1. จริงใจ
2. ยิ้มเก่ง
3. มุ่งมั่น
4. เส้นตื้น
5. มีความอดทนสูง
คือข้อดีจากการมองตัวเองของ จูเนียร์-ภาคิน กาญจนจูฑะ หรือ จูเนียร์ พ่อค้าขายเสื้อวินเทจมือสองบน TikTok ขวัญใจพี่สาว พี่ชายชาวเน็ตที่เอ็นดูเขาเหมือนเป็นเจ้าหมาเด็กบ๊อกแบ๊กสุดน่ารัก ซึ่งเราเห็นด้วยกับข้อดีที่เขาว่ามาทุกประการ เพราะตลอดการสัมภาษณ์ หนุ่มน้อยคนนี้ยิ้มกว้างให้เราตั้งแต่เริ่มจนจบ มีอารมณ์ขันให้กับประโยคตลกๆ จริงใจที่จะแชร์เรื่องราวที่ผ่านมาของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ที่สำคัญเขามุ่งมั่น และมีความอดทนสูง เพราะตลอดการเติบโต ชีวิตของเขาพลิกผันไปมา ขึ้นๆ ลงๆ มีวันที่ลุกขึ้นได้ และวันที่ล้มลง เหมือนราคาเสื้อผ้ามือสองที่เขาขาย บางครั้งเสื้อตัวหนึ่งก็ราคาขึ้นไปสูงมาก แต่วันหนึ่งราคามันก็อาจจะตกลงมา และอีกไม่นานก็อาจจะราคาขึ้นมาอีกก็ได้
เหมือนกับ ‘ชีวิต’ นี่แหละ มนุษย์เรามักจะเจอเรื่องที่ควบคุมไม่ได้เข้ามาในชีวิต แต่จูเนียร์ก็บอกอย่างเข้มแข็งว่า “ผมอดทนได้ทุกเรื่อง อดทนได้กับทุกอย่างที่เข้ามา เพราะผมเป็นคนที่ยอมรับสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นได้ดีครับ”
เพราะชีวิตไม่เที่ยงถูกมั้ย? พี่สาวอย่างเรา ถามน้องชายคนนี้กลับ และแน่นอนเขาบอกว่า “ธรรมชาติมันก็เป็นแบบนี้ครับ ไม่เที่ยง ไม่มีอะไรอยู่ยงคงกระพัน มีลง ก็ต้องมีขึ้น” ฉะนั้นการยอมรับให้ได้ที่จะอยู่กับ ‘ปัจจุบัน’ จึงเป็นสิ่งที่จูเนียร์ยึดมั่นมาตลอดการเติบโต
กว่าเขาจะกลายมาเป็น ‘หมาเด็ก’ ขวัญใจประชาชนในชั่วข้ามคืนจากการไลฟ์ขายเสื้อ เขาเคยเป็นเด็กที่มีชีวิตแสนสบาย เรียนโรงเรียนนานาชาติ อยากทำอะไรก็ทำได้เลย แต่วันหนึ่งชีวิตก็เจอเรื่องไม่คาดฝัน ครอบครัวล้มละลาย ต้องออกจากระบบการศึกษา ขาดการติดต่อกับเพื่อน จนทำให้ไม่มีเพื่อนเลย
เขาคิดช่วยแบ่งเบาครอบครัว ทั้งช่วยคุณพ่อขายไอศกรีมแถวบ้าน กระทั่งขายเสื้อผ้ามือสองตั้งแต่อายุ 17 ปี ขณะที่ครอบครัวก็ต้องเปลี่ยนงานทำเรื่อยๆ ตามสถานการณ์ ก่อนที่จูเนียร์จะตัดสินใจกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาในรอบ 2 ปี ด้วยการสอบเทียบ โดยยืมเงินคุณป้าไปสอบ และทำให้เขาได้เข้ามหาวิทยาลัย ABAC ซึ่งไม่นานก็ได้ทุนเต็มจำนวนจากความมุ่งมั่นตั้งใจ
ทั้งนี้หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า หลังจากเรียน จูเนียร์เลือกเส้นทางพนักงานออฟฟิศ โดยทำงานเกี่ยวกับการทำอีเวนต์มาก่อน แต่ชีวิตก็พลิกผัน โดน lay off กลายเป็นคนว่างงาน ทำให้เลือกกลับมาศึกษาเรื่องเสื้อมือสองที่เขารัก และอยากจะจริงจังกับมันอีกสักครั้ง
และใช่เลย นี่คือชีวิตคร่าวๆ ของจูเนียร์ ก่อนจะมาเป็นจูเนียร์ที่ทุกคนรู้จักในวันนี้ ที่ทำให้เขาเรียนรู้ในการปรับตัวให้ได้กับทุกสถานการณ์ รู้จักคิดรอบคอบ รู้จักเผื่อใจ และรู้จักลองทำในสิ่งที่อยากทำเมื่อมีโอกาส
1. ผมไม่ดื้อครับ
พอมีคนเรียกเขาว่าบ๊อกแบ๊กบ่อยๆ เขาก็มักจะถูกถามอยู่หลายต่อหลายครั้งเช่นกันว่า คิดว่าตัวเองเป็นหมาพันธุ์อะไร ซึ่งในทุกๆ ครั้ง จูเนียร์จะตอบว่า ตัวเองเหมือนหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ โดยเหตุผลก็เพราะ “ความร่าเริง และความขี้เล่นมั้งครับ”
แม้จะขี้เล่นและซนบ้าง แต่เขายิ้มหวานพร้อมบอกเราว่า
“แต่ผมไม่ดื้อนะครับ ผมเลี้ยงง่าย อยู่ง่าย กินง่าย เชื่อฟัง แต่ถามว่ามีมุมดื้อไหม ก็มีบ้าง แต่จะเป็นดื้อที่ถูกเรื่อง ดื้อกับเรื่องที่เราอยากจะหนักแน่นกับตรงนั้น อย่างตอนที่ผมจะกลับมาขายเสื้ออีกครั้งตอนอายุ 24 จากที่ก่อนหน้านี้เคยขายมาแล้วตอนอายุ 17 เพราะผมชอบเสื้อวินเทจมาก การกลับมาขายครั้งนี้ ผมก็ตั้งใจที่จะลุย และโฟกัสที่มันอย่างเดียวไปเลยครับ”
2. ผมเคยเป็นคนไม่คิดอะไรเลยครับ
ก่อนจะมาเป็นจูเนียร์ที่นั่งอยู่ด้านหน้าเราที่คิดหน้าคิดหลัง และมีสติในการใช้ชีวิต เขาเคยเป็นคนที่ไม่คิดอะไรเลย จูเนียร์เรียนชั้นประถมฯ ถึง มัธยมต้น ที่โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี ชีวิตไม่ได้เข้าใกล้คำว่าลำบาก มีกิน มีใช้
“ทุกอย่างดีไปหมดเลยครับ อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปเดินห้าง อยากไปเที่ยว ก็ไป อยากกินอะไร ก็กิน มันไม่ต้องคิดอะไรเลยครับ
“ตอนเรียนนานาชาติ ทำให้ผมฟังภาษาอังกฤษออกมากขึ้น จับใจความได้มากขึ้น สื่อสารพอได้ จนทุกวันนี้ที่ฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่องก็เพราะผมได้เข้าไปเรียนที่นั่นแหละครับ แต่ตอนนั้นผมก็ติดเกมมากๆ เหมือนกันครับ เล่นจนมือถูกับแผ่นรองเมาส์จนเป็นรอย เล่นทั้งวันทั้งคืน แบบไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ
“แล้วผมก็มีหลายความฝันเยอะมากๆ แต่หลักๆ ผมอยากเป็นนักร้อง ชอบร้องเพลง เล่นกีตาร์ตั้งแต่ 10 ขวบ แล้วก็เล่นมาตลอดไม่มีเบื่อ”
ชีวิตที่ไม่คิดอะไรของจูเนียร์ เปลี่ยนไปแบบฉับพลัน เมื่อเขาต้องออกจากโรงเรียน เพราะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทำให้ครอบครัวล้มละลาย โลกที่เขาต้องอยู่จึงต่างออกไปจากเดิมอย่างเลี่ยงไม่ได้ และมันก็ทำให้การมองสิ่งต่างๆ รอบตัวของเขาเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
3. ผมต้องคิดเยอะๆ ครับ
“จากที่เราเคยไม่ต้องคิดอะไรเลย ทำให้เราต้องคิดมากขึ้น จะทำอะไร จะไปไหน จะกินอะไร มันต้องคิดเยอะมากๆ เพราะว่า 100 บาทมีค่ามากๆ แล้วเราก็มีทั้งน้อง ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ที่ต้องอยู่ร่วมกันให้รอดไปให้ได้
“อาทิตย์แรกที่ผมหลุดออกมาจากระบบการศึกษา คุ้นๆ ว่า ผมรู้สึกว่าเราได้หยุดนาน เป็นความคิดแบบเด็กๆ แต่พอผ่านไปเป็นเดือน สองเดือน สามเดือน บวกกับสถานการณ์ที่บ้าน ตอนนั้นเราเริ่มรู้แล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นอยู่ มันกลายเป็นว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ มันคือของจริง อย่างเรื่องจิตใจก็กระทบหนักหน่อย เพราะผมไม่มีเพื่อน ขาดการติดต่อ คอมก็ไม่มีแล้ว โทรศัพท์ก็ไม่มี ไม่ได้พูดคุย ไม่มีสังคม เรากลับมาอยู่กับตัวเองจริงๆ ซึ่งเราได้แต่แบบ…ปล่อยมันไป เพราะผมทำอะไรไม่ได้จริงๆ ได้แต่ยอมรับสภาพนั้นไป เจออะไรก็ค่อยๆ แก้กันไป สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากตอนนั้นคือ ในท้ายที่สุด ถ้าเราไม่มีใครจริงๆ ครอบครัวเรายังอยู่ตรงนี้นะ”
ช่วงแรกมักยากเสมอ เช่นเดียวกับที่มันยากสำหรับเด็กคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นเด็กไร้เพื่อน และไม่ได้วิ่งเล่นตามวัย แต่จูเนียร์ก็พยายามยอมรับว่ามันเกิดอะไรขึ้น และพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ได้เร็วที่สุด และอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ครอบครัวผ่านพ้นเรื่องยากๆ นี้ไปให้ได้ โดยเริ่มแรก จูเนียร์ได้ไปช่วยพ่อขายไอศกรีมถังตักแถวบ้าน เขาบอกว่าแม้ตอนนั้นจะเป็นโมเมนต์ที่ยาก แต่ก็อบอุ่นไปด้วย เพราะสมาชิกทุกคนในครอบครัวออกมาช่วยกันขายไอศกรีมด้วยกันทั้งบ้าน ไม่ปล่อยให้ใครต้องเหงาเลย
เวลาล่วงเลยไป จนจูเนียร์เลือกไปขายเสื้อผ้ามือสองที่เขาชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“แม้ว่าผมไม่ได้ชอบการเป็นพ่อค้าเลยนะครับ ผมขายไม่เป็น พูดไม่รู้เรื่อง ขี้อายด้วย แต่เรารู้ว่าเราชอบสิ่งนี้ และคิดว่าการค้าขายเป็นหนทางที่น่าจะหมุนเวียนเงินได้ดีที่สุด ณ ตอนนั้น ผมอยากช่วยที่บ้าน คือนิดหน่อยก็ยังดี อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เขาลำบากไปมากกว่านี้ ซึ่งตอนนั้นก็ขาดทุนยับครับ (หัวเราะ) เพราะถ้าเรายกกระสอบมาแล้วขายได้หมดทั้งกระสอบ เราจะได้กำไรแน่ๆ แต่ผมไม่เคยขายหมดเลย บางตัวทุกวันนี้ก็ยังอยู่ที่บ้านผม คุณพ่อของผมยังใส่อยู่เลยครับ”
4. ผมให้ความสำคัญกับการศึกษาครับ
ในเวลา 2 ปีเต็มที่อยู่ดีๆ จูเนียร์ก็หลุดออกจากระบบการศึกษาไป แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายเวลา “เพราะทุกอย่างในตอนนั้น ทำให้เราเป็นเราในวันนี้ และสอนอะไรเราเยอะมากครับ สอนให้ผมได้อยู่กับตัวเองจริงๆ” แต่โชคชะตาก็ทำให้จูเนียร์ได้กลับเข้าไปในระบบการศึกษาอีกครั้งสำเร็จ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เขาจะเลิกหวังว่าจะได้กลับไปเรียนแล้ว
“พอขายไม่ได้ เลยคิดว่า เราคงไม่เก่งเรื่องนี้ ก็เริ่มคิดว่า เรากลับไปทำอะไรที่วัยเราควรทำดีไหม ผมก็ไปรู้มาว่ามันมีสอบเทียบนะ เลยยืมเงินคุณป้ามาเพื่อไปสอบ จึงได้เข้ามหาวิทยาลัย แล้วผมก็ได้เป็นเด็กทุน 100% ในเทอมที่ 2 จนเรียนจบเลยครับ”
การกลับมาเข้าสังคมและอยู่ในระบบอีกครั้ง กลายเป็นเรื่องใหม่ของจูเนียร์ แต่นั่นก็ทำให้เขาดีใจ ที่ในที่สุดเขาก็ได้มีชีวิตวัยรุ่น เขาบอกเราว่า
“ผมตื่นเต้นมากครับตอนที่ได้กลับมาอยู่ในระบบการศึกษา มันดีใจมากๆ มันเหมือนกับว่า เราจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เพราะผมเห็นความสำคัญของการศึกษามากๆ แม้ตอนเด็กๆ อาจจะไม่ได้ตั้งใจเรียนมาก แต่ผมว่ามันสำคัญนะ มันอาจจะไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แต่ผมคิดว่ามันช่วยขัดเกลาเราให้เรามองเห็นบางมุมที่เราอาจมองข้ามไปได้”
5. ผมพยายามทำตัวให้เป็นน้ำครับ
บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่า จูเนียร์เรียนด้านดิจิตอลมีเดียที่เกี่ยวข้องกับการทำกราฟิก และตัดต่อวิดีโอมาก่อน แต่จังหวะชีวิต (อีกแล้ว!) ที่ทำให้เขาได้ไปเล่นละครเวทีของมหาวิทยาลัย แล้วมาสังเกตตัวเองได้ว่า มีความสุขกับการทำงานด้านที่เกี่ยวข้องกับการทำอีเวนต์ เขาเลยตัดสินใจย้านคณะมาเรียนด้านอีเวนต์แทน และเมื่อเรียนจบ เขาก็ตัดสินใจที่จะทำงานในบริษัทสตาร์ทอัพด้านดิจิตอลอีเวนต์ แต่ทำมาได้ 1 ปีเต็ม โลกก็หมุนความไม่เที่ยงเข้ามาในชีวิตจูเนียร์อีกครั้ง เมื่อบริษัททำการ lay off พนักงานหลายตำแหน่ง ซึ่งเขาก็โดนไปด้วย
“การกลับมาขายเสื้อครั้งที่สอง ไม่ได้อยู่ในแพลนของผม จริงๆ ผมกะจะเป็นพนักงานออฟฟิศไปเรื่อยๆ แต่ที่บริษัทเขามีการเอาคนออก ผมออกมา 4 เดือน ตื้ออยู่ครับ แต่โชคดีที่ผมออมเงินไว้พอสมควร เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา สอนให้ผมรู้ว่าเงินออมมันจำเป็น”
“ด้วยความที่ผมชอบเสื้ออยู่แล้ว ตู้เสื้อผ้าผมเปิดมาก็เหมือนจตุจักรเลย ก็เลยกลับมาศึกษาจริงจัง มาดูว่าตอนนี้เป็นยังไง ซึ่งข้อมูลมันเยอะกว่าตอนปี 2017 มากๆ มีพ่อค้า แม่ค้า มาแชร์ข้อมูลกันแบบไม่กั๊ก ศึกษาวิธีการดูตะเข็บ ดูป้าย ดูทรง ดูปี ดูลาย ดูสภาพ ที่ล้วนเป็นปัจจัยที่มีผลต่อราคาเสื้อ แล้วผมก็กลายมาเป็นพ่อค้าครับ แล้วก็เป็นมาถึงตอนนี้”
สกิลการยืดหยุ่น และพร้อมปรับตัวตามสถานการณ์ มีส่วนสำคัญต่อจูเนียร์มากๆ เพราะชีวิตที่ผันผวนครั้งนี้ เขามีสติและรับมือได้มากกว่าเดิม น้องชายคนนี้แชร์ให้ฟังว่า
“การยืดหยุ่นกับตัวเอง มีความสำคัญมากๆ เลยครับ ผมพยายามทำตัวให้เป็นน้ำให้มากที่สุด น้ำที่ไปได้ทุกที่ พยายามปรับตัวให้ได้กับทุกอย่าง มันจะทำให้เราอยู่บนโลกนี้ได้ จะเรียกว่าไม่ยึดติดก็ได้ครับ เพราะการยึดติดมันทุกข์มากนะครับ มันเหนื่อยด้วยที่ต้องหาอะไรมาถือ มาแบกไว้เยอะๆ อะไรที่ปล่อยได้ก็ปล่อย มันเบาและสบายใจกว่า
“มันทำให้ผมคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา เพราะการที่เราลองดู ลองทำ มันก็ไม่เสียหาย ทำได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญ ถ้าไม่ได้ลำบากหรือกระทบใคร เราทำไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาเสียดายทีหลัง เช่นผมเป็นคนขี้อายมาก แต่ผมก็ยังไปออดิชันละครเวทีที่มหาวิทยาลัย เพราะรู้ว่าลึกๆ เราน่าจะมีความสุขกับสิ่งนี้ ใจข้างในมันบอกให้เราลองดู ตอนจบจากมหาวิทยาลัย อยากลองเล่นหน้ากล้อง ผมก็ลองทำคอมการ์ดขึ้นมา แล้วไปไล่โพสต์ส่งแคสต์งาน ทำให้มีงานเข้ามาเรื่อยๆ จนได้เข้ามาอยู่ในโมเดลลิ่ง และผมก็ได้มาเป็นพ่อค้า เพราะเสื้อวินเทจเป็นสิ่งที่ผมชอบและอยากทำ”
6. ผมผ่านมาได้ด้วยธรรมะและหนังสือครับ
ช่วงชีวิตที่ต้องสู้เพื่อให้ผ่านความยากลำบากเมื่อมีสถานการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จูเนียร์ยอมรับว่ามันส่งผลต่อสุขภาพจิต และ “มีช่วงที่ผมดาวน์ว่า เรากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย เรียนก็ไม่ได้เรียน ไม่รู้ว่าอนาคตจะทำอะไร หรือจะเป็นยังไง มันน่ากลัวนะครับ การมองไม่เห็นปลายทางข้างหน้า ตอนนั้นเป็นช่วงที่ทำให้ผมไปฟังธรรมะ และไปอ่านหนังสือแนว spiritual หรือ awakening ดูและฟังเยอะมากๆ ผมคิดว่ามันช่วยให้ผมยอมรับการปล่อยให้มันเป็นไปในปัจจุบัน”
“มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมชอบมาก ชื่อว่า The Power of Now ของ Eckhart Tolle เขาสอนเกี่ยวกับพลังของปัจจุบัน เขาอธิบายไว้ลึกมากๆ คือถ้าเราอยู่กับปัจจุบันตรงนี้ จริงๆ มันไม่มีอะไรน่ากลัวเลยนะครับ เจอปัญหาอะไรมา ก็ค่อยๆ แก้ไป สมมติปัญหาเข้ามา ปึ้ง แทนที่จะโดนเรา 100 หนังสือหรือว่าธรรมะจะทำให้เราโดนน้อยลง อาจจะเหลือ 60 เก่งหน่อย อาจจะเหลือ 30 ปัญหามันจะซอฟต์ลง เพราะเราจะไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหา แต่เราจะมองว่า ธรรมชาติมันก็เป็นแบบนี้ ธรรมชาติของความไม่เที่ยงน่ะครับ ผมว่ามันไม่มีอะไรอยู่ยงคงกระพัน มีลง ก็ต้องมีขึ้น พอชีวิตดีมากๆ เดี๋ยวสักพักชีวิตก็อาจนิสัยไม่ดีลากเราลงไปอีก พอเห็นเราทุกข์มากๆ มันก็ค่อยๆ ดึงเราขึ้น เราไม่มีทางรู้อะไรเลยครับ”
นอกจากนี้จูเนียร์ยังชอบฟัง audio book เกี่ยวกับจิตวิญญาณ และจิตวิทยา เช่น How to Win Friends & Influence People ของ Dale Carnegie
“จริงๆ เรากับความคิดของเรา มันแยกส่วนกันนะครับ เราอาจมีความรู้สึกที่ว่าเรายังไม่ตาย อันนี้คือตัวเรา แต่ความคิดก็คือความคิดที่โผล่ขึ้นมา แล้วมันก็หายไป ซึ่งมันจะทุกข์ตอนที่เราเอาความคิดตรงนี้มาคิดว่านั่นคือ ‘เรา’ แต่เราพอจะรู้เท่าทันความคิด และหยิบจับความคิดได้ มันจะทำให้เราเบาขึ้นมา ไม่เอาตัวเราไปเป็นแบบนั้น มองความคิดให้เป็นเมฆ ที่ลอยมา และลอยไป ความทุกข์มันไม่มีทางที่จะอยู่ตรงนั้นอย่างคงกระพัน”
7. ผมเป็นพ่อค้าครับ!
จูเนียร์คิดว่า Mindset อะไรบ้างที่ทำให้เรากลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้ง?
เขาใช้เวลาคิดสักพัก ก่อนจะบอกเราว่า “ที่นึกออกตอนนี้ คือการยอมรับครับ ยอมรับไปเลยว่าตอนนี้มันเป็นยังไง เราอยู่ตรงไหน เรามีอะไร ยอมรับก่อนว่าสถานการณ์มันเป็นยังไง แย่ก็แย่ ดีก็ว่าไปตามนั้น แล้วมาดูว่าเราจะหาทางแก้มันยังไงได้บ้าง ค่อยๆ แก้กันไป เพราะถ้าเราไม่หาทางหยุดแก้ ยังไงก็เจอทางออกครับ มันอาจจะเครียดนะครับ กลัวด้วยครับว่าจะแก้ได้ไหม หรือปัญหาจะอยู่ไปอีกนานตลอดชีวิตไหม แต่พอถึงจุดหนึ่ง มันก็จะหาทางแก้ไปได้แบบงงๆ บางคนอาจจะเรียกว่าจังหวะชีวิต” ซึ่งจังหวะชีวิตนั้น ทำให้เขากลายเป็นพ่อค้าที่หลายคนรักอย่างในวันนี้
“ความสนุกของเสื้อมือสองมันอยู่ตรงที่ มันจะมีการอัปเดตทุกปี และตลอดเวลา ปีนี้เป็นแบบนี้ ปีหน้าราคาของเสื้อตัวนี้อาจจะตก แต่อีกตัวอาจจะเพิ่มขึ้นมา อย่างช่วงหนึ่งบางลายการ์ตูนเคยขึ้นไปเป็นหมื่น แต่ปัจจุบันก็ดรอปลงมา ซึ่งอนาคตราคาก็อาจตีกลับขึ้นไปอีก ก็เหมือนชีวิตเหมือนกันนะ (หัวเราะ) ที่มันไม่เที่ยงเหมือนกัน”
ผมก็ขายตามธรรมชาติของผม ต้องขอบคุณพี่สาว พี่ชาย ทุกคนจริงๆ เพราะผมไม่ได้มีลูกเล่น ผมไม่มีเลยครับ ผมเป็นยังไง ผมก็ปล่อยออกมาให้คนเห็นแบบนั้น เพราะผมเชื่อว่า มนุษย์เราไม่ได้โง่ เขารู้ได้ว่าคนนี้กำลังเมคหรือจริง ถ้าเราเป็นตัวเองไปเลยตั้งแต่ต้น เขาก็จะรู้สึกดีด้วย ตัวเราเองก็จะรู้สึกดีด้วย”
“ความสุขในช่วงนี้ของผมคือการได้อยู่กับครอบครัว และได้เจอพี่สาว พี่ชาย ได้เจอพี่ผู้จัดการ แค่นี้ครับ ผมแฮปปี้มากๆ และหาวันเวลาไปพบปะทานข้าวกัน พอแล้วครับ”
“มันมีบางวันที่เราเหนื่อยกาย แต่ทุกครั้งที่เราเริ่มไลฟ์ ได้เจอพี่สาว พี่ชาย ที่เขาเข้ามาพูดคุย มาให้กำลังใจ มาเติมพลังให้เรา มันก็หายเหนื่อยจริงๆ ครับ มันอุ่นใจ และอบอุ่นมากๆ ตอนนี้ การไลฟ์ขายของมันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผมไปแล้ว เพราะทั้งหน้าบ้าน และหลังบ้าน จะมีพี่ๆ คอยส่งกำลังใจให้ตลอด”
“ชีวิตหลังจากนี้ ผมพยายามไม่แพลนมันไปไกลถึง 5 ปี 10 ปี แค่เรารู้ก็พอครับว่าเราเป็นยังไง กำลังทำอะไรอยู่ และเราอยากจะมุ่งไปทางไหน ถ้าเราโฟกัสแค่ตรงนี้ และทำมันไป เดี๋ยวผลที่ตามมาจากความตั้งใจ มันก็น่าจะส่งผลให้ทุกอย่างดีตามๆ กันไป จริงๆ การแพลน มันมีประโยชน์ แต่บางอย่างมันไม่ได้เป็นไปตามแพลนนั้นหรอกครับ ซึ่งพอมันไม่เป็น แปลว่าแพลนนั้นอาจจะไม่ได้มีอยู่จริง เพราะทุกอย่างมันไม่แน่นอน ไม่มีอะไรเพอร์เฟกต์ สิ่งที่ทำได้คือ ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด และสุดความสามารถ แค่ให้เราไม่เสียใจภายหลังก็พอครับ”