บางความรักไม่ได้เกิดจากการอยู่ใกล้ตลอดเวลา แต่มาจากการที่เราเชื่อว่า เมื่อถึงเวลา คนคนนั้นจะกลับมา แม่ในนิทานก็มักเป็นแบบนั้น ความสัมพันธ์ของเธอกับลูกไม่ถูกสร้างขึ้นจากการเฝ้าดูทุกก้าว หรือการคอยตอบทุกคำถาม ทำทุกอย่างอย่างตรงใจลูก แต่ค่อย ๆ ก่อรูปจากเหตุการณ์ธรรมดาที่เกิดซ้ำ การกลับมาโดยไม่มีคำอธิบาย การตวาดจนลูกแตกกระจายแล้วค่อยตามไปเก็บ การฟักไข่ที่ไม่ใช่ของตัวเองเพียงเพราะอยากดูแล หรือการแทบไม่ปรากฏในเรื่องเลยแต่ยังอยู่ในวิธีที่ลูกวางใจโลก
แม่เหล่านี้ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นต้นแบบของใคร เธอไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อให้ความสัมพันธ์กับลูกดูดีในสายตาผู้อื่น บางครั้งเธอก็พลาด บางครั้งเธอก็หายไป และบางครั้งเธอก็อยู่ในที่ของตัวเองมากกว่าที่จะอยู่ตรงหน้าลูก แต่สิ่งที่คงอยู่คือการ “อยู่” ในความหมายที่ลึกกว่าเวลา อยู่ในความทรงจำ อยู่ในวิธีที่ลูกจัดการกับความกลัว อยู่ในความมั่นคงภายในใจลูก ว่าในโลกที่กว้างใหญ่จะมีใครบางคนที่จะอยู่ตรงนั้นเสมอ
แต่ “การอยู่” ในที่นี้ไม่ใช่การอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นการอยู่ “พอ” ให้รู้สึกว่าโลกไม่น่ากลัวจนเกินไป เป็นการอยู่ที่มั่นคงจนเป็นรากลึกในใจลูก ว่าต่อให้เผชิญสิ่งไม่คุ้นเคย ก็ยังมีบางอย่างในชีวิตที่มั่นคงพอให้กลับมาได้ และบางที แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการเติบโต
ในนิทานภาพ “แม่” มักปรากฏตัวอยู่ระหว่างบรรทัด บางทีก็มาในฐานะแม่ บางทีก็มาในความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างจากสีและเส้นที่ปรากฏ อย่างไรก็ดี “แม่” ไม่ใช่ตัวละครที่มีพลังพิเศษ ส่วนใหญ่แล้วเรื่องราวก็มักเขียนให้เธอเป็นคนธรรมดาที่ทำสิ่งธรรมดาอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่เธอคือผู้อยู่เบื้องหลังของเรื่องราวนั้นเสมอ
บางครั้งเธอเป็นเพียงเงาเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงมุมภาพขณะลูกกำลังผจญภัย บางครั้งปรากฏผ่านถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะ หรือเสียงเรียกแผ่ว ๆ จากอีกห้องหนึ่ง เธออาจไม่ได้เป็นศูนย์กลางของเหตุการณ์ แต่การมีอยู่ของเธอทำให้เรื่องทั้งหมดมีโครงสร้างที่มั่นคง เหมือนเส้นด้ายที่มองไม่เห็นซึ่งเย็บทุกหน้าเข้าด้วยกัน แม้จะไม่มีบทพูดสำคัญหรือการกระทำยิ่งใหญ่ แต่เธอก็เป็นเหตุผลที่ตัวละครอื่นกล้าออกเดินทางและกล้ากลับบ้าน
แม่ในนิทานจึงมักเป็นการปรากฏตัวที่ไม่ดึงดูดสายตาแต่สร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับผู้อ่านโดยเฉพาะเด็กๆ ได้อย่างลึกซึ้ง เพราะ ‘แม่’ คือจักรวาลแรกที่เด็กได้รู้จัก เป็นทั้งร่มเงาและแสงแดด เป็นทั้งคำปลอบและบางทีก็เป็นเสียงดุที่เด็กจะจดจำไปตลอดชีวิต เป็นความรู้สึกถึงการมีใครบางคนอยู่ข้างหลังโดยไม่ต้องอธิบาย และบางที นั่นคือพลังที่แท้จริงของแม่ในโลกของนิทานภาพ คือการทำให้เด็กเชื่อว่าแม้จะเดินออกไปไกลแค่ไหน ก็ยังมีเส้นทางที่พากลับมาได้เสมอ
ในโอกาสวันแม่ปีนี้ สานอักษร และ Mappa ขอนำนิทาน 5 เล่ม จาก 5 ผู้แต่งนิทานภาพ มาเล่าถึงความเป็นแม่ และเรื่องราวเหล่านี้ไม่เพียงทำให้เราเห็นแง่มุมต่าง ๆ ของความสัมพันธ์แม่ลูก แต่ยังเตือนให้เรารู้ว่า ความเป็นแม่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แค่ซื่อสัตย์ต่อกันและอยู่พอให้ลูกมั่นใจว่าโลกนี้ยังปลอดภัยสำหรับเขา
รอ กลับมา กอด… และมั่นใจ เพราะแม่คือจักรวาลที่กลับมาเสมอ กับ Owl Babies (ลูกนกฮูกหาแม่)
เด็ก ๆ และคุณแม่อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับ Owl Babies แต่นี่คือหนึ่งในหนังสือภาพระดับคลาสสิกของโลก หนังสือภาพเล่มนี้เป็นผลงานของ Martin Waddell และ Patrick Benson ที่ได้รับรางวัล Nestlé Smarties Book Prize และถูกตีพิมพ์ซ้ำไปกว่า 2 ล้านเล่มตั้งแต่ปี 1992 หนังสือเล่มนี้มีบางอย่างที่ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่หยุดมอง และนั่นอาจเป็นเพราะแววตาโตๆ ของลูกนกฮูกสามตัวที่ทั้งตื่นตระหนก อ้อนวอน และพยายามเข้มแข็งในเวลาเดียวกัน และนั่นก็คือสิ่งที่เด็กๆ เข้าใจความรู้สึกเจ้าลูกนกทั้งสามได้ทันที เพราะพวกเขาก็เคยรู้สึกอย่างนี้เช่นกัน

Owl Babies เริ่มต้นด้วยความมืดของป่ากลางคืน และเจ้าลูกนกฮูกสามตัวตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าแม่ไม่อยู่ตรงนั้น พวกมันนั่งเบียดกันบนกิ่งไม้เล็ก ๆ ตัวหนึ่งคอยหาคำอธิบาย ตัวหนึ่งพูดออกมาตรง ๆ ว่าคิดถึงแม่ ส่วนอีกตัวเงียบ แต่ไม่ยอมคลายกรงเล็บจากกิ่งไม้ พวกมันมองเข้าไปในเงามืดและรอ รอแบบที่ไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหน แต่มันก็รอ แล้วแม่ก็บินกลับมา เหมือนที่จากไป แล้วก็กลับมาเสมอ

ลองนึกถึงเด็กที่กำลังเล่นอยู่ในสนาม แล้วหันไปหาแม่ไม่เจอ มองหาอีกครั้งก็ยังไม่เห็น แม่อาจจะเดินออกไปเพียงไม่กี่ก้าว แต่ความว่างที่เกิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ นั้นกลับขยายใหญ่ในใจเด็ก จนกระทั่งแม่เดินกลับมา บางครั้งเป็นขวดน้ำในมือ บางครั้งเป็นตะกร้าผ้าจากอีกห้อง ความโล่งใจที่เกิดขึ้นทันทีนั้นจะซ้อนทับกับครั้งก่อน ๆ ที่เคยรู้สึก เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารก ตื่นขึ้นมา แม่ไม่อยู่ ร้อง แล้วแม่กลับมาอุ้ม การหายไปและกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กจะค่อย ๆ สร้างภาพจำว่าโลกนี้พอจะคาดเดาได้ และแม้บางช่วงของโลกจะว่างเปล่า แต่ก็ยังมีแม่ที่เขามั่นใจว่าจะกลับมาเสมอ ความรู้สึกมั่นคงเช่นนี้ทำให้เขากล้าสำรวจสิ่งใหม่ รู้ว่าตัวเองมีที่ให้หวนกลับ และเมื่อเติบโตขึ้น ความมั่นคงนี้จะกลายเป็นรากฐานของการไว้ใจคนอื่น และการไว้วางใจตัวเอง

แม่นกฮูกใน Owl Babies ไม่ได้มีบทพูด หรือฉากอธิบายเหตุผลให้ลูกเข้าใจ เธอแทบไม่มีบทบาทเชิง “การกระทำ” ให้เห็นมากนัก แต่พลังของเธออยู่ในสิ่งที่ซ้ำและคงที่ คือการ “กลับมา” เสมอ และการกระทำเช่นนี้สะท้อนความจริงของความสัมพันธ์แม่ลูกในชีวิตจริง คือไม่ใช่ทุกครั้งที่แม่สามารถอธิบายได้ว่าหายไปทำไม หรือจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่แม่ทำได้และทำซ้ำคือ “ไม่หายไปตลอดกาล” เด็กจึงซึมซับว่า แม่คือจุดยึดที่มั่นคงที่สุด แม้โลกจะมีช่องว่างอยู่บ้างก็ตาม
ความเป็นแม่ในเล่มนี้ยังมีความหมายเชิงพัฒนาการทางอารมณ์ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับทฤษฎี secure attachment หรือสายสัมพันธ์ที่มั่นคงปลอดภัย ที่ว่าทารกและเด็กเล็กต้องการผู้ดูแลที่ตอบสนองอย่างสม่ำเสมอและพอประมาณ การหายไป–กลับมาซ้ำ ๆ ของแม่ในเรื่อง เป็น “แบบฝึกหัดทางใจ” ให้ลูกเรียนรู้ว่า การแยกจากกันไม่ใช่จุดจบของความสัมพันธ์ และการรอก็สามารถจบลงด้วยการกลับมา
แม่ใน Owl Babies ไม่ได้ถูกวาดให้เป็นผู้ปกป้องที่ไม่เคยปล่อยลูกห่างตัว แต่เป็นแม่ที่เชื่อว่าลูกจะรับมือกับการรอได้ และลูกก็ทำได้จริง ๆ โดยมีพี่น้องช่วยปลอบใจกันเอง และใช้วิธีของแต่ละตัวในการจัดการความกังวล นี่คืออีกแง่มุมหนึ่งของความเป็นแม่ ไม่ใช่การป้องกันทุกความรู้สึกไม่สบาย แต่คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยพอให้ลูกได้เผชิญและรอ และแม้จะรู้ว่าลูกใจหายอยู่บ้างเวลาแม่ไม่อยู่ แต่แม่ก็ไม่ได้โอ๋จนเกินไปนัก เพียงแค่ยืนอยู่ใกล้ ๆ และล้อมรอบลูกด้วยปีกก็เพียงพอแล้ว ภาพเหล่านี้ตอกย้ำว่า ความรักของแม่ไม่จำเป็นต้องถูกแสดงออกด้วยถ้อยคำหรือท่าทางชัดเจนเสมอไป แต่สามารถส่งผ่านด้วยการ “อยู่” อย่างมั่นคง
ไม่เหมือน แต่รัก ฟูมฟัก ดูแล ลูกจะแปลกแค่ไหนเมื่อเป็นแม่แล้วก็รักได้เสมอ กับ The Odd Egg
ในลานกว้างที่ฝูงนกกำลังฟักไข่และรอคอยการมาถึงของลูกนกกันอย่างตั้งใจ ไข่บางใบฟักออกมาเป็นลูกนกที่สวยงามสมใจแม่ บางใบออกมาดูเก่งกาจ สมใจแม่อีกเหมือนกัน บางใบก็ดูปกติธรรมดา เหมือนพิมพ์นิยมในสายพันธุ์นั้น ๆ ก็ยังสมใจแม่อยู่ แม่ของนกหลายตัวให้ค่ากับความสวย ความเก่ง หรือคุณสมบัติบางอย่างที่ส่งต่อกันตามค่านิยม การให้ค่านี้กลายเป็นความคาดหวังในลูกตั้งแต่ก่อนที่ไข่จะฟักเสียอีก และท่ามกลางรังที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเหล่านี้ มีเพียงเป็ดตัวหนึ่งที่นั่งมองรังว่างเปล่า มันไม่มีไข่เหมือนตัวอื่น จนกระทั่งวันหนึ่งเจอไข่ใบใหญ่ ลายสวย แปลกตา ไม่เหมือนไข่ของใคร และแม่เป็ดตัดสินใจเก็บมาฟักเอง
นกตัวอื่นหัวเราะเยาะ พูดจาแดกดัน มองว่าเป็ดตัวนี้ทั้งแปลกและน่าขำ ดูๆ ไปก็ไม่เหมือนเป็ดตัวเมียเลยสักนิด แต่ก็ยังฟักไข่นั้นทุกวัน รออยู่อย่างเงียบ ๆ จนในที่สุดไข่ก็แตกออก… กลายเป็นลูกจระเข้ที่ไม่มีอะไรเหมือนแม่เป็ดเลยสักนิด และแน่นอนไม่เหมือนลูกนกสุดแสนจะเพอร์เฟ็กต์ตัวอื่นๆ เจ้าจระเข้น้อยเดินตาม แหงนหน้าหา และยึดเป็ดเป็นแม่ทันที
นั่นไม่ใช่ปัญหาอะไรเลยสำหรับแม่
เพราะถึงลูกจะเป็นอย่างไร ลูกก็คือลูก และแม่สามารถรักได้โดยไม่มีเงื่อนไข

นี่คือเรื่องราวจาก The Odd Egg ผลงานของ Emily Gravett ศิลปินหนังสือภาพเจ้าของรางวัล Kate Greenaway Medal ที่มักเล่าเรื่องแม่–ลูกในรูปแบบไม่จำกัดขอบเขต คราวนี้เธอเลือกให้ “แม่” ในเรื่องเป็นเป็ดตัวผู้ ซึ่งเป็นการตั้งคำถามว่า ใครกันที่กำหนดว่าใครควรเป็นแม่ และความเป็นแม่นั้นวัดกันที่อะไร เธอไม่ได้ประกาศชัดเจนว่าตัวละครนี้เป็นเพศไหน แต่ซ่อนร่องรอยเล็ก ๆ ไว้ให้คนอ่านค่อย ๆ สังเกตและระแคะระคายเองว่าแม่เป็ด จริง ๆ แล้วคือพ่อเป็ด ช่องว่างเล็ก ๆ ตรงนี้เปิดพื้นที่ให้คนอ่าน โดยเฉพาะเด็ก ๆ ได้ตั้งคำถามกับภาพจำเรื่องบทบาทพ่อ–แม่ และปล่อยให้คำตอบค่อย ๆ เติบโตในใจ มากกว่าจะยัดเยียดคำจำกัดความให้ตั้งแต่ต้น

ความรู้สึกของเด็กที่เป็น “ลูกจระเข้” อาจแทนใจใครหลายคนที่เคยรู้สึกไม่เหมือนใครในครอบครัวหรือสังคม โดยเฉพาะเด็กที่เติบโตมากับความคาดหวัง หรือถูกเปรียบเทียบทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองต่างออกไป ทั้งในรูปลักษณ์ ความสนใจ หรือวิธีคิด แต่ลูกจระเข้ในเรื่องนี้ไม่เคยถูกแม่เป็ดคาดหวังให้เป็นแบบอื่น และไม่เคยถูกนำไปเปรียบกับใคร แม่เป็ดเพียงฟัก ดูแล และยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ความรู้สึกว่ามีใครสักคนคอยอยู่ตรงนั้นเสมอ ทำให้ความแตกต่างไม่กลายเป็นภาระ แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต เด็กที่ได้รับสายตาแบบนี้จากแม่ จะซึมซับว่าคุณค่าของตัวเองไม่ได้ขึ้นอยู่กับการ “เหมือน” คนอื่น แต่ขึ้นอยู่กับการได้เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่

ความเป็นแม่ใน The Odd Egg จึงไม่ได้วัดจากสายเลือด ความเหมือน หรือเพศสภาพ แต่จากการตัดสินใจ “รับ” และ “อยู่ด้วยกัน” ในสิ่งที่ไม่รู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นอะไร เป็ดตัวผู้ในเรื่องไม่ได้พยายามเปลี่ยนลูกจระเข้ให้เหมือนตัวเอง ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขว่าลูกต้องเป็นแบบไหนถึงจะรัก และนั่นไม่ทำให้แม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย การที่ลูกแตกต่างอย่างสิ้นเชิงไม่ได้ทำให้ความรักสั่นคลอน ตรงกันข้าม มันยิ่งย้ำถึงเจตนาของ Emily Gravett ที่ต้องการให้เด็กเห็นว่าครอบครัวไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบเดียวกัน ความตั้งใจนี้ทำให้เล่มนี้เป็นมากกว่านิทานน่ารัก แต่เป็นบทสนทนา เรื่องการยอมรับในความแตกต่าง การวางใจให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง และในเชิงพัฒนาการ นี่คือการสร้าง “ความผูกพันแบบมั่นคง” ที่ทำให้เด็กเชื่อว่า ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นแบบไหน ก็ยังมีใครบางคนพร้อมที่จะฟูมฟักและรักพวกเขาเสมอ
โกรธ แตก กระจัดกระจาย รวมกันใหม่… และแม้โกรธ เสียงดัง พังพินาศอย่างไรก็กลับมาซ่อมใหม่ได้เสมอ ใน Schreimutter (แม่จ๋า อย่าโมโห)
บางครั้งความเป็นแม่ก็ไม่ได้หมายถึงความใจเย็นและอ่อนโยนเสมอไป และ Schreimutter หรือแปลตรงตัวว่าแม่ที่ชอบตะโกน ของ Jutta Bauer พูดถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาด้วยภาพเรียบง่ายแต่สะเทือนใจแม่ไปทั่วโลก นิทานเรื่องนี้เริ่มจากแม่เพนกวินตวาดลูกเสียงดังจนร่างของลูก “แตกกระจาย” ลอยไปทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นห้องใต้ดิน น้ำทะเล หรือยอดเขา เหมือนไปกระแทกกับความโกรธที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่เกิดขึ้นจริง เมื่อแม่สงบลง เธอออกเดินทางเพื่อเก็บชิ้นส่วนของลูกกลับมา เย็บให้กลับคืน และกอดเขาอย่างระมัดระวัง

สำหรับเด็กๆ เราอ่านแล้วเข้าใจทันทีว่าการตวาดนั้นอาจทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกฉีกขาด ทั้งความมั่นใจและความปลอดภัย แต่การที่แม่เดินกลับมาเก็บชิ้นส่วนและประกอบลูกอีกครั้ง โดยไม่มีคำอธิบายยืดยาว แต่แสดงออกผ่านการกระทำด้วยความตั้งใจ ส่งสารว่า แม้ใครสักคนจะทำให้เจ็บ แต่ก็สามารถกลับมาดูแลได้
ความเป็นแม่ในเล่มนี้ไม่ได้ถูกเขียนเป็นแม่ผู้ใจเย็นหรือไร้ข้อผิดพลาด แต่เป็นแม่ที่ กล้ายอมรับว่าเสียงโกรธเกิดขึ้นได้ และกล้ากลับมาดูแลสิ่งที่เธอทำแตกออกไป ไม่ปัดตำหนิลูก ไม่หลบหน้า แต่กลับยืนตรงนั้น และใช้ความรักเย็บความสัมพันธ์ให้กลับมาอีกครั้ง

เช่นเดียวกับที่ Jutta Bauer กล่าวว่า เธอไม่กลัวเผชิญเรื่องยาก และพร้อมเล่าเรื่องที่คนอื่นมักหลีกเลี่ยง เพราะเธอเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้ต้องมีพื้นที่ให้เด็กได้สัมผัสและสะท้อนตัวเอง “Viele sagen, dass Eltern heute eher an Sachbüchern … Etwas Poetisches fällt schnell durchs Raster” เน้นให้เห็นว่าเธออยากใช้ภาพเล่าเรื่องที่มีพลังของความจริง ไม่ใช่แค่ขาวดำแต่มีชีวิตอยู่ในภาพนั้นจริง ๆ

สำหรับเด็กที่เห็นแม่ยอมรับผลของความโกรธ และรู้ว่าการแตกกระจายไม่ใช่จุดจบ และการเย็บรักใหม่คือความมั่นคง เด็กจะเรียนรู้ว่า ความสัมพันธ์ไม่ต้องสมบูรณ์แบบแต่ต้องซื่อตรง และนี่คือสายสัมพันธ์ที่ให้ทั้งความรู้สึกปลอดภัยและความหวังในความไม่แน่นอน สำหรับเด็ก ๆ หนังสือเล่มนี้ช่วยบอกเขาว่า ไม่ว่าแม่จะโกรธหรือโมโหเพียงใด ความสัมพันธ์ที่แตกไปก็สามารถกลับมาซ่อมแซมได้ใหม่เสมอ สำหรับแม่ เล่มนี้อาจไม่ใช่ข้อแก้ตัวในการโกรธหรือโมโหเด็ก แต่เป็นการระลึกรู้เสมอว่า หากเราเผลอใช้พลังอำนาจในการทำให้บางสิ่งพังทะลายลง ก็อย่าลืมว่าเราเองก็มีพลังแห่งการซ่อมแซมมันกลับมาได้เช่นกัน
หัวเราะได้โดยไม่รีบ ยืนถ่ายรูปโดยไม่ต้องอุ้มใคร… และแล้วดูตอนนี้สิ ใน แล้วดูตอนนี้สิ (แม่ของชินสุเกะ)
หนังสือภาพของ Shinsuke Yoshitake มักเต็มไปด้วยอารมณ์ขันปนความจริงที่คนอ่านทุกวัยสัมผัสได้ แล้วดูตอนนี้สิ ก็เช่นกัน เล่มนี้ไม่ได้เล่าเรื่องผจญภัยของเด็ก แต่เป็นการเปิดอัลบั้มภาพเก่า ๆ ของแม่ ผ่านสายตาและเสียงบรรยายของลูก เด็กที่ค่อย ๆ สังเกตว่า แม่เคยเป็น “คนอื่น” มาก่อนที่จะเป็นแม่ของเขา

เรื่องเริ่มจากลูกเปิดดูภาพถ่ายเก่าแล้วพูดว่า “แม่เคยหัวเราะได้โดยไม่รีบ… แล้วดูตอนนี้สิ” หรือ “แม่เคยมีเวลาว่างเยอะ… แล้วดูตอนนี้สิ” แต่ละหน้าของหนังสือเปรียบเทียบระหว่าง “แม่เมื่อก่อน” กับ “แม่ตอนนี้” อย่างตรงไปตรงมาและขำปนจริงจัง ในภาพเก่า แม่อาจกำลังยืนยิ้มอยู่บนเนินเขา หรือกำลังนอนอ่านหนังสือ ในภาพปัจจุบัน แม่กำลังอุ้มลูก ล้างจาน หรือต่อรองให้ลูกรีบแต่งตัวไปโรงเรียน
สำหรับเด็ก การค้นพบว่าแม่เคยเป็น “คนอื่น” มาก่อน คือจุดเริ่มต้นของการมองแม่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่แค่บทบาทที่แนบมากับชีวิตเรา มันทำให้เด็กรู้ว่าแม่ก็มีอดีต ความสนใจ และพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งบางส่วนอาจเปลี่ยนไปเพราะการมีลูก เด็กที่ได้มองแม่ในมุมนี้ อาจค่อย ๆ เข้าใจว่าความรักของแม่ไม่ได้ลบตัวตนเดิมทิ้ง แต่ปรับให้สอดคล้องกับชีวิตที่มีเราอยู่ในนั้น
ความเป็นแม่ใน แล้วดูตอนนี้สิ จึงไม่ใช่การเสียสละจนหายตัวไป แต่เป็นการเจรจาระหว่างตัวตนเดิมกับบทบาทใหม่ แม่ในเรื่องยอมให้ลูกเห็นทั้งสองด้าน ด้านที่เคยเป็นหญิงสาวที่มีเวลาสำหรับตัวเอง และด้านที่เป็นแม่ในปัจจุบันที่เวลาและพลังงานส่วนใหญ่ทุ่มให้ครอบครัว แม่ในโลกนิทานของ Yoshitake ไม่เคยถูกวาดให้เพอร์เฟ็กต์ ผมอาจจะชี้ฟู หน้าอาจจะเหวี่ยงอยู่ตลอดเวลา เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย หรือกำลังทำอะไรสองอย่างพร้อมกันในท่าทางกึ่งรีบกึ่งเหนื่อย แต่ความไม่สมบูรณ์แบบนี้เองที่ทำให้แม่ของเขาดู “จริง” และทำให้เด็กเชื่อมโยงได้มากขึ้น เพราะนี่คือแม่ที่เรารู้จักในชีวิตจริง คนที่รักเรา แต่ก็หงุดหงิดได้ เหนื่อยได้ และมีวันที่ไม่พร้อมเต็มร้อยเสมอไป
การเล่าเรื่องแบบนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Yoshitake ที่มักใช้ภาพตลกซ่อนความจริงที่สำคัญ เพื่อให้เด็กได้เห็นว่าผู้ใหญ่เองก็มีการเปลี่ยนแปลง เติบโต และเรียนรู้ตลอดเวลา และในเชิงพัฒนาการ มันช่วยให้เด็กรับรู้ว่าความสัมพันธ์แม่ ลูกคือความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ที่ต่างก็มีชีวิต ความคิด และความฝัน เป็นของตัวเอง

สำหรับเด็ก หนังสือเล่มนี้ช่วยบอกเขาว่า แม่ไม่ได้เกิดมาพร้อมบทบาทนี้ แต่ค่อย ๆ เติบโตมาเป็นแม่ในแบบของตัวเอง และแม้แม่จะไม่เพอร์เฟ็กต์ แต่ก็ยังเป็นคนที่อยู่ตรงนั้นให้เสมอ สำหรับแม่ เล่มนี้เป็นการเตือนอย่างอ่อนโยนว่า ในขณะที่เราอุ้มชูชีวิตของใครอีกคน เราก็ยังมีสิทธิ์และคุณค่าที่จะเป็นตัวของตัวเองต่อไป ทั้งในวันที่เราหัวเราะโดยไม่รีบ และในวันที่เราหน้าเหวี่ยงเพราะเหนื่อยเกินไป
รอ เก็บ ฟัง ปล่อย… และอยู่ใกล้พอให้มั่นใจ ก้าวเล็ก ๆ ที่กลายเป็นการเดินทางไกล ในนิทาน นานา
นานา เป็นหนังสือภาพที่เล่าเรื่องเรียบง่าย แต่แฝงความอบอุ่นของครอบครัวไว้อย่างเต็มเปี่ยม เรื่องราวติดตามการเดินทางของเด็กหญิงนานาที่ต้องเผชิญเส้นทางที่ยาวไกลและไม่คุ้นเคย ระหว่างทางเธอมีพี่ชายและสหายโกโก้เดินทางไปด้วย ทำให้ทุกก้าวที่เดินไม่ใช่แค่การมุ่งไปข้างหน้า แต่เป็นการเดินทางที่มีความรัก ความไว้ใจ และกำลังใจโอบอุ้มอยู่

ภาพในหนังสือสื่อให้เห็นว่าแม้แม่ของนานาอาจไม่ได้ปรากฏตัวในทุกฉาก แต่เธออยู่ในเงาของความมั่นใจที่ลูกมี อยู่ในความกล้าที่นานาแสดงออก และอยู่ในวิธีที่เธอเปิดรับความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ การเดินทางจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของปลายทาง แต่เป็นบทพิสูจน์ว่าความผูกพันที่ปลูกฝังไว้ในบ้านสามารถตามเด็กออกมาได้ไกลแค่ไหน
สำหรับเด็ก การเดินทางของนานาคือบทเรียนเงียบ ๆ ว่าแม่ไม่จำเป็นต้องเดินไปพร้อมเราในทุกก้าว แต่ความรักและการสนับสนุนที่แม่ให้ไว้ตั้งแต่ต้น สามารถกลายเป็นแรงขับให้เราเดินไปต่อได้แม้ในที่ที่แม่ไม่อยู่ตรงนั้น ความมั่นใจแบบนี้เกิดจากการรู้ว่ามีบ้านให้กลับ มีคนที่เชื่อในตัวเรา และแม้จะไกลแค่ไหน ความเชื่อมโยงนั้นก็ยังอยู่

ความเป็นแม่ใน นานา จึงไม่ใช่การอยู่ใกล้เพื่อตรวจตราทุกฝีก้าว แต่เป็นการสร้างรากที่แข็งแรงพอให้ลูกออกไปเติบโต แม่ในเรื่องมอบความมั่นใจให้ลูกจนลูกสามารถก้าวสู่โลกกว้างได้ด้วยตัวเอง และนั่นคืออีกหนึ่งรูปแบบของความรัก ความรักที่กล้าปล่อยให้ลูกออกไป และเชื่อว่าลูกจะกลับมาเสมอ

การเดินทางของนานาคือบทเรียนว่าแม่ไม่จำเป็นต้องเดินไปพร้อมเราในทุกก้าว แต่ความรักและความผูกพันที่แม่ปลูกไว้ในตัวเราและในสายสัมพันธ์กับผู้คน สามารถกลายเป็นแรงขับให้เราเดินต่อได้แม้ในที่ที่แม่ไม่อยู่ตรงหน้า ความมั่นใจแบบนี้เกิดจากการรู้ว่ามีบ้านให้กลับ มีคนที่เชื่อในตัวเรา และแม้จะไกลแค่ไหน ความเชื่อมโยงนั้นก็ยังคงอยู่ และในความมั่นใจนี้ก็ซ่อนความท้าทายอยู่ไม่น้อย เพราะสำหรับเด็ก การออกเดินทางด้วยตัวเองหมายถึงการก้าวเข้าสู่พื้นที่ที่ไม่รู้ว่าจะพบอะไร ต้องใช้ทั้งความกล้าและความสามารถในการพึ่งพาตัวเอง ส่วนสำหรับแม่ การปล่อยให้ลูกไปข้างหน้าเพียงลำพังคือการฝึกไว้วางใจและเชื่อมั่นอย่างมากในตัวลูก แต่ความเชื่อมั่นนั้นไม่ได้แปลว่าแม่จะไม่ทำอะไรเลย ตรงกันข้าม แม่ยังคงสานและรักษาความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง วางรากฐานและเครือข่ายไมตรีให้ลูกไว้ล่วงหน้า เพื่อให้รู้ว่าตลอดเส้นทางที่ก้าวไป แม้จะมีบางช่วงที่ต้องอยู่คนเดียว แต่ก็จะไม่ใช่การเดินทางที่โดดเดี่ยวเสียทีเดียว
ความเป็นแม่ใน นานา จึงไม่ใช่การอยู่ใกล้เพื่อตรวจตราทุกฝีก้าว แต่เป็นการสร้างรากที่แข็งแรงพอให้ลูกออกไปเติบโต แม่ในเรื่องมอบทั้งความมั่นใจและเครือข่ายความไว้วางใจจากคนในชุมชนให้ลูก จนลูกสามารถก้าวสู่โลกกว้างได้ด้วยตัวเอง และนั่นคืออีกหนึ่งรูปแบบของความรัก ความรักที่กล้าปล่อยให้ลูกออกไป และเชื่อว่าลูกจะกลับมาเสมอ
สำหรับเด็ก หนังสือเล่มนี้บอกว่า การเดินออกไปเผชิญโลกไม่ใช่การตัดขาดจากบ้าน แต่คือการพกบ้านไปในใจเสมอ สำหรับแม่ เล่มนี้อาจเป็นการย้ำเตือนว่า บางครั้งการอยู่ห่าง ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งของการอยู่ใกล้ เพราะความมั่นคงและความสัมพันธ์ที่เราสร้างไว้ให้ลูกนั้น จะเป็นแรงส่งให้เขาเดินต่อไปได้แม้ในวันที่เราไม่อยู่ตรงหน้า
ความเป็นแม่ที่อยู่ในทุกจังหวะของชีวิต
ในจักรวาลของนิทานภาพ 5 เล่มนี้ “แม่” ไม่ได้ถูกวาดให้เป็นเพียงภาพอบอุ่น เรียบร้อย หรือเพอร์เฟ็กต์ แต่ปรากฏในหลายรูปแบบที่ซื่อสัตย์ต่อความเป็นจริง แม่ฮูกใน Owl Babies เหมือนแม่ที่ต้องจากไปทำหน้าที่อื่นๆ แต่กลับมาเสมอ แม่เป็ดใน The Odd Egg ฟักไข่แปลกโดยไม่หวั่นไหวต่อความแตกต่าง และรักลูกอย่างไม่คาดหวัง แม่เพนกวินใน Schreimutter ตวาดลูกจนแตกกระจายแล้วเย็บกลับคืน มนุษย์แม่ใน แล้วดูตอนนี้สิ เปิดให้ลูกเห็นทั้งตัวตนเดิมและบทบาทใหม่ และแม่นานาที่สร้างรากเครือข่ายไว้จนลูกกล้าออกเดินทางไกล
ในนิทานภาพสมัยใหม่ ภาพของแม่ไม่ได้ถูกสร้างออกมาให้เพอร์เฟ็กต์ตลอดเวลา เพราะนั่นไม่ได้เป็นเพียงเรื่องไม่จริง แต่ยังอาจทำร้ายทั้งตัวแม่และเด็ก สำหรับแม่ มันกดดันให้ต้องรักษาภาพลักษณ์ที่ไม่มีอยู่จริง จนละเลยความต้องการและความเปราะบางของตัวเอง สำหรับเด็ก มันทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นด้วยภาพฝันที่ไม่มีพื้นที่ให้ความผิดพลาด การโกรธ หรือการเปลี่ยนแปลง จนอาจรู้สึกสับสนเมื่อเจอความเป็นจริง
ความเป็นแม่ในโลกของนิทานเหล่านี้จึงกว้างและตรงไปตรงมากับความเป็นแม่ในโลกจริงมากกว่าเดิม บางครั้งคือการอยู่ตรงหน้าเพื่อกอดให้แน่น บางครั้งคือการอยู่ในความทรงจำที่ทำให้รอได้อย่างมั่นใจ บางครั้งคือการอยู่เพื่อยอมรับและซ่อมแซมสิ่งที่พัง บางครั้งคือการอยู่ในสายตาที่มองลูกทั้งในฐานะลูกและในฐานะคนอีกคนหนึ่ง และบางครั้งคือการอยู่ในความไว้ใจที่ปล่อยให้ลูกไปต่อได้ด้วยตัวเอง
สำหรับเด็ก ๆ นิทานเหล่านี้คือบทเรียน ว่าแม่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเพื่อให้ความรักมั่นคง และความมั่นคงนั้นไม่จำเป็นต้องมาจากการอยู่ด้วยกันทุกวินาที แต่อาจมาจากการกลับมาเสมอ การยอมรับในความแตกต่าง การซ่อมแซมความสัมพันธ์ การมองเห็นกันในฐานะมนุษย์ และการเชื่อมั่นในกันและกันแม้จะอยู่ไกล
สำหรับแม่ นิทานเหล่านี้อาจเป็นกระจกที่สะท้อนว่า บทบาทแม่มีหลายจังหวะ จังหวะที่โอบ จังหวะที่ปล่อย จังหวะที่ขอโทษ และจังหวะที่ยืนข้างหลังเงียบ ๆ การเป็นแม่จึงไม่ใช่การทำให้ทุกอย่างราบรื่นไร้รอยต่อ แต่คือการมีอยู่จริงในความสัมพันธ์ และใช้พลังที่มีทั้งในการสร้าง รักษา และซ่อมแซมความผูกพันนั้นตลอดเส้นทางชีวิตของลูก