ชายผู้หยิบเศษกระดาษมาสร้างจักรวาล: การเดินทางของ Leo Lionni จากนักออกแบบสู่นักเล่านิทาน

เมื่อพูดถึงการปฏิวัติโลกหนังสือภาพสำหรับเด็ก เราไม่อาจมองข้าม Leo Lionni ชายผู้ที่เปลี่ยนแปลงความเข้าใจของเราเกี่ยวกับหนังสือเด็ก ผลงานกว่า 40 เล่มที่ผสมผสานความงามทางศิลปะ เนื้อหาที่ลึกซึ้ง และเทคนิคคอลลาจที่เป็นเอกลักษณ์ Lionni ไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิงให้กับเด็กๆ เท่านั้น แต่ยังปลูกฝังคุณค่าชีวิตและความเข้าใจในสังคมที่ซับซ้อนผ่านนิทานที่ดูเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยนัยทางปรัชญา

ในยุคที่หนังสือภาพส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกรอบการเล่าเรื่องแบบเดิม Lionni กล้าที่จะทำลายกรอบนั้น ด้วยการนำเสนอศิลปะนามธรรม หยิบเทคนิคการสร้างสรรค์ภาพแบบคอลลาจมาสร้างสรรค์เนื้อหาและเรื่องเล่าแบบนิทานภาพสำหรับเด็ก

จากการเดินทางบนรถไฟเพียงครั้งเดียวในปี 1959 ที่เขาต้องพาหลานๆ เดินทาง และต้องหาอะไรแก้เบื่อ โดยหยิบเอาเศษกระดาษสีจากนิตยสารมาสร้างเป็นวงกลมสีฟ้า และวงกลมสีเหลือง และ กลายเป็นการเกิดของ “Little Blue and Little Yellow” หนังสือเล่มแรกที่เปิดประตูสู่อาชีพใหม่ของชายวัย 49 ปี ที่เคยเป็นนักออกแบบกราฟิกผู้ประสบความสำเร็จ 

นี่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวของการเปลี่ยนอาชีพ แต่เป็นเรื่องราวของการค้นพบว่าศิลปะสามารถเป็นสื่อในการสื่อสารแนวคิดที่ซับซ้อน และส่งไปยังผู้อ่านที่มีความซับซ้อนน้อยที่สุด นั่นก็คือ เด็กๆ ลีโอทำให้เห็นว่าความงามและความหมายสามารถอยู่ร่วมกันได้ ทำให้เห็นว่าหนังสือเด็กสามารถเป็นมากกว่าความบันเทิง และทำให้เห็นว่า ‘เด็ก’ สามารถเข้าใจเรื่องนามธรรมที่ซับซ้อนได้ เมื่อสื่อนั้นถูกสร้างมาอย่างถูกต้อง

การเดินทางของ Lionni จากนักออกแบบกราฟิกที่ประสบความสำเร็จมาสู่การเป็นผู้สร้างหนังสือภาพที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เป็นเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงพลังของความกล้าหาญในการเปลี่ยนแปลง ความมุ่งมั่นในการติดตามความฝัน และการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารข้อความที่มีความหมายอันลึกซึ้ง บทความนี้จะพาเราไปรู้จักกับ Leo Lionni ในฐานะ Picture Book Maker ตั้งแต่ต้นกำเนิด การพัฒนาเทคนิค แนวคิดที่อยู่เบื้องหลังผลงาน และมรดกที่เขาทิ้งไว้ให้กับโลก

-1-

Roots of a Wandering Soul

ชายที่พบเจอศิลปะเป็นเสมือน ‘บ้าน’ ของเขา

Leo Lionni เกิดวันที่ 5 พฤษภาคม 1910 ที่อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในครอบครัวที่ซาบซึ้งในศิลปะและดนตรี บิดาของเขาชื่อ Louis Lionni เป็นชาวยิวที่ทำงานเป็นนักบัญชีของบริษัทน้ำมัน ส่วนมารดาชื่อ Elizabeth Grussouw Lionni เป็นชาวคริสเตียนและนักร้องโอเปร่า การผสมผสานทางวัฒนธรรมและศาสนาในครอบครัวนี้ได้หล่อหลอมมุมมองที่เปิดกว้างและความเข้าใจในความหลากหลายของ Leo ตั้งแต่วัยเด็ก

สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยศิลปะในบ้านของเขากระตุ้นความสนใจทางศิลปะตั้งแต่ปฐมวัย เมื่ออายุ 9 ขวบ เขาได้รับโต๊ะวาดรูปเป็นของขวัญวันเกิดจากลุงซึ่งเป็นสถาปนิกและศิลปินที่มีชื่อเสียง ลุงผู้นี้ได้เป็นที่ปรึกษาทางศิลปะคนแรกของเขา และพาเขาไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะเป็นประจำ ที่นั่นเขาได้ฝึกฝนการวาดภาพโดยการลอกแบบจากผลงานของเจ้าแห่งศิลปะยุคต่างๆ

อิทธิพลทางศิลปะในครอบครัวไม่ได้มาจากลุงเพียงคนเดียว เขายังมีลุงอีกคนซึ่งมีอาชีพเป็นนายหน้าเพชรและนักสะสมงานศิลปะ และมักจะเก็บผลงานศิลปะไว้ที่บ้านของญาติๆ รวมถึงบ้านของ Leo ภาพวาดของ Marc Chagall ในผลงานชื่อ  “La Violiniste” ได้แขวนอยู่นอกห้องนอนของเขาตั้งแต่เด็ก การได้อยู่ท่ามกลางผลงานศิลปะสมัยใหม่เหล่านี้ได้เปิดโลกทัศน์ทางศิลปะให้กับเขาเป็นอย่างมาก

ชีวิตของ Leo ในวัยเด็กเต็มไปด้วยการโยกย้าย เนื่องจากบิดาของเขาต้องย้ายที่ทำงานบ่อยครั้ง เขาได้ใช้ชีวิตในหลายประเทศ ทั้งเนเธอร์แลนด์ อเมริกา เบลเยียม และอิตาลี ประสบการณ์การใช้ชีวิตข้ามวัฒนธรรมนี้ได้หล่อหลอมความเป็นคนที่เปิดกว้าง มีความอยากรู้อยากเห็น และมีความสามารถในการปรับตัว ซึ่งกลายเป็นลักษณะเด่นของเขาตลอดชีวิต

-2-

The Making of an Identity

เมื่อเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่คำตอบ: การค้นหาตัวตนท่ามกลางความวุ่นวายของโลก

แม้ว่า Leo จะมีความสนใจทางศิลปะอย่างแรงกล้า แต่เขากลับเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ที่ การตัดสินใจนี้อาจดูขัดแย้งกับความชอบของเขา แต่กลับสะท้อนถึงความเป็นจริงของชีวิตในยุคนั้นที่การศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ถือเป็นหลักประกันทางอาชีพที่มั่นคง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 1931-1939 Leo ได้กลายมาเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในอิตาลี โดยทำงานในรูปแบบ Futurism และ avant-garde ผลงานของเขาได้รับการจัดแสดงในหลายแกลเลอรี่ และเขาได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะศิลปินรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดก้าวหน้า

Photographer Unknown, Leo Lionni with Profile Cut Outs, c. 1970 Courtesy of the Lionni Family ที่มา : PRINT MAGAZINE

ในปี 1931 Leo ได้แต่งงานกับ Nora Maffi ลูกสาวของ Fabrizio Maffi ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลี การแต่งงานครั้งนี้ไม่เพียงแต่นำความสุขมาให้เขา แต่ยังเปิดโลกทัศน์ทางการเมืองและสังคมซึ่งมีอิทธิพลต่อผลงานของเขาต่อมา พวกเขามีบุตรชายสองคนชื่อ Louis และ Paolo ซึ่งต่อมาได้มีหลาน Pippo และ Annie ที่จะกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างหนังสือภาพสำหรับเด็กเล่มแรกของเขา

-3-

Escape to the Land of Dreams

หนีฟาสซิสต์ ค้นพบอเมริกัน ดรีม: บทเปลี่ยนชีวิตครั้งแรก

เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองในยุโรปเริ่มตึงเครียดและอันตรายต่อชาวยิว ในปี 1939 Leo ตัดสินใจย้ายครอบครัวไปยังสหรัฐอเมริกา การย้ายถิ่นฐานครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา ไม่เพียงแต่ในแง่ของความปลอดภัย แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านทางอาชีพที่สำคัญ

ที่ฟิลาเดลเฟีย เขาได้งานเป็นผู้อำนวยการศิลป์ในบริษัทโฆษณา N.W. Ayer ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของเขาทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เขาได้รับงานจากบริษัทใหญ่อย่าง Ford Motors และกลายเป็นสมาชิกของ Advertising Art Hall of Fame

ภาพจาก https://www.vintage-adventures.com/vintage-book-magazine-newspaper-ads/321-1942-ladies-home-journal-ad-never-underestimate-the-power-of-a-woman.html

ผลงานที่โดดเด่นในช่วงนี้คือแคมเปญ “Never underestimate the power of a woman!” สำหรับ Ladies’ Home Journal ซึ่งเขาผลิตการ์ตูนประมาณ 100 ชิ้นตลอดระยะเวลา 6 ปี การ์ตูนชิ้นสุดท้ายของเขาในแคมเปญนี้วาง Adolf Hitler เปรียบเทียบกับเทพีเสรีภาพ แสดงให้เห็นถึงการใช้เทคนิคทางศิลปะเพื่อลดทอนฟาสซิสม์และยกย่องเสรีภาพ

ในปี 1948 เขาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการศิลป์ของนิตยสาร Fortune ซึ่งอยู่ภายใต้จักรวรรดิ Time-Life ของ Henry Luce ตำแหน่งนี้ทำให้เขามีโอกาสทำงานร่วมกับและให้โอกาสศิลปินรุ่นใหม่หลายคน รวมถึง Saul Steinberg, Andy Warhol (ที่ยังเป็นมือใหม่ในตอนนั้น), Alexander Calder, Willem de Kooning และ Fernand Léger เขายังได้ออกแบบแคตตาล็อกสำหรับนิทรรศการ “The Family of Man” ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่นิวยอร์ก

Leo Lionni (1910-1999) [Flying objects – personal piece], n.d. Painting © Leo Lionni. All rights reserved. Courtesy of the Lionni Family ที่มา : Print Magazine

ระหว่างการทำงานกับ Luce เขาได้รับเชิญให้ออกแบบ “Unfinished Business” ซึ่งเป็นศาลาสหรัฐอเมริกาสำหรับงาน Brussels World’s Fair ปี 1958 นิทรรศการนี้มีจุดประสงค์เพื่อแสดงปัญหาภายในประเทศอย่างความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติ แต่ถูกปิดลงหลังจากเปิดได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ เนื่องจากการคัดค้านจากนักการเมืองภาคใต้ ประสบการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Lionni ในการใช้ศิลปะเพื่อส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคม

-4-

The Train Ride That Changed Everything

เมื่อชายวัย 50 ทิ้งทุกอย่างเพื่อติดตามเสียงเรียกจากเศษกระดาษสี

ในปี 1960 เมื่ออายุ 50 ปี Leo Lionni ตัดสินใจทำในสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นความบ้าคลั่ง เขาลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการศิลป์ของนิตยสาร Fortune ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังประสบความสำเร็จสูงสุด มีงานที่มีเกียรติและมั่นคง เพื่อกลับไปอิตาลีและเริ่มต้นอาชีพใหม่ เขากล่าวในภายหลังว่า “ทุกคนคิดว่าผมบ้า เพราะผมมีเงินเหลือน้อยมาก แต่นั่นคือสิ่งที่ผมต้องทำ”

ที่มา : https://www.themarginalian.org/2014/02/20/leo-lionni-annie-lionni-creativity/

การตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการไตร่ตรองอย่างยาวนานเกี่ยวกับความหมายของชีวิตและงานที่ตนต้องการทำอย่างแท้จริง Lionni รู้สึกว่าเขาต้องการสิ่งที่มากกว่าความสำเร็จทางการเงินและชื่อเสียง เขาต้องการสร้างผลงานที่มีความหมายและสามารถสื่อสารกับผู้คน

แรงบันดาลใจสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้มาจากเหตุการณ์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นในปี 1959 ขณะที่เขาเดินทางโดยรถไฟกับหลาน Pippo และ Annie จากนิวยอร์กไปใช้สุดสัปดาห์ในต่างเมือง ในการเดินทางครั้งนั้น เขาพบว่าตัวเองไม่มีอุปกรณ์วาดรูปติดตัว แต่เพื่อให้เด็กๆ เพลิดเพลิน เขาจึงฉีกกระดาษสีเหลืองและสีน้ำเงินจากนิตยสารที่มีในกระเป๋าเอกสาร และใช้มันเล่าเรื่องให้เด็กๆ ฟัง

เรื่องที่เขาเล่าในวันนั้นเกี่ยวกับจุดสีน้ำเงินและจุดสีเหลืองที่เป็นเพื่อนกัน และเมื่อพวกมันกอดกัน ก็กลายเป็นสีเขียว แต่พ่อแม่ของพวกมันไม่รู้จักพวกมันอีกต่อไป จนกระทั่งพวกมันแยกออกจากกันและกลับเป็นสีเดิม เรื่องนี้กลายเป็นหนังสือเล่มแรกของเขา “Little Blue and Little Yellow” ที่ออกแพร่ในปี 1959

ความพิเศษของ “Little Blue and Little Yellow” ไม่ได้อยู่ที่เนื้อเรื่องเท่านั้น แต่อยู่ที่เทคนิคการนำเสนอ หนังสือเล่มนี้ถือเป็นหนึ่งในหนังสือภาพเล่มแรกที่ใช้ศิลปะเป็นนามธรรมในการสื่อสารด้วยภาพกับเด็กๆ ด้วยการใช้เทคนิคคอลลาจที่เป็นนวัตกรรมในขณะนั้น มากไปกว่านั้น เนื้อหาของหนังสือที่เน้นเรื่องมิตรภาพและการยอมรับความแตกต่าง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Lionni ในการส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมผ่านงานศิลปะ

-5-

The Revolutionary Art of Torn Paper

เมื่อเทคนิคคอลลาจไม่ใช่แค่การตัดแปะ แต่เป็นภาษาแห่งอารมณ์

Leo Lionni ถือเป็นผู้บุกเบิกการใช้คอลลาจเป็นเทคนิคหลักในการสร้างภาพประกอบหนังสือเด็ก เทคนิคนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผลงานของเขาโดดเด่นและจดจำได้ง่าย แต่ยังเปิดโอกาสให้เขาสื่อสารแนวคิดที่ซับซ้อนผ่านรูปแบบที่เรียบง่ายและเข้าถึงได้

Leo Lionni (1910-1999) Illustration for Inch by Inch, 1960 (McDowell, Obolensky), Mixed media collage © Leo Lionni. All rights reserved. Courtesy of the Lionni Family ที่มา : PRINT MAGAZINE

การใช้คอลลาจของ Lionni มีเอกลักษณ์หลายประการ เขาใช้โสีเอิร์ธโทนที่ใกล้เคียงกับสีจริงของวัตถุที่พบในธรรมชาติ ในหนังสือ “Inch by Inch” เขาใช้เฉดสีน้ำตาลและส้มในการสร้างภาพนกโรบิน ขณะที่กิ่งไม้เป็นเฉดสีน้ำตาลกับใบไม้สีเขียวเข้ม การเลือกใช้สีที่สอดคล้องกับธรรมชาติทำให้เด็กๆ สามารถเชื่อมโยงกับโลกรอบตัวได้ง่ายขึ้น

Leo Lionni (1910-1999) All his friends were waiting for him Illustration for Pezzettino, 1975 (Knopf), Mixed media collage, © Leo Lionni. All rights reserved. Courtesy of the Lionni Family ที่มา: Print Magazine

ผู้วิจารณ์จาก Booklist และ School Library Journal ได้กล่าวถึงภาพประกอบของ Lionni ว่าเป็น “คอลลาจที่โดดเด่น” ที่มี “กระดาษสีขี้เล่น” และ “ศิลปะที่สวยงามเรียบง่ายและกราฟิกที่โดดเด่น สมบูรณ์แบบสำหรับการนำไปใช้กับเด็กเล็ก” นิตยสาร Book World ยังได้ชื่นชมว่า “สีโปร่งแสงของภาพและความเรียบง่ายของข้อความทำให้เกิดการผสมผสานที่ยอดเยี่ยม”

นอกจากการใช้กระดาษแล้ว Lionni ยังใช้วัสดุอื่นๆ ในการสร้างคอลลาจ เช่น ผ้าลูกไม้ และเชือกสำหรับสร้างสาหร่าย น้ำ และอื่นๆ การใช้วัสดุที่หลากหลายนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มมิติและความน่าสนใจให้กับภาพ แต่ยังสอนเด็กๆ ให้เห็นความเป็นไปได้ในการใช้วัสดุธรรมดาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ

-6-

Five Stories That Shook the World

เมื่อหนังสือห้าเล่มเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราเข้าใจเด็กและโลก

ผลงานของ Leo Lionni ไม่ใช่เพียงแค่หนังสือเด็กธรรมดาที่มีเนื้อหาเพื่อความบันเทิง แต่เป็นผลงานที่เต็มไปด้วยปรัชญาและแนวคิด เขาเชื่อมั่นว่าบุคคลสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างแท้จริง และศิลปินก็มีความสามารถในการทำเช่นนั้นด้วย ดังที่เขาเขียนไว้ในอัตชีวประวัติปี 1997 ว่า “ทุกตำแหน่งในพื้นที่มีความหมาย คุณต้องรู้สึกมีความรับผิดชอบต่อทุกเส้นที่คุณวาด ต่อทุกการตัดสินใจที่คุณทำ”

 เล่มที่ 1: “Little Blue and Little Yellow”

เมื่อวงกลมสองสีเปลี่ยนโลกหนังสือเด็กไปตลอดกาล

หนังสือเล่มแรกของ Lionni ไม่เพียงแต่เปิดอาชีพใหม่ให้เขา แต่ยังปฏิวัติโลกหนังสือภาพ การใช้รูปทรงเรขาคณิตเรียบง่ายเพื่อเล่าเรื่องที่ซับซ้อนเกี่ยวกับมิตรภาพ อัตลักษณ์ และการยอมรับ ถือเป็นการทำลายกรอบความคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับหนังสือเด็ก

ที่มา: https://www.tandembayarea.org/blog-colors-books/

เรื่องราวของจุดสีน้ำเงินและสีเหลืองที่กลายเป็นสีเขียวเมื่อกอดกัน ทำให้เมื่อกลับบ้านมาแล้วพ่อแม่ไม่รู้จักพวกมัน นำเสนอประเด็นปรัชญาที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและอัตลักษณ์ หนังสือเล่มนี้ถูกมองว่าเป็นการแสดงจุดยืนเรื่องความยุติธรรมทางเชื้อชาติของ Lionni โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากงานออกแบบ “Unfinished Business” ที่เขาทำก่อนหน้านี้

เล่มที่ 2: “Swimmy”:

เมื่อปลาน้อยสีดำสอนโลกเรื่องภาวะผู้นำที่แท้จริง

“Swimmy” เป็นเรื่องของปลาน้อยสีดำที่รอดชีวิตจากการถูกปลาใหญ่กินเพื่อนๆ เขาเดินทางผ่านมหาสมุทรอันมหัศจรรย์ และพบกับปลาแดงฝูงใหม่ที่กลัวออกจากที่ซ่อน Swimmy ใช้ปัญญาสร้างแผนให้ปลาแดงทั้งหมดว่ายน้ำในรูปแบบปลาใหญ่ โดยตัวเขาเองเป็น “ตา” ของปลาใหญ่ตัวนั้น

ที่มา ภาพจากหนังสือ Swimmy โดย Leo Lionni : Blain.org

การที่ Swimmy กล่าวว่า “ฉันจะเป็นตา” ไม่เพียงแสดงถึงการแก้ปัญหา แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของศิลปินในฐานะผู้มองเห็น ดังที่บรรณาธิการ Frances Foster กล่าวว่า “นั่นคือวิธีที่ Leo มองบทบาทของตนในฐานะศิลปิน คือการมองเห็นเพื่อผู้คน”

เล่มที่ 3: “Frederick”

เมื่อหนูตัวเล็กพิสูจน์ว่าศิลปะคือสิ่งจำเป็นต่อจิตวิญญาณ เช่นเดียวกับน้ำและอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

ที่มา : https://magagpa.wordpress.com/2017/02/06/frederick-and-the-colours/

“Frederick” ถือเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Lionni เรื่องราวของหนูน้อยที่ไม่ช่วยเก็บอาหารสำหรับฤดูหนาว แต่กลับ “เก็บ” คำพูด สี และความทรงจำ เมื่อฤดูหนาวมาถึงและอาหารหมด Frederick แบ่งปันบทกวีและความทรงจำที่ทำให้หนูตัวอื่นๆ รู้สึกอบอุ่นและมีกำลังใจ

หนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องจาก National Education Association ให้เป็นหนึ่งใน “Teachers’ Top 100 Books for Children” และถือเป็นการยืนยันคุณค่าของศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ในสังคม มันสอนให้เห็นว่าศิลปะไม่ใช่การไร้ประโยชน์ แต่เป็นงานที่มีคุณค่าและจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์

เล่มที่ 4: “A Color of His Own”

เมื่อกิ้งก่าที่เปลี่ยนสีได้สะท้อนการค้นหาตัวตนของมนุษย์ทุกคน

เรื่องของกิ้งก่าที่เศร้าใจเพราะไม่มี “สีของตัวเอง” เหมือนสัตว์อื่นๆ เขาพยายามหลายวิธีเพื่อให้มีสีที่แน่นอน จนในที่สุดได้พบกับกิ้งก่าตัวอื่นที่ทำให้เขาเข้าใจว่าการมีเพื่อนที่เข้าใจและยอมรับนั้นสำคัญกว่าการมีสีของตัวเอง

ที่มา : หนังสือ The Color of His Own , Leo Lionni https://archive.org/details/lnnclrf/JPEG/lnnclrf0016.jpg

หนังสือเล่มนี้สะท้อนประสบการณ์ของ Lionni เองที่เดินทางและอยู่กับผู้คนหลากหลายภาษาและหลายวัฒนธรรม  และการหาที่ยืนในโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย

เล่มที่ 5: “The Alphabet Tree”

เมื่อตัวอักษรรวมตัวกันเพื่อสร้างข้อความแห่งสันติภาพ

ตีพิมพ์ในช่วงสูงสุดของสงครามเวียดนาม หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องของต้นไม้ที่เต็มไปด้วยตัวอักษรที่มารวมกันเป็นคำ หนอนผีเสื้อตัวหนึ่งแนะนำให้ตัวอักษรพูด “สิ่งที่สำคัญ” และพวกมันจึงรวมกันสะกดคำว่า “PEACE ON EARTH AND GOODWILL TOWARD ALL MEN”

ที่มา : https://www.lalunadicarta.com/leo-lionni-per-insegnare-ai-bambini-a-leggere-e-scrivere.html

หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของ Lionni ว่าศิลปะและการเขียนต้องมีจุดประสงค์และความรับผิดชอบต่อสังคม มันไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ต้องส่งข้อความที่มีความหมายด้วย

-7-

The Crown of Recognition

เมื่อโลกจดจำชายที่เปลี่ยนกระดาษเศษให้กลายเป็นขุมทรัพย์

ความสำเร็จของ Leo Lionni ในฐานะผู้สร้างหนังสือภาพได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เขาได้รับรางวัล Caldecott Honor สี่ครั้งสำหรับหนังสือ “Inch by Inch” (1960), “Swimmy” (1963), “Frederick” (1967) และ “Alexander and the Wind-Up Mouse” (1969) รางวัล Caldecott Honor ถือเป็นรางวัลที่มีเกียรติสูงสุดในวงการหนังสือภาพสำหรับเด็กในสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัล American Institute of Graphic Arts (A.I.G.A.) Gold Medal ในปี 1984 และ Deutscher Jugendliteraturpreis ในปี 1965 ในปี 1974 เขาได้รับเลือกเข้า Art Directors Hall of Fame สำหรับการมีส่วนสำคัญต่อการออกแบบและการสื่อสาร

ที่มา : NYTIMES

ผลงานของเขายังได้รับการยอมรับจากนักการศึกษา หนังสือ “Frederick” และ “Swimmy” ได้รับการเลือกให้เป็นหนึ่งใน “Teachers’ Top 100 Books for Children” โดย National Education Association จากการสำรวจออนไลน์ในปี 2007

Leo Lionni เสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 1999 ที่บ้านในทัสคานี อิตาลี ในวัย 89 ปี แม้ว่าเขาจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์กินสันในปี 1982 แต่เขายังคงสร้างสรรค์ผลงานและติดต่อกับเพื่อนฝูงจนถึงปีสุดท้ายของชีวิต

มรดกของ Lionni ไม่ได้อยู่เพียงในหนังสือกว่า 40 เล่มที่เขาสร้างขึ้น แต่ยังอยู่ในการเปลี่ยนแปลงที่เขานำมาสู่วงการหนังสือภาพ เขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าหนังสือเด็กสามารถเป็นสื่อในการส่งผ่านแนวคิดที่ซับซ้อนและมีความหมายได้ โดยไม่สูญเสียความสนุกสนานและความงาม

เทคนิคคอลลาจที่เขาพัฒนาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินและนักเขียนหนังสือเด็กรุ่นหลัง รวมถึง Eric Carle ผู้สร้าง “The Very Hungry Caterpillar” ซึ่งถือ Lionni เป็นครูและเพื่อนตลอดชีวิต

การเน้นในเรื่องความหลากหลาย การยอมรับ และคุณค่าของศิลปะในผลงานของ Lionni ยังคงมีความเกี่ยวข้องและสำคัญในปัจจุบัน ในยุคที่โลกเผชิญกับความท้าทายเรื่องการแบ่งแยก ความไม่เท่าเทียม และการขาดความเข้าใจซึ่งกันและกัน ข้อความของ Lionni เกี่ยวกับความสำคัญของชุมชน การเชื่อมโยง และการใช้ความแตกต่างเป็นจุดแข็งยังคงให้ข้อคิดที่มีค่า

-8-

The Universe in Paper Scraps

เมื่อชายคนหนึ่งพิสูจน์ว่าความยิ่งใหญ่อยู่ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ

Leo Lionni เป็นมากกว่าผู้สร้างหนังสือภาพ เขาคือนักปรัชญา นักศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ และนักสร้างสรรค์โลกที่ความแตกต่างถือเป็นความงาม การเดินทางของเขาจากนักออกแบบกราฟิกที่ประสบความสำเร็จสู่การเป็นนักเล่านิทานที่ทรงอิทธิพลแสดงให้เห็นถึงพลังของความกล้าหาญในการติดตามความใฝ่ฝันและความเชื่อมั่นในคุณค่าของศิลปะ

ที่มา : https://lailamahgoubleolionni.weebly.com/biography.html

ผลงานของเขาไม่เพียงแต่สอนเด็กๆ ให้อ่านหนังสือ แต่ยังสอนให้พวกเขาดูโลกด้วยมุมมองที่เปิดกว้าง เข้าใจความสำคัญของชุมชน และเห็นคุณค่าในความแตกต่าง หนังสือของ Lionni เป็นหน้าต่างที่เปิดให้เด็กๆ มองเห็นโลกที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ ที่ซึ่งทุกคนมีบทบาทสำคัญและทุกคนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้

ในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและความขัดแย้ง เสียงของ Leo Lionni ผ่านผลงานของเขายังคงกระซิบเตือนเราถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด: การเชื่อมโยงระหว่างกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เรามี และด้วยการเอื้อมมือ จับมือกัน เราสามารถสร้างโลกที่ดีกว่า สวยงามกว่า ที่ทุกคนสามารถเพลิดเพลินได้ร่วมกัน

นี่คือมรดกแท้จริงของ Leo Lionni: ไม่ใช่เพียงหนังสือที่เขาสร้าง แต่เป็นโลกที่เขาช่วยให้เราจินตนาการและสร้างขึ้นได้ โลกที่ความงามและความหมายสามารถอยู่ร่วมกัน ที่ซึ่งศิลปะและชีวิตประจำวันผสานเป็นหนึ่งเดียว และที่ซึ่งทุกคน ไม่ว่าจะเป็นจุดสีน้ำเงินเล็กๆ หรือปลาสีดำตัวเดียว ก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ

ที่มา : 

  • Lionni, Leo. Between Worlds: The Autobiography of Leo Lionni. Alfred A. Knopf, 1997.
  • Heller, Steven, Leonard S. Marcus, Annie Lionni, and Stephanie Haboush Plunkett, editors. Leo Lionni: Storyteller, Artist, Designer. Abbeville Press, 2024.
  • Brodie, Carolyn S. “Quiet Celebrations of Mice and Fish and Rabbits and Especially of Blue and Yellow: Leo Lionni.” School Library Monthly, vol. 20, no. 9, 2004, pp. 44–46.
  • Hansen, Cory Cooper. “The Art of Author Study: Leo Lionni in the Primary Classroom.” Reading Teacher, vol. 60, no. 3, 2006, pp. 276–79.
  • Heller, Steven. “Leo Lionni, 89, Dies, Versatile Creator of Children’s Books.” The New York Times, 17 Oct. 1999.
  • “Leo Lionni.” Wikipedia, Wikimedia Foundation, 2024, en.wikipedia.org/wiki/Leo_Lionni.
  • “Leo Lionni.” Illustration History, www.illustrationhistory.org/artists/leo-lionni.
  • “Leo Lionni.” Eric Carle Museum of Picture Book Art, carlemuseum.org/explore-art/collections/featured-artists/leo-lionni.

“Leo Lionni.” EBSCO Research Starters, www.ebsco.com/research-starters/biography/leo-lionni.


Writer

Avatar photo

กองบรรณาธิการ Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts