไส ไม่เร่งเร้า ไม่พยายามจะหาคำอธิบายให้กับทุกความรู้สึก เพราะบางครั้ง การยอมให้เงาอาศัยอยู่ในบ้าน ในใจ ในชีวิตคู่ อาจเป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้
ความทรงจำของลูกยังคงอยู่ในรูปของเสื้อผ้า เพลงที่ชอบ ฟุตบอลที่เคยเล่น เค้กวันเกิด และเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ไม่มีใครนั่งอีกแล้ว มันไม่ใช่เศษของอดีต แต่มันคือสะพานที่เหมือนเส้นความรู้สึกบางๆ ที่พาเรากลับไปในวันที่ยังมีเสียงหัวเราะ และพาเราก้าวต่อไปในวันที่ยังต้องหายใจ
ในช่วงท้ายของภาพยนตร์ ความรักของสามีภรรยาที่เหมือนจะเปราะบางและร้าวรานจนไม่อาจประสานได้ กลับถูกเชื่อมด้วยความเงียบแบบเดียวกัน ความเศร้าแบบเดียวกัน และถ้อยคำสุดท้ายที่ลูกฝากไว้ให้
หกคำที่ไม่ใช่สำหรับคนที่จากไป แต่เป็นถ้อยคำประคองชีวิตให้ลุกขึ้นใหม่สำหรับคนที่ยังเหลืออยู่
“If anything happens, I love you.”
อาจไม่ใช่เพียงคำพูดสุดท้ายของลูก แต่คือคำที่ช่วยประคองให้คนสองคนเดินต่อไปได้ในวันที่ไม่มีลูกอยู่ตรงกลางอีกต่อไป
พ่อแม่ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับความทรงจำแทนที่จะใช้ชีวิตกับตัวลูก และใช้ความทรงจำนั้นค่อยๆ เป็นพลังก่อประกอบชีวิตขึ้นใหม่ ความรักเป็นสิ่งที่พวกเขายังเหลืออยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของชีวิตที่พังทะลายลงนั้น ความรักที่ไม่อวดตัว ไม่เร่งเร้า ไม่พยายามชนะอะไร แต่ค่อยๆ ก่อรูปร่างใหม่อีกครั้ง เหมือนแสงอ่อนๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างบ้านในเช้าหลังฝนตก
ความรักที่ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างหายดี แต่ทำให้เรายังอยู่ได้
บางทีประโยค “If anything happens, I love you” ประโยคเดียวที่ลูกสาวทิ้งไว้ให้ และประโยคเดียวที่พวกเขาเหลืออยู่นี้ จะกลายเป็นพลังที่ทำให้พวกเขาค่อยๆ ประคองชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้ง