จากบทความชุด“เมื่อพ่อแม่เขียนโลกให้ลูก”: สำรวจวรรณกรรมผ่านสายตาของ 6 นักเขียนที่เปลี่ยนความเป็นพ่อแม่ให้กลายเป็นเรื่องเล่าอันเป็นนิรันดร์
“เด็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่าง แต่พวกเขารู้สึกได้เสมอ” Marianne Dubuc
Marianne Dubuc คือหนึ่งในนักเขียนภาพประกอบและนักเล่านิทานร่วมสมัยจากแคนาดาที่โดดเด่นด้วยภาษาของ “ความเงียบ” เธอไม่ใช่นักพูดเก่ง ไม่ใช่แม่แบบ “แอคทีฟ” ที่เราพบได้ในโซเชียลมีเดีย แต่คือคุณแม่ที่เชื่อในจังหวะอันอ่อนโยนของการเติบโต และสร้างสรรค์งานศิลปะที่ให้เด็กได้ใช้ความรู้สึกนำทางไปมากกว่าคำสั่งสอน
เด็กหญิงผู้รักการวาดรูป กลายเป็นแม่ที่เล่าเรื่องผ่านภาพ
Dubuc เติบโตในมอนทรีออล และหลงใหลการวาดรูปตั้งแต่เด็ก เมื่อเธอกลายเป็นแม่ การเล่าเรื่องกลายเป็นเครื่องมือในการสร้างสายสัมพันธ์กับลูก ๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ลูกยังไม่สามารถพูดหรือเข้าใจโลกได้ทั้งหมด
หนังสืออย่าง The Lion and the Bird หรือ Up the Mountain Path ไม่ได้มีพล็อตซับซ้อน ไม่เต็มไปด้วยบทสนทนา แต่เป็นเรื่องเล่าเรียบง่ายที่ทำให้หัวใจผู้อ่านเต้นช้าลง เต้นจังหวะเดียวกับเด็กที่กำลังเรียนรู้โลกอย่างไม่เร่งรีบ
ภาษาของความเงียบในนิทานเด็ก
Dubuc เลือกใช้ภาพเป็นเครื่องมือหลักในการเล่าเรื่อง หลายเล่มแทบไม่มีบทพูดหรือคำอธิบาย เธอเชื่อว่าเด็ก ๆ สามารถตีความได้จากสิ่งที่ไม่พูดมากกว่าสิ่งที่ถูกอธิบายตรงไปตรงมา
ใน The Lion and the Bird ตัวละครแทบไม่ได้พูดกันเลย แต่เรากลับสัมผัสได้ถึงมิตรภาพ ความอ้างว้าง และการจากลาอย่างแผ่วเบา ภาพที่ใช้ช่องว่างขาวมากกว่าภาพแน่น ๆ กลับเปิดพื้นที่ให้ผู้อ่านได้เติมความรู้สึกของตัวเองลงไปได้อย่างเต็มที่
แม่ที่ออกแบบจังหวะชีวิตช้า ๆ ให้ลูก
ในฐานะแม่ Dubuc ไม่ได้เชื่อว่าทุกอย่างต้องกระตุ้นพัฒนาการ เธอเชื่อในพลังของ “ความนิ่ง” และใช้เวลาร่วมกับลูกในการดูเมฆ สังเกตเสียงนก หรืออ่านหนังสือโดยไม่ต้องเข้าใจทุกคำ
หนังสือของเธอจึงเหมือนบันทึกจังหวะชีวิตที่ “พอดี” ไม่เร่ง ไม่ลดเกินไป เป็นเหมือนบทภาวนาเงียบ ๆ ที่แม่คนหนึ่งมอบให้ลูกในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงดัง
ตัวละครสัตว์ในฐานะตัวแทนของเด็กที่ยังไม่พูด
ในหลายเรื่อง Dubuc ใช้สัตว์เป็นตัวละครหลัก เพราะเธอเชื่อว่าสัตว์มีพลังบางอย่างที่เด็กเข้าถึงได้ง่าย มันไม่ตัดสิน ไม่บังคับให้เข้าใจอะไรเร็วเกินไป เด็กสามารถเห็นตัวเองเป็นสิงโตขี้เหงา กระต่ายผู้กล้าหาญ หรือหมีที่อยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
ตัวละครของเธอไม่ได้ “น่ารัก” ในแบบตลาดนิยม แต่มีความรู้สึก มีจังหวะ และมีบุคลิกที่ใกล้เคียงกับเด็กจริง ๆ มากกว่า
นิทานที่ให้เด็กเป็นเจ้าของเรื่องเล่า
ความงดงามที่สุดในงานของ Dubuc คือการเปิดพื้นที่ให้เด็กเป็นผู้เล่าเรื่องเอง ไม่ใช่ผู้อ่านที่ต้องเชื่อฟัง เธอไม่ได้ใส่ “บทเรียน” ลงไปตรง ๆ แต่เชื่อว่าหากนิทานมีหัวใจ เด็กจะเก็บเกี่ยวมันเองในแบบที่เหมาะกับเขา
เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ฉันไม่รู้ว่าลูกเข้าใจงานของฉันแค่ไหน แต่ฉันเห็นว่าเขายิ้ม เงียบ และบางทีก็ถามคำถามที่ฉันเองยังตอบไม่ได้”
Marianne Dubuc จึงเป็นศิลปินที่ไม่เร่งเร้าให้เด็กเติบโตเร็ว แต่เชื้อเชิญให้เราเติบโตช้าลง เพื่อจะได้ฟังเสียงเล็ก ๆ ที่อยู่ภายในใจเรา เสียงที่มักจะชัดเจนที่สุด เมื่อลดเสียงของโลกลง