คู่มือ modern parenting : บทเรียนที่ 5 คุณยังอยู่ระหว่างการกลายเป็นพ่อแม่ เพราะการเป็นพ่อแม่ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่คือการเดินทางที่เต็มไปด้วยรอยร้าว รอยยิ้ม และบทเรียนที่ยังไม่เคยจบ

เราอาจเข้าใจผิดมาตลอดว่า “การเป็นพ่อแม่” เริ่มต้นขึ้นทันทีที่เสียงร้องแรกของลูกดังขึ้นในห้องคลอด เหมือนกดปุ่มเปลี่ยนสถานะจาก ลูกของใครสักคน กลายมาเป็น พ่อแม่ของใครสักคน ในพริบตาเดียว แต่ความจริงที่ไม่ค่อยมีใครบอกคือ วันนั้นเราไม่ได้ “กลายเป็นพ่อแม่ไปแล้ว” เราเพียงแค่เริ่มต้น การเดินทางที่จะ ‘เป็น’ 

และการเดินทางนี้ไม่ได้โรยด้วยดอกไม้หรือคำพูดสวยงามในหนังสือคู่มือ หากเต็มไปด้วยเศษเสี้ยวของความไม่แน่ใจ ความเหนื่อยล้าจนอยากวิ่งหนี ความโกรธที่ทำให้เรากลัวการเป็นตัวเอง ความละอายที่ผุดขึ้นมาทุกครั้งที่เราทำบางอย่างได้ไม่ดีพอ สิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยถูกบันทึกไว้ในภาพถ่ายครอบครัว แต่มันซ่อนอยู่หลังรอยยิ้มในภาพนั้น

การเป็นพ่อแม่จึงไม่ใช่ฉากที่ปิดด้วยคำว่า สมบูรณ์ แต่คือการรื้อถอนและก่อสร้างใหม่ของชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนหนังสือที่ไม่มีวันปิดเล่ม มีแต่การขีดเขียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยหมึกที่ทั้งสวยงามและเปรอะเปื้อนในเวลาเดียวกัน

‘การอยู่ระหว่างการเป็นพ่อแม่’ ไม่มีจุดหมาย และไม่ใช่การเสร็จสมบูรณ์

เมื่อใครสักคนเรียกเราว่า “พ่อ” หรือ “แม่” มันเหมือนกับถูกประกาศให้มีตัวตนใหม่ในทันที คล้ายการสวมเสื้อคลุมของตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ ทั้งที่ภายในเรายังสับสนและเปราะบางไม่ต่างจากเมื่อวาน ความเป็นพ่อแม่ไม่ใช่การก้าวเข้าสู่ห้องโถงของความสมบูรณ์ แต่คือการก้าวเข้าสู่ห้องโล่งกว้างที่เรายังต้องเรียนรู้จะวางเฟอร์นิเจอร์ของชีวิตทีละชิ้น

เรามักเผลอคิดว่าการ “เป็น” หมายถึงการ “เสร็จสิ้น” แต่ในความจริง การเป็นพ่อแม่คือการ “กำลังเรียนรู้ที่จะเป็นพ่อแม่” อยู่เสมอ มันไม่ใช่ภาพถ่ายที่หยุดนิ่ง แต่คือฟิล์มม้วนยาวที่ยังคงถูกถ่ายเพิ่มในทุก ๆ วัน บางเฟรมสว่างสดใส บางเฟรมมัวหม่นและเบลอเกินกว่าจะอยากมอง

เพราะการเป็นพ่อแม่คือการเจอกับความไม่รู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า:

  • จะทำอย่างไรเมื่อลูกร้องไห้ไม่หยุด ทั้งที่เราลองทุกวิธีแล้ว?
  • จะพูดอะไรเมื่อลูกถามคำถามที่เราเองยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เช่น “แม่เคยเสียใจจนอยากจะยอมแพ้กับชีวิตไหม”?
  • จะกอดเขาอย่างไรเมื่อแขนเราสั่นจากความเหนื่อยที่สะสมทั้งวัน?

สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทเรียนตายตัว ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปให้ท่องจำ มีเพียงประสบการณ์ที่ค่อย ๆ สอนเราว่าความไม่พร้อมก็มีคุณค่าในแบบของมันเอง

และในทุกครั้งที่เราพูดกับตัวเองว่า “ฉันยังไม่ดีพอ” เราอาจลืมไปว่า ความไม่ดีพอนั่นแหละคือประตูที่พาเราเข้าสู่ความเป็นมนุษย์จริง ๆ เด็กไม่ได้ต้องการพ่อแม่ที่ไร้รอยร้าว เขาต้องการพ่อแม่ที่ยอมรับรอยร้าวนั้น และยังคงเดินต่อไปได้

การเป็นพ่อแม่จึงไม่ใช่การไปถึงจุดหมาย แต่คือการเดินบนถนนที่ไม่เคยมีเส้นชัย ถนนที่ทุกก้าวบอกเราว่า “คุณยังอยู่ระหว่างการเป็นพ่อแม่” และนั่นเองคือความงดงาม

ร่องรอยจากความเป็นลูกกับบาดแผลที่เรายังไม่เคยเยียวยา

เราไม่ได้เริ่มต้นบทบาทพ่อแม่จากกระดาษเปล่า หากแต่เริ่มจากหน้ากระดาษที่มีร่องรอยของการเป็น “ลูก” เขียนอยู่ก่อนแล้ว บรรทัดที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ ความอบอุ่นที่เคยได้รับ หรือความเจ็บปวดที่ไม่เคยมีใครพูดถึง ร่องรอยเหล่านั้นไม่เคยจางหาย เพียงแต่รอเวลาปรากฏขึ้นใหม่ เมื่อเราต้องยืนอยู่ในบทบาทของผู้ให้ชีวิตแก่ใครอีกคน

หลายครั้งที่เรารู้สึกโกรธลูกอย่างไร้เหตุผล แท้จริงแล้วมันอาจไม่ใช่ความผิดของเขา แต่คือการสะท้อนของภาวะเด็กน้อย (inner child) ในตัวเราที่เคยถูกดุ ถูกบังคับ หรือถูกทำให้รู้สึกไร้ค่า เด็กคนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ภายใน และใช้เสียงของเราในวันนี้เพื่อตอบโต้สิ่งที่เขาเคยเจ็บในวันวาน

เราอาจหงุดหงิดที่ลูกดื้อ เพราะครั้งหนึ่งเราเองไม่เคยมีสิทธิ์เถียง เราอาจกดดันให้ลูกเรียนเก่ง เพราะครั้งหนึ่งเราเคยถูกทำให้เชื่อว่าคุณค่าของเราวัดได้จากคะแนนสอบ เราอาจรีบปรับทุกอย่างให้ “เรียบร้อย” เพราะกลัวสายตาของคนอื่น เหมือนที่เราเคยถูกสอนว่าการรักษาหน้าสำคัญกว่าตัวตนหรือความจริงที่อยู่ข้างในใจ

แต่ในร่องรอยเหล่านี้ ก็มีสิ่งงดงามซ่อนอยู่ด้วย เด็กในวันวานสอนเราให้รู้ว่าการขาดความรักเป็นอย่างไร จึงทำให้เรามีแรงผลักดันที่จะไม่ให้ลูกต้องเผชิญความว่างเปล่าแบบเดียวกัน และบางที การได้เป็นพ่อแม่ก็คือโอกาสที่เราจะได้สมานบาดแผลของตัวเอง ผ่านการเลือกทางใหม่กับลูกในวันนี้

การเลี้ยงลูกจึงไม่ใช่เพียงการดูแลชีวิตของเขา แต่คือการได้พบกับเงาของตัวเราในวัยเด็ก และตัดสินใจว่า เราจะส่งต่อบาดแผลนั้น หรือจะหยุดมันไว้ที่รุ่นเรา

การเรียนรู้ผ่านความผิดพลาด

ในสังคมที่ชอบโพสต์ภาพครอบครัวพร้อมหน้าบนโซเชียลมีเดีย ความเป็นพ่อแม่มักถูกทำให้คิดเองเออเองว่า ภาพที่เกิดขึ้นในครอบครัวต้องสวยงาม บ้านที่สะอาดราวจัดฉาก เด็กยิ้มกว้างในชุดน่ารัก และพ่อแม่ที่ดูสดใสแม้เพิ่งผ่านคืนที่แทบไม่ได้นอน ภาพเหล่านี้ไม่ผิด แต่ก็ไม่ครบถ้วน มันคือเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของเรื่องราวจริง ที่มักตัดเอาความสับสน ความโกรธ และน้ำตาออกไปจากเฟรม

ปัญหาคือ เมื่อเราเชื่อว่าภาพสมบูรณ์คือมาตรฐานที่ต้องไปให้ถึง ทุกครั้งที่พลาด เราจะรีบตีตราตัวเองว่า “ล้มเหลว” ทั้งที่ในความเป็นจริง ความผิดพลาดไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นพ่อแม่ที่เลวร้าย หากมันคือเครื่องหมายว่าเรายังเป็นมนุษย์ และมนุษย์ก็ย่อมต้องการพื้นที่ให้ลองผิดลองถูก

การเรียนรู้ผ่านความผิดพลาดจึงสำคัญกว่าการรักษาหน้าตาภายนอก เพราะลูกไม่ได้ต้องการพ่อแม่ที่ถูกต้องเสมอ แต่ต้องการพ่อแม่ที่พร้อมจะซื่อสัตย์กับความไม่ถูกต้องของตนเอง ลูกไม่ได้จดจำแค่รอยยิ้มในภาพถ่าย แต่จดจำว่า หลังจากเสียงตะโกนครั้งนั้น พ่อแม่กลับมานั่งข้าง ๆ และพูดว่า “เมื่อกี้แม่ทำเกินไป ขอโทษนะ”

เราไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะเป็น “พ่อแม่ที่ดีพร้อม” หรือ “พ่อแม่ที่ล้มเหลว” เพราะความจริงไม่ได้แบ่งเป็นสองขั้วสุดโต่งนั้น ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงอยู่ตรงกลาง ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยการทดลอง การพลาด และการกลับมาลองใหม่อีกครั้ง

และบางที นั่นคือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราสามารถมอบให้ลูก ว่าชีวิตไม่ต้องสมบูรณ์แบบถึงจะมีคุณค่า มันเพียงพอแล้วที่เรากล้าจะซื่อสัตย์ต่อความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง

ความเป็นมนุษย์ที่ต้องเปิดเผยต่อกัน

เราอาจเคยถูกทำให้เชื่อว่าหน้าที่ของพ่อแม่คือการเป็น “ภูเขาที่มั่นคง” หรือ “กำแพงที่ไม่มีรอยร้าว” ต่อหน้าลูก แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครที่ไร้รอยร้าว และการพยายามซ่อนทุกอย่างไว้เบื้องหลังเพียงเพราะกลัวลูกเห็นนั้น อาจไม่ใช่การปกป้อง หากคือการพรากบทเรียนชีวิตที่มีค่าที่สุดจากเขา

การยอมให้ลูกเห็นความเป็นมนุษย์ของเรา น้ำตาที่ไหลในวันที่สิ้นหวัง เสียงหัวเราะที่เกิดขึ้นท่ามกลางความเหนื่อยล้า คำขอโทษที่พูดออกไปทั้งที่ใจยังสั่น ไม่ใช่การลดทอนความน่าเชื่อถือ แต่คือการสอนโดยไม่ใช้ตำรา ว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ และความรักก็ไม่เคยต้องการความสมบูรณ์แบบเพื่อคงอยู่

สังคมชอบวาดภาพของ “พ่อแม่ในอุดมคติแบบภาพสวยสมบูรณ์” พ่อแม่ที่พร้อมเสมอ ใจเย็นเสมอ ยิ้มได้เสมอ เด็กเชื่อฟังเสมอ แต่ภาพนั้นไม่เคยสะท้อนความจริงของชีวิต การพยายามไล่ตามภาพนั้นทำให้เราหวาดกลัวความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ และตีตราตัวเองว่าไม่ดีพอ ทั้งที่ในความเป็นจริง สิ่งที่ลูกต้องการไม่ใช่พ่อแม่ที่ทำได้ทุกอย่างสมบูรณ์ แต่คือพ่อแม่ที่ “กล้าจะเป็นมนุษย์ต่อหน้าเขา”

ลองนึกถึงวันที่เราตะคอกลูกเพราะความเครียดจากงาน วันนั้นเราอาจรู้สึกผิดจนอยากลบเลือน แต่สิ่งที่ลูกจะจดจำไปตลอดอาจไม่ใช่เสียงตะคอก แต่หากคือช่วงเวลาหลังจากนั้น เมื่อเรานั่งลงข้าง ๆ เอื้อมมือไปกอด และพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แม่ขอโทษนะ” ความจริงใจเช่นนี้ต่างหากที่สอนให้เขาเข้าใจความหมายของการให้อภัย และรู้ว่าความรักสามารถอยู่ร่วมกับความผิดพลาดได้

การเป็นพ่อแม่จึงไม่ใช่การสร้างภาพสวยสมบูรณ์ หากคือการยอมเปิดเผยว่าความรักมีรอยร้าว และยังคงเลือกที่จะส่งมอบต่อไป

ช่วงเวลาที่ความเงียบพูดแทนคำสอน

ไม่ใช่ทุกอย่างที่พ่อแม่ต้องอธิบายออกมาเป็นคำพูด เด็กจำนวนมากเรียนรู้สิ่งสำคัญที่สุดจากสิ่งที่เกิดขึ้นใน “ช่องว่างของความเงียบ” มากกว่าจากคำสั่งสอนที่ยืดยาว

บางครั้ง ความรักไม่จำเป็นต้องเป็นประโยคที่ไพเราะ หากเป็นการนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างเตียงในคืนที่ลูกนอนไม่หลับ การลูบหลังเบา ๆ โดยไม่พูดอะไรเลย อาจมีความหมายมากกว่าคำปลอบใจพันประโยค ความเงียบเช่นนี้ไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นภาษาของความมั่นคง เป็นการบอกโดยไม่ใช้คำว่า “ลูกไม่ได้อยู่คนเดียว”

ความเงียบบางครั้งยังเป็นบทเรียนให้ลูกเห็นว่าความรู้สึกไม่จำเป็นต้องรีบหาคำตอบ บางปัญหาไม่ต้องรีบแก้ แต่ควรได้รับการรับฟัง และความเงียบของพ่อแม่ก็กลายเป็นพื้นที่ให้เด็กได้ฟังเสียงของตัวเอง

และในวันที่เราพูดไม่ออกจริง ๆ วันที่เหนื่อยเกินไป เศร้าเกินไป หรือไม่แน่ใจว่าจะอธิบายอย่างไรการกอดลูกไว้เฉย ๆ อาจเป็นถ้อยคำที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว เพราะสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้อง แต่คือการยืนยันว่าความสัมพันธ์นี้ยังคงปลอดภัย

เด็กจดจำช่วงเวลาเหล่านี้มากกว่าที่เราคิด บางครั้งเขาอาจลืมไปแล้วว่าเราเคยสอนอะไร แต่เขาจะไม่ลืมว่า เวลาที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต เขายังมีอ้อมแขนหนึ่งที่กอดเขาไว้โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย

การเป็นพ่อแม่คือการกลายเป็นมนุษย์คนใหม่

การมีลูกไม่ได้ทำให้เราแค่ “เพิ่มบทบาทใหม่” เข้ามาในชีวิต หากมันคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในที่ลึกกว่านั้น เราไม่ได้เป็นเพียงพ่อแม่ของลูก แต่กำลังกลายเป็นมนุษย์คนใหม่อีกคนของตัวเองด้วย

ก่อนหน้านี้เราอาจคิดว่าตัวเองรู้จักความรักดีพอ แต่การได้เห็นเด็กคนหนึ่งพึ่งพาเราในทุกลมหายใจ ทำให้เราได้สัมผัสรักในรูปแบบที่ไม่คาดคิด รักที่ไม่สามารถมีเงื่อนไข รักที่ทำให้เราต้องยอมปล่อยวางความต้องการส่วนตัว และรักที่บังคับให้เราเผชิญหน้ากับด้านที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ในตัวเอง ทั้งความดื้อรั้น ความโกรธ ความกลัว และความอ่อนโยนที่ไม่รู้ว่าลึกขนาดนี้

ในขณะเดียวกัน เราก็เริ่มเรียนรู้จะให้อภัยตัวเองมากกว่าที่เคย เพราะถ้าไม่ให้อภัย เราคงไม่มีแรงลุกขึ้นมาใหม่หลังความผิดพลาดแต่ละครั้ง ลูกจึงไม่เพียงทำให้เราเป็นพ่อแม่ แต่ยังทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น มนุษย์ที่ยอมรับทั้งด้านสว่างและด้านมืดของตัวเอง

และบางทีนี่อาจเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากการเป็นพ่อแม่ การค้นพบว่าการเติบโตไม่ได้เป็นของเด็กเพียงฝ่ายเดียว แต่คือเส้นทางที่เราและเขาเดินไปพร้อมกัน เขาเรียนรู้จะเป็นตัวของเขาเอง ขณะเดียวกันเราก็เรียนรู้จะเป็นมนุษย์ที่อ่อนโยนและลึกซึ้งกว่าเดิม

คำสารภาพของการเป็นพ่อแม่ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์

การเป็นพ่อแม่ไม่ใช่ใบปริญญาที่มอบให้แล้วเราจะ “เป็น” ไปตลอด หากคือสมุดบันทึกที่ไม่มีวันปิดเล่ม ทุกวันมีบรรทัดใหม่เขียนเพิ่มเข้ามา บางหน้ามีรอยด่างพร้อย บางหน้ามีคราบน้ำตา และบางหน้ามีรอยยิ้มที่สว่างเกินกว่าคำอธิบายใด ๆ

เราอาจพลาด เราอาจล้ม เราอาจโกรธจนอยากหนี แต่ในทุกความผิดพลาดนั้น เรากำลังแสดงให้ลูกเห็นบทเรียนที่ใหญ่กว่าคำสอนใด ๆ ว่าชีวิตไม่ต้องสมบูรณ์แบบถึงจะงดงาม และความรักไม่จำเป็นต้องไร้รอยร้าวถึงจะจริงแท้

บางที การเป็นพ่อแม่ก็คือการยอมสารภาพต่อหน้าลูกอย่างเงียบ ๆ ว่า “ฉันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ฉันยังคงเรียนรู้” และในขณะเดียวกัน การเป็นลูกก็ทำให้เขาได้เห็นว่าความไม่เสร็จนี้ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือความงามของการเป็นพ่อแม่ การเป็นมนุษย์ที่พร้อมจะรัก แม้จะยังไม่รู้คำตอบทั้งหมดของชีวิต

และนั่นเอง คือบทเรียนที่แท้จริงของการเลี้ยงลูก ไม่ใช่การสอนเขาให้กลายเป็นใคร แต่คือการเดินเคียงข้างกัน บนเส้นทางที่เราทุกคนยังคง “กำลังเป็นใครสักคน” อยู่เสมอ


Writer

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts