การได้ท่องเที่ยวไปในโลกของ ‘นิทาน’ มันคือช่วงเวลาที่ไม่ ‘พิเศษ’ หรอก แต่มัน ‘วิเศษ’ ไปเลยล่ะสำหรับเด็กๆ มันพาเรากระโดดโลดเต้นไปในโลกจินตนาการที่ดูเหมือนกับว่าอะไรๆ ก็เป็นไปได้ พารวบรวมความกล้าหาญที่จะโบยบิน ต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ด้วยพลังวิเศษที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ชวนฝันถึงความมหัศจรรย์ของการมีชีวิตอยู่ไปจนถึงพาไปเข้าใจและทำความรู้จักกับอารมณ์ความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญอย่างยิ่งภายในใจและชีวิตของคนเรา ทั้งความสุข ความรัก ความเศร้า ความเจ็บปวด ความโดดเดี่ยว ความสัมพันธ์และอีกมากมาย
คอลัมน์ ‘เล่านิทานก่อนนอน’ มีความใฝ่ฝันเหมือนครั้งได้ฟังนิทานตอนเด็กๆ ว่าจะได้ลุ้นที่จะพบเจออะไรมากมายในนิทานเรื่องต่างๆ ตั้งแต่พลังมหัศจรรย์ไปจนถึงความซับซ้อน ความง่ายดาย ความหนักและความเบาในการมีชีวิตอยู่ และเพราะคิดว่าหนังสือนิทานไม่ได้เป็นหนังสือสำหรับชาวเด็กเท่านั้นเลยอยากชวนอ่านและเล่าถึงนิทานอยู่เรื่อยๆ แม้ช่วงเวลาสุดวิเศษในวัยเด็กและเสียงเล่านิทานก่อนนอนของใครหลายๆ คนจะผ่านพ้นไปแล้วก็ตามที
ท้ายเล่มของหนังสือนิทานที่หน้าปกเป็นเจ้าแมวน้อยนัยตาเศร้าได้เล่าข้อมูลของ ‘ฟุมิโกะ ทาเคชิตะ’ นักเขียนชาวญี่ปุ่นเอาไว้เล็กน้อยว่า เธอเลี้ยงแมวมาแล้ว 35 ปี ปัจจุบันเลี้ยงแมวอยู่ทั้งหมด 5 ตัว มีชื่อเป็นของตัวเองคือ ชังโงะ, มาริน, ดินาโกะ,คระ และโคะมะ เธอจบปริญญาตรีจากคณะศึกษาศาสตร์และมีผลงานหนังสือออกมามากมาย อาทิ หนังสือชุด Kuroneko Sangorou, Kazemacht tsuushin, Kichigotsaushin, Hirake! Nankin mame,Tabisuru usagi,Nyan tomokurabu,Chisanaohanashiyasan no ohanashi
ส่วน ‘นาโอโกะ มาจิดะ’ เป็นศิลปินวาดภาพประกอบ เธอเรียนจบระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยศิลปะและมีผลงาน อาทิ Nekodume no yoru, Sakura iro no ryuu,Iru no, Inai no, Azukitogi, Obake nyoubou นอกจากนี้เธอยังอยู่กับแมวตั้ง 2 ตัว มีชื่อทั้งสองตัวเช่นกันคือ ‘ชิราคิ’ และ ‘ชากุระ’
งานเขียนจาก ‘ฟุมิโกะ ทาเศชิตะ’ รวมตัวกับงานภาพลายเส้นแสนอุ่นจาก ‘นาโอโกะ มาจิดะ’ กลายมาเป็นนิทานภาพ แมวน้อยไร้ชื่อ หนังสือที่น่าหยิบขึ้นมาอ่านตั้งแต่แรกพบสบตากับเจ้าแมวน้อยตัวนั้นบนหน้าปกก่อนสายตาจะเลื่อนขึ้นไปมองชื่อเรื่องที่ทั้งน่ารักและแซมความว่างเปล่าเอาไว้ด้วยกัน
“ไม่เคยมีใครตั้งชื่อให้ฉันเลย”
แมวน้อยไร้ชื่อ ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดย ‘สุธีรา ศรีตระกูล’ โดยสำนักพิมพ์ Amarin Kids เล่าเรื่องราวของแมวน้อยตัวหนึ่งที่ร่อนเร่อยู่ในมุมหนึ่งของโลกเดียวกันที่เราอยู่นี่แหละ ทว่าแตกต่างไปจากแมวตัวอื่นๆ ที่ถูกเล่าในเรื่องนี้ตรงที่ตั้งแต่เด็กจนเติบโตขึ้นเจ้าแมวน้อยบนหน้าปกหนังสือเล่มนี้ไม่เคยมีใครตั้งชื่อให้เลย “ตอนยังเล็กฉันเป็นแค่เจ้าแมวน้อย พอโตขึ้นมาหน่อยก็เหลือแค่เจ้าแมว” จากตัวบทจะเห็นว่าเจ้าแมวรู้สึก ‘ไม่มีตัวตน’ สำหรับใครเลย และไม่ได้เป็น ‘ใครสักคน’ ของใครๆ เลย เป็นเพียง ‘เจ้าแมว’ ในความหมายอย่างกว้างๆ เท่านั้น นิทานภาพเรื่องนี้จึงเริ่มต้นขึ้นด้วยความวิ่นแหว่งในหัวใจน้อยๆ ดวงหนึ่ง ชวนให้อยากพลิกอ่านต่อไปว่าชีวิตน้อยๆ นี้จะเป็นอย่างไรต่อในโลกที่เต็มไปด้วยการเรียกขานชื่อทว่ามีเพียงแมวน้อยตัวนี้ที่ไร้ชื่ออยู่ลำพัง
เจ้าแมวน้อยพาผู้อ่านออกเดินทางสำรวจแมวตัวอื่นๆ ที่ต่างก็มีชื่อกันทั้งหมด เช่น แมวร้านรองเท้าที่ชื่อลีโอ แมวร้านหนังสือที่ชื่อเก็นตะ แมวร้านผักที่ชื่อจิ๋ว แมวร้านโซบะที่ชื่อชมจันทร์ และอีกมากมาย ส่วนเจ้าแมวน้อยก็ใฝ่ฝันที่จะมีชื่อของตัวเองอย่างเพื่อนๆ บ้าง เมื่อเดินทางไปพบเจอกับ ‘ขวัญยืน’ แมวสีขาวนวลตัวนั้นก็ได้บอกกับเจ้าแมวน้อยให้ลองตามหาชื่อที่ชื่นชอบดู ทำให้เจ้าแมวน้อยออกเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อตามหาชื่อที่ตัวเองชอบ และการเดินทางครั้งนั้นเองทำให้เจ้าแมวได้พบเรื่องราวต่างๆ ไปจนถึงการพบเจอกับเด็กหญิงคนหนึ่งที่ทำให้เขาค้นพบความหมายที่ลึกลงไปของการมีชื่อ!
“แมวจรจัด…แมวสกปรก…แมวน่าเกลียด”
นั่นไม่ใช่ชื่อหรอก
เรื่องราวที่ชวนให้น้ำตาซึมในนิทานเรื่องนี้เห็นจะเป็นช่วงเดินทางตามหาชื่อนี่แหละ นอกจากเจ้าแมวน้อยจะพกสายตาเศร้าไปสำรวจสถานที่ต่างๆ เพื่อตามหาชื่อที่ตัวเองน่าจะชอบแล้ว เจ้าแมวยังเจอสถานการณ์สะเทือนใจจากการขับไล่ของใครบางคนอีกด้วย
“แมวจรจัด…แมวสกปรก…แมวน่าเกลียด” นั่นไม่ใช่ชื่อหรอก
“เฮ้ย แก! ไปทางนู้นไป…ชิ่ว ชิ่ว!” นั่นก็ไม่ใช่ชื่อเหมือนกัน
เรื่องราวส่วนนี้ทำให้เห็นว่าความรู้สึกของการถูกมองข้ามหรือไร้ตัวตนไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ว่ามีคนพูดคุยกับเราหรือเห็นเราหรือไม่ หากแต่การมองข้ามหรือทำให้รู้สึกไร้ตัวตนนั้นมาจากการกีดกัน การใช้ความรุนแรง ไปจนถึงการดูถูกกันอีกด้วย และบางครั้งคำพูดหรือการกระทำที่ดูเล็กน้อยในมุมของใครบางคน อาจเป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องสำคัญและสัมพันธ์กับปมความเจ็บปวดของใครอีกคนก็ได้ เหมือนกับที่คนใช้ไม้กวาดไล่เจ้าแมวน้อยพร้อมดุด่า โดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าแมวน้อยนั้นกำลังเดินทางแบกความหวังที่หนักหนาและตามหาสิ่งที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนสำหรับชีวิตของตน โดยที่ไม่รู้ว่าการไม่เคยมีชื่อเลยตลอดการมีชีวิตอยู่ ไม่เคยมีเพื่อนหรือมีคนเข้าใจเลยนั้นมันร้าวลึกอย่างไร
ใช่—ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นชื่อไม่ได้หรอก แบบที่เจ้าแมวว่าจริงๆ นั่นแหละ เพราะไม่มีคำไหนเลยในนั้นที่จะทำให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับตัวเอง ภูมิใจ หรือดีใจในการมีชีวิตอยู่ได้เลย
“จริงสิ ฉันรู้แล้ว
สิ่งที่ฉันอยากได้ไม่ใช่ชื่อหรอก”
สถานการณ์นั้นเองทำให้เหมียวรู้สึกเจ็บปวด ยิ่งประกอบด้วยภาพวาดฉากสายฝนกำลังหล่นร่วงลงมาขณะที่ทุกอย่างเคลื่อนไปยิ่งทำให้รู้สึกเศร้าไปกับเจ้าแมวมากขึ้นอีก ดูเหมือนว่าเหมียวกำลังพบเจอกับความโดดเดี่ยวในวันที่ก็ยังตามหาชื่อที่ชอบไม่เจอสักที จนเมื่อเด็กหญิงคนหนึ่งได้มาพบแล้วพูดคุยด้วย ทั้งแสดงความห่วงใย เข้าอกเข้าใจ และเรียกชื่อเจ้าแมวขึ้นมา
เจ้าแมวได้มีชื่อแล้ว ใครอยากรู้ลองไปเปิดอ่านดูว่าเด็กหญิงคนนั้นตั้งชื่อให้ว่าอย่างไร ทว่า ‘สิ่งสำคัญ’ ไปกว่าการรู้ว่าชื่อของเจ้าแมวก็คือการ ‘มองเห็น’ หัวใจและการดำรงอยู่เป็นส่วนหนึ่งในสังคมและในโลกใบเดียวกันระหว่างเราคนอื่นๆ และชีวิตอื่นๆ เพราะในโลกใบนี้ ไปจนถึงในโครงสร้างสังคมหนึ่งๆ นั้นคงไม่มีใครอยากถูก ‘มองข้าม’ ไป
“สิ่งที่ฉันอยากได้ไม่ใช่ชื่อหรอก แต่เป็นใครสักคนที่มาเรียกชื่อฉันต่างหาก”