วงเสวนา “พื้นที่เล่น พื้นที่เรียนรู้ : พื้นที่เติบโตของครอบครัว” ในงาน FAM Fest 2025 กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2568
เสียงเด็กหัวเราะจากโซนเล่นข้างนอกดังแทรกเข้ามาในห้องเสวนา
เสียงนั้นไม่ใช่แค่เสียงฉากหลังของงาน Fam Fest 2025 ที่จัดขึ้นโดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กทม. และ สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว (สำนัก 4) สสส. เท่านั้น แต่คือคำตอบของหัวข้อในวันนี้ “พื้นที่เล่น พื้นที่เรียนรู้ : พื้นที่เติบโตของครอบครัว”

แม่บี มิรา เวฬุภาค จาก Mappa ได้รับเชิญให้เป็นผู้ดำเนินรายการวงเสวนาในวันนี้ โดยแนะนำคำว่า “พื้นที่เรียนรู้” หรือ “Learning Space” ซึ่งเป็นคำใหม่ แต่ความหมายไม่ได้ใหม่ เมื่อเรานึกถึงโรงเรียน ห้องสมุด หรือพิพิธภัณฑ์ แต่นอกจากวงเสวนาจะพูดคุยถึง “ปริมาณพื้นที่เรียนรู้” ที่ยังคงน้อยมากเมื่อเทียบกับต่างประเทศโดยเฉพาะในยุโรป แต่ยังพูดถึง “คุณภาพ” และองค์ประกอบของพื้นที่เรียนรู้ ที่มีทั้ง “กระบวนการ” และ “คน” อย่างนักออกแบบการเรียนรู้ (Learning Designer) หรือ ผู้อำนวยการเล่น (Play Worker) ที่ยังเป็นคำศัพท์ใหม่ที่คนยังไม่ค่อยคุ้นเคย
และเมื่อไม่คุ้นเคย เราก็เลยยังนึกไปไม่ถึง และยังไม่ได้ให้ความสำคัญ
บนเวทีมีแขกรับเชิญสามคน ที่ล้วนทำงานเกี่ยวข้องกับ “พื้นที่” และ “การเติบโต” ในแบบของตัวเอง ไม่ใช่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่ในฐานะคนธรรมดาที่เคยเป็นเด็ก และกำลังเป็นพ่อแม่ในยุคที่พื้นที่แบบนี้เริ่มหายากขึ้นทุกที
ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่เชื่อว่า “เมืองทั้งเมืองสามารถเป็นห้องเรียนได้” ในบทบาทของผู้บริหาร เขาไม่เพียงดูแลระบบโครงสร้างของเมือง แต่ยังมองหาวิธีทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็น “เมืองแห่งการเรียนรู้” เมืองที่คนทุกวัยสามารถใช้ชีวิต เรียนรู้ และเติบโตไปพร้อมกันได้ในทุกย่าน และ เบื้องหลังตำแหน่งนี้ ทางการคือหัวใจของ “คุณพ่อ” ที่อยากเห็นลูกและเด็กทุกคนในเมืองนี้ได้มีพื้นที่วิ่งเล่นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย
แม่จิ๋ว วีรวรรณ กังวานนวกุล ผู้จัดการและนักออกแบบกระบวนการเรียนรู้จาก “โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้” จังหวัดเชียงราย พื้นที่เล็ก ๆ ที่เปลี่ยนสิ่งของธรรมดาให้กลายเป็นของเล่น และเปลี่ยนการเล่นให้กลายเป็นแรงบันดาลใจใหม่ให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เธอเชื่อว่า “การเล่นคือการเรียนรู้ที่ซื่อตรงที่สุด” เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของความสนุก แต่คือกระบวนการที่ทำให้มนุษย์ได้อยู่ร่วมกันอย่างแท้จริง
ป๊อปปี้ ภาณุ จิระคุณ ศิลปินนักร้อง และนักออกแบบและผู้ร่วมก่อตั้ง LittleLot Studio ทีมที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีมาผสมผสานกับการเล่น จากสนามเด็กเล่นจนถึงอินเตอร์แอ็กทีฟอาร์ต พื้นที่ของเขาคือสนามทดลองระหว่าง “เด็กกับโลก” ที่เด็กไม่เพียงได้เสพ แต่ได้ “สร้าง” สิ่งใหม่ขึ้นด้วยมือของตัวเอง ในอีกบทบาทหนึ่ง เขาคือคุณพ่อของลูกชายที่กำลังเริ่มเข้าไปเรียนรู้โลก และตัวเขาเองก็ กำลังเรียนรู้ไปพร้อมกับลูกและภรรยาว่าการเล่นนั้นไม่ได้จบลงเมื่อเราโตขึ้น
สามคนนี้ ต่างคนต่างมีบทบาทหลากหลายเส้นทาง แต่ล้วนมีสิ่งเดียวกันในใจ คือ เชื่อในพลังของ “พื้นที่” “พลังของการเรียนรู้” และ “พลังของการเล่น” ที่จะทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นโดยไม่ต้องสั่ง และเชื่อว่าการออกแบบพื้นที่ ไม่ใช่เรื่องของสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่คือการออกแบบ “ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์”
ความสำคัญของพื้นที่เรียนรู้และพื้นที่เล่นในเมืองสำหรับเด็ก
เมื่อพูดถึง “เมืองที่เด็กเติบโตได้” หลายคนอาจนึกถึงสวน สนามเด็กเล่น หรือห้องสมุดใกล้บ้าน แต่ในความเป็นจริง เมืองแบบนั้นยังเป็นภาพที่ไกลสำหรับครอบครัวส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ

ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าถามคนขี่จักรยาน เขาก็จะอยากได้เลนส์จักรยาน ถ้าถามคนขับรถก็อยากให้ถนนใหญ่ขึ้น และไม่เอาจักรยาน ถามนักวิ่งทุกคนก็จะอยากได้พื้นที่วิ่งเพิ่ม ทุกคนก็อยากมีความต้องการพื้นที่ของตัวเอง แต่ถ้าเมืองจะออกแบบให้ตอบโจทย์ทุกคน พื้นที่ก็จะไม่พอ และใช้งบประมาณมหาศาล ทางออกคือการทำให้พื้นที่หนึ่ง ใช้ได้หลายแบบ เป็น shared space ที่ทุกวัยเข้ามาใช้ร่วมกันได้”
เขาอธิบายว่า เมืองไม่ได้ขาดพื้นที่โดยสิ้นเชิง สิ่งที่กทม. ได้ขับเคลื่อนไปในช่วงที่ผ่านมาคือการปรับปรุงพื้นที่ที่มีอยู่แล้วให้ใช้งานได้ดีและสะดวกยิ่งขึ้น แต่นอกจากนั้น พื้นที่ที่เรามีอยู่อย่างจำกัด หากเรามักใช้มันอย่างแยกส่วนเกินไป สนามเด็กเล่นเป็นของเด็ก ลานกีฬาเป็นของวัยรุ่น สนามหญ้าเป็นของคนสูงอายุ มันก็จะทำให้งบประมาณบานปลาย และไม่อาจตอบโจทย์ของทุกคนได้ พื้นที่แบบนั้นก็อาจจะมี และอาจจะต้องคิดเกี่ยวกับการใช้ “พื้นที่ที่ดี” ที่ทำให้คนต่างวัยมาอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องแบ่งแยก
แม่บีถามและยกเสริมประเด็นด้วยข้อมูลเทียบจากต่างประเทศ อย่างเช่น หลายประเทศในยุโรป หลายเมืองมีห้องสมุดหนึ่งแห่งต่อประชากรราว 8,000 คน ขณะที่ประเทศไทยมีเพียง หนึ่งแห่งต่อประชากรราว 75,000 คน
ในเชิงปริมาณ ศานนท์พยักหน้ารับ “เราคงไม่สามารถสร้างห้องสมุดใหม่ให้ถึงทุกย่านได้ในทันที แต่สิ่งที่เราทำได้คือ ‘ทำให้พื้นที่ที่มีอยู่แล้ว’ เป็นพื้นที่เรียนรู้ได้มากขึ้น สวนสาธารณะ ลานกีฬา หรือแม้แต่พื้นที่ใต้ทางด่วน ถ้าเราจัดการดี ๆ มันสามารถเป็นทั้งที่เล่น ที่ออกกำลังกาย และที่เรียนรู้ได้ในเวลาเดียวกัน”
สิ่งที่ศานนท์พูดช่วยขยายแนวความคิดของ “พื้นที่เล่น พื้นที่เรียนรู้” ที่แบ่งแยกขาดด้วยการใช้งาน ว่าใครใช้ทำอะไร แต่เขามองว่า พื้นที่เรียนรู้และพื้นที่เติบโต ควรจะเป็น “พื้นที่ที่มีชีวิตร่วมกัน”
ให้เด็ก วิ่งได้ ผู้ใหญ่พักได้ และผู้สูงอายุรู้สึกว่ายังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเมือง
โรงเล่นฯ ที่เป็นหลักฐานมีชีวิตว่า ‘การเล่น’ สำคัญกับเด็กอย่างไร
แม่จิ๋ว วีรวรรณ อธิบายต่อว่า เวลาพูดถึง “พื้นที่ปลอดภัย” เรามักคิดถึงรั้วสูงหรือพื้นยางกันกระแทก แต่มันมีสิ่งที่มองไม่เห็น คือความปลอดภัยทางใจ สำหรับเด็ก พื้นที่ปลอดภัยคือที่ที่เขารู้สึกว่า จะเป็นใครแบบไหนก็ได้ โดยไม่ต้องถูกตัดสิน
สำหรับแม่จิ๋ว และโรงเล่น คำว่า “ปลอดภัย” จึงไม่ได้แปลว่า “ไม่มีความเสี่ยง” แต่หมายถึง “มีคนที่เราวางใจจะเสี่ยงไปด้วยกันได้”

ที่ โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้ เด็ก ๆ ไม่เพียงได้เล่นของเล่น แต่ได้เล่นกับ “แนวคิด” การคิด การแก้ปัญหา การออกแบบสิ่งใหม่จากสิ่งเดิม สิ่งธรรมดาอย่างกล่องลัง ขวดน้ำ หรือเศษไม้ ถูกเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบของจินตนาการ และกลายเป็นเครื่องมือเรียนรู้ที่ไม่มีในตำรา เด็ก ๆ ที่ได้มาเล่นที่นี่ไม่ได้จบแค่การเล่น แต่ไปถึงการเป็นนักสร้างสรรค์
แม่จิ๋วบอกว่า“การเล่นทุกแบบ” คือจุดเริ่มต้นของนวัตกรรม “เวลาที่เด็กลองประกอบของเอง เขากำลังใช้กระบวนการเดียวกับนักประดิษฐ์ ลองผิด ลองถูก คิดใหม่ ทำใหม่ พื้นที่เล่นจึงไม่ใช่แค่ที่สนุก แต่มันคือห้องทดลองของความคิดสร้างสรรค์”
โรงเล่นจึงทำให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า “การเล่น” ไม่ได้อยู่ตรงข้ามกับ “การเรียนรู้” แต่มันคือรากฐานเดียวกัน เพียงแต่ในโลกของเด็ก การเรียนรู้เริ่มต้นจากความอยากรู้อยากลอง
ไม่ใช่จากบทเรียนที่มีคำตอบอยู่แล้ว
Little Studio : การเล่นที่เปลี่ยนเด็กจาก “ผู้เสพ” เป็น “ผู้สร้าง”
จากเชียงราย เราขยับสายตากลับมาที่กรุงเทพฯ ในมุมของ ป๊อปปี้ ภาณุ จิระคุณ จาก LittleLot Studio นักออกแบบการเรียนรู้ (Learning Designer) ที่เชื่อว่า “การเล่น” ไม่ได้จบลงเมื่อเราโตขึ้น
“เราอยากให้เด็กเป็นผู้สร้าง ไม่ใช่แค่ผู้เสพของที่ผู้ใหญ่เตรียมไว้ให้” ป๊อปปี้บอกกับเรา และเขาเชื่อมั่นว่า “การออกแบบ” (Design) ที่สนุกคือการพลิกวิธีมองของเด็กจาก ผู้เสพ เป็น “ผู้สร้าง”

LittleLot ใช้การออกแบบและเทคโนโลยีมาผสมกับการเล่น เด็กจะเห็นสิ่งที่ตัวเองสร้าง ออกมาเป็นเกมที่เขาเคยต้องเป็นเพียงคนเล่นที่คนอื่นสร้างมา กลายมาเป็นผู้สร้าง และเห็นงานของตัวเองถูกเล่นโดยคนอื่นอีกที ป๊อปปี้บอกว่า “เวลาที่เด็กได้ออกแบบกติกาเอง เขาจะเรียนรู้มากกว่าการเล่นตามที่มีอยู่แล้ว”
เขาเล่าว่า ในการออกแบบพื้นที่เล่นสำหรับครอบครัว สิ่งที่สำคัญไม่ใช่เครื่องเล่นราคาแพง แต่คือ “โอกาสในการมีส่วนร่วม” ในโลกที่เกมและโลกออนไลน์กำลังดึงความสนใจของเด็กออกจากการเล่นทางกายภาพในชีวิตประจำวัน เด็กจำนวนมากค่อย ๆ ถูกผลักให้กลายเป็น “ผู้เสพ” ข้อมูล ความรู้ เนื้อหา และรูปแบบความสนุกที่มีคนอื่นออกแบบไว้ให้ สมองของพวกเขาจึงคุ้นชินกับการตอบสนอง มากกว่าการสร้างสรรค์ แต่ทันทีที่เราพลิกการเล่นกลับมาอยู่ในมือของเด็ก ให้เขาได้ออกแบบ คิด ลอง และสร้างสิ่งใหม่ขึ้นเอง สมองของเขาจะเริ่ม “ตื่น” จากโหมดตั้งรับไปสู่โหมดของการเชื่อมโยง เกิดการเรียนรู้ที่ลึกกว่าและมั่นคงกว่า เพราะการเล่นในแบบที่เด็กเป็น “ผู้สร้าง” ไม่ได้แค่เปลี่ยนวิธีคิดของเด็กเท่านั้น แต่มันยังเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งมองเห็นเด็ก จากคนที่ต้องคอยสอน ไปเป็นคนที่เราจะเรียนรู้จากเขาได้เช่นกัน
ไม่ใช่แค่มีพื้นที่ และไม่ใช่แค่การจัดหาทรัพยากร : เพราะการเล่นเกิดขึ้นที่ได้ก็ได้ ขอมีเพียงเด็ก 1 คน ผู้ใหญ่ 1 คน และพื้นที่ปลอดภัย เท่านั้นก็เกิดการเล่น และการเรียนรู้ได้แล้ว
แม้เราจะพูดกันมากมายถึง “พื้นที่เล่น” สนามเด็กเล่น ห้องสมุด พื้นที่ชุมชน หรือสวนสาธารณะ แต่ท้ายที่สุด การเล่นไม่ได้จำเป็นต้องรอให้เมืองจัดสรรให้ครบ เพราะจริง ๆ แล้ว การเล่นเกิดขึ้นได้ทุกที่ ขอแค่มีเด็กหนึ่งคน และผู้ใหญ่หนึ่งคนที่พร้อมใส่ใจเขาจริง ๆ การเล่นก็เริ่มต้นขึ้นได้เสมอ

เพราะการเล่นไม่ต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานมากมายเท่ากับ “โครงสร้างความเข้าใจ” ที่ผู้ใหญ่จะมอบให้เด็ก พื้นที่เล่นจึงไม่จำเป็นต้องมีเครื่องเล่นใหม่ ๆ แต่ต้องมีสายตาที่ไม่เร่งรีบ เสียงหัวเราะที่ไม่กลบเสียงของเด็ก และหัวใจที่กล้าจะกลับมาอยู่ในจังหวะเดียวกับพวกเขาอีกครั้ง เมืองที่ดีจึงไม่ใช่เมืองที่มีสนามเด็กเล่นมากที่สุด แต่คือเมืองที่ผู้ใหญ่กล้า “เล่น” ได้พอ ๆ กับเด็ก เมืองที่ความอยากรู้อยากเห็นไม่ถูกตีตราว่าไร้สาระ เมืองที่เสียงหัวเราะของเด็กไม่รบกวนการประชุมของผู้ใหญ่ และเมืองที่ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าการเติบโตไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง
เพราะฉะนั้น “พื้นที่เล่น” จึงไม่ใช่แค่เรื่องของนโยบาย ไม่ใช่ภาระของรัฐ หรือทุน หรือโรงเรียนเท่านั้น แต่มันคือความรับผิดรับชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม ตั้งแต่ระดับห้องนั่งเล่นในบ้าน ไปจนถึงใจกลางของเมืองใหญ่ เพราะทุกครั้งที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งยอมวางโทรศัพท์ลง ก้มตัวลงมาอยู่ในระดับสายตาเดียวกับเด็ก ปล่อยให้ตัวเองหัวเราะ โง่บ้าง ผิดพลาดบ้างไปพร้อมกับเขา โลกทั้งใบก็จะมีพื้นที่สำหรบการเรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง
และบางที พื้นที่เล็ก ๆ นั้น ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงเงียบ และความเข้าใจ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเมืองที่เราทุกคนอยากอยู่จริง ๆ เมืองที่การเติบโตไม่ใช่เรื่องของเด็กเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของพวกเราทุกคน