ชื่อของ “ครูจวง – ปารมี ไวจงเจริญ” ส.ส.จากพรรคก้าวไกล อาจไม่ใช่ชื่อที่ใครหลายคนคุ้นเคยนัก เพราะเธอไม่ใช่ “ตัวตึง” ที่พร้อมฟาดทุกคนเหมือนกับเพื่อน ส.ส.ในพรรคคนอื่นๆ หรือเป็นนักการเมืองที่มี “แฟนคลับ” มากมายที่พร้อมส่งเสียงกรี๊ดทุกครั้งเมื่อเธอมีโอกาสจับไมค์พูดหาเสียง แต่ครูจวงก็เดินเข้าสู่เส้นทางสายการเมืองด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยมที่จะเปลี่ยนแปลง “ระบบการศึกษาไทย” ด้วยประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่ในวงการมามากกว่า 30 ปี แม้จะไม่ใช่ “ครูในระบบ” แต่เธอยืนยันว่าเข้าใจความเจ็บปวดของคนในระบบเป็นอย่างดี
Mappa พาทุกคนไปทำความรู้จักครูจวง อดีตติวเตอร์ชื่อดังที่พร้อมทำหน้าที่ “ตัวแทนประชาชน” เพื่อส่งเสียงเรียกร้องให้การศึกษาไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
ไม่เป็นครูในระบบ แต่ขอเป็นติวเตอร์
“เราเป็นครูนอกระบบมาทั้งชีวิต เรียนจบครุศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอกการสอนสังคม เหตุผลที่เราที่ไม่ได้สอบบรรจุที่ไหน เพราะหนึ่งเราเป็น LGBTQ+ และเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ประเด็นเรื่อง LGBTQ+ ยังไม่ได้เปิดกว้างแบบเดี๋ยวนี้ ยังมีการละเมิดสิทธิมากมาย และสองคือรายได้น้อย เงินเดือนครูในระบบน้อยยิ่งกว่าปัจจุบันเสียอีก แม้จะมีการปฏิรูปให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้เยอะมาก นั่นก็เลยเป็นเหตุผลหลักที่เราตัดสินใจไม่เป็นครูในระบบ แล้วก็มาเป็นครูนอกระบบ เป็นอาจารย์พิเศษ เป็นติวเตอร์”
“ทั้งชีวิตนี้ก็อยู่กับการสอนวิชาสังคมศึกษามาตลอด ตอนเด็กๆ ชอบวิชาสังคมศึกษาและประวัติศาสตร์มาก ซึ่งก็ถือว่าตัวเองเป็นคนโชคดีด้วยที่ค้นพบว่าตัวเองชอบอะไรได้เร็ว เราชอบวิชาสังคมมาตั้งแต่ประถม มัธยม พอสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เลือกสอบเข้าครุศาสตร์ เราฝันอยากเป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์หรือสังคมศึกษา และสุดท้ายก็ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและใฝ่ฝัน”
“ต้องบอกว่าอาชีพนักการเมืองไม่เคยเป็นความฝันของเราเลย เราอยากเป็นครู แล้วเราก็ได้เป็นครูมาทั้งชีวิต แต่เราเห็นว่าการศึกษาไทยมันล้มเหลวมากๆ โดยเฉพาะในช่วง 15 ปีให้หลังมานี้ มันตกต่ำยิ่งกว่าเก่า เราก็เลยรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว เราต้องมาช่วยผลักดัน ช่วยขับเคลื่อน”
ตัดสินใจร่วมพรรคก้าวไกล
“เราเป็นฝ่ายประชาธิปไตยมาโดยตลอด จะบอกว่าเป็นเสื้อแดงมาตลอดก็ได้ เราเลือกพรรคไทยรักไทยมาตลอด ต่อด้วยพรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย เพราะบริบทในอดีตตอนนั้นยังไม่มีพรรคที่มีความเป็นเสรีนิยมมากกว่าไปกว่าเหล่านี้ แต่เมื่อเกิดพรรคอนาคตใหม่ จนกลายเป็นพรรคก้าวไกล เราก็เฝ้าดูการเติบโตของเขาตลอด จนเรามั่นใจในอุดมการณ์ที่ชัดเจน ก็เลยสนใจอยากจะมาร่วมงานการเมืองกับพรรคนี้”
“เราไม่มีเส้นสาย ไม่มีคอนเนคชั่นอะไรในพรรคเลย เรารู้จักพรรคก้าวไกล รู้จักนักการเมือง ส.ส.เก่าของพรรคอนาคตใหม่ ผ่านสื่อทั้งหมด คือรู้จักพวกเขาฝ่ายเดียวนั่นแหละ พวกเขาไม่ได้รู้จักเราหรอก แต่เราเห็นแล้วว่าอุดมการณ์ของพวกเขาชัดเจน ก็เลยสมัครเข้ามาทางเว็บไซต์ แม้จะไม่เคยทำงานการเมืองหรือทำงานกับพรรคเลยก็ตาม แต่เราก็ผ่านกระบวนการคัดกรองของเขา จนได้เข้ามาอยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรค ก็ต้องขอบคุณทางพรรคก้าวไกลที่เปิดโอกาสให้คนธรรมดาเข้ามาร่วมงาน”
คนนอกกล้าท้าชนมากกว่า
“คนนอกมองเห็นปัญหาได้ดีกว่าคนในนะ หรือเราจะเห็นอะไรในมุมที่คนในเขามองไม่เห็น เพราะบางทีคนในอยู่แต่ในกรอบของตัวเอง ซึ่งมีเยอะแยะไปหมดเลย เราว่าครูหลายคนมีไฟและมีศักยภาพ เขาอยากเป็นครูที่ดีและสามารถสอนหนังสือได้อย่างเต็มที่ แต่ระบบราชการและระบบของกระทรวงศึกษาฯ มันไม่เอื้อให้เขา หรือว่าเขาอาจจะโดนผู้บังคับบัญชารังแกหรือกดทับ แต่เขาไม่กล้าทำอะไร ก็ได้แต่เอามาระบายกับคนนอกแบบเรา แล้ววันรุ่งขึ้นก็กลับไปโรงเรียนเพื่อให้ผู้บังคับบัญชารังแกเหมือนเดิม ดังนั้น การเป็นคนนอกนี่แหละ ที่ทำให้เรากล้าชนมากกว่า ทำให้เรามองเห็นโครงสร้างขนาดใหญ่และขนาดย่อยที่คนในอาจจะมองข้ามไป”
“พอมองจากข้างนอกเข้าไป เราเลยได้เห็นอะไรเยอะมาก หนึ่งคือโครงสร้างระบบราชการที่เทอะทะ ใหญ่โต แล้วก็รวมศูนย์อำนาจมาก มีการสั่งการจากบนลงล่าง หรือเรื่องหลักสูตรที่ไม่เปิดโอกาสให้ครูได้สร้างสรรค์หลักสูตรอะไรใหม่ๆ เพื่อสอนเด็กเลย แล้วก็สักประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ก็มีประเด็นปัญหาเพิ่มมากขึ้น อย่างเรื่องงานนอกการสอนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการนอกห้องเรียน ที่ถูกยัดลงไปในโรงเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าหลายโครงการเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็มีอีกหลายโครงการเหมือนกันที่มันไร้สาระมากๆ แล้วก็ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน หรือสนับสนุนให้เด็กเกิดพัฒนาการที่ดีขึ้นเลย”
ข้าราชการ (ระดับสูง) ในกระทรวง
“ข้าราชการในกระทรวงได้ประโยชน์จากการรวมศูนย์อำนาจ พวกเขาได้อำนาจ ดังนั้นเขาก็ไม่อยากกระจายสิ่งนั้นออกไปให้ครูหรอก เพราะถ้ามีการกระจายอำนาจไปสู่โรงเรียนอย่างแท้จริง พวกเขาก็จะไม่มีอำนาจน่ะสิ ซึ่งอันนี้แหละคือสิ่งสำคัญ ข้าราชการในกระทรวงเขาก็คิดแบบนี้ แต่นักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชน เป็นตัวแทนครู และเป็นตัวแทนนักเรียน จะคิดแบบนั้นไม่ได้ เราอาสามาเป็นผู้แทนราษฎรแล้ว เราก็ต้องมีความกล้า เราพูดหลายรอบก่อนจะมีรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาฯ คนใหม่ ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรี ก็อย่าไปฟังข้าราชการในกระทรวงมากจนเกินไป ฟังได้ส่วนหนึ่ง แต่ต้องฟังคนนอกเยอะๆ เราต้องรับฟังพวกเขา แล้วก็รับฟังข้าราชการครูรุ่นใหม่ ข้าราชการครูระดับปฏิบัติงาน พวกเราต้องฟังพวกเขาเหล่านี้ ไม่ใช่ไปฟังข้าราชการระดับสูง”
ปัญหาของครูที่แก้ได้เลย
“การแก้เรื่องข้าราชการในกระทรวงเป็นเรื่องยากแหละ แต่นโยบายที่น่าจะพอทำได้เลย แล้วจะไม่กระทบต่ออำนาจของข้าราชการในกระทรวงมากเกินไป ก็น่าจะเป็นเรื่องคืนสู่สู่ห้องเรียน ให้ครูได้สอนจริงๆ พวกโครงการนอกห้องเรียนต่างๆ สละให้หมด คือจะทำให้หายวับไปเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ค่อยๆ ลด เลือกแต่ที่จำเป็นต่อนักเรียนจริงๆ ก็พอ ส่วนการวัดและประเมินผล ก็ทำแบบสั้นๆ ก็พอ ไม่ต้องประเมินเป็นปึกเป็นเล่มหรอก”
“อีกเรื่องคือการนอนเวร อันนี้ใครเข้ามาเป็นรัฐมนตรีก็น่าจะทำได้เลย เพราะสมัยนี้เราจ้างยามได้ หรือจะติดกล้องวงจรปิดก็ได้ เดี๋ยวนี้ราคาของมันก็ถูกลง และเทคโนโลยีก็ทันสมัยมากขึ้น หรือถ้าโรงเรียนไหนงบไม่พบ ก็อาจจะไปพูดคุยกับฝ่ายปกครองประจำท้องถิ่น หรือขอให้ตำรวจมาติดตั้งตู้แดงให้ เลิกได้แล้วการนอนเวรเนี่ย ครูเขาเบื่อกันมาก แล้วมันไม่เกิดผลอะไรเลย ถ้ามีโจรเข้ามาที่โรงเรียนจริงๆ คุณครูเขาก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”
หลักสูตรเพื่อโลกยุคใหม่
“เรื่องหลักสูตรยังเป็นปัญหาใหญ่ เพราะหนึ่งมันกระทบผลประโยชน์ของสำนักพิมพ์มาก และสองคือมันกระทบต่อองค์ความรู้ของครูด้วย มันมีเรื่องความเคยชินต่างๆ แล้วถ้าเปลี่ยนหลักสูตรให้เป็นสมัยใหม่ ครูก็อาจจะต้องไปเรียนเพิ่ม Upskill และ Reskill กันไป แต่ยังไงก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร เพราะมันสำคัญมากกับโลกยุคใหม่ แต่เด็กไทยกลับต้องเรียนหลายๆ วิชาที่ล้าสมัยไปแล้ว”
“สิ่งหนึ่งเลยคือหลายวิชาที่เราเห็น มันปรับไปเป็นกิจกรรมเสริมและปรับวิธีการวัดประเมินผลได้ ซึ่งมันก็ทำให้คล่องตัวทั้งกับคุรครูและนักเรียน ไม่แข็งทื่อเหมือนกับหลักสูตรเดิม แต่อย่างที่บอกว่าต้องค่อยๆ ปรับทีละนิด”
ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ต้องแก้
“นโยบายเรื่องความเหลื่อมล้ำเป็นนโยบายหลักของพรรคก้าวไกล ซึ่งพอเป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เราจะแก้มิติเดียวไม่ได้ แต่ต้องแก้หลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สวัสดิการของประชาชน แล้วก็ต้องปรับโครงสร้างระบบทุนนิยม ทุนผูกขาดต่างๆ ทั้งหมดมันสัมพันธ์กัน แต่ทางออกสำหรับในทางการการศึกษา เราว่ามันคือเรื่องการใช้งบประมาณในปัจจุบัน เราใช้วิธีให้งบรายหัว ซึ่งมันเป็นวิธีที่โบราณมาก และทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำซ้อนเหลื่อมล้ำ เพราะว่าโรงเรียนขนาดเล็กตาย ในเมื่อเขามีนักเรียนน้อย ถ้าให้งบตามรายหัว เขาเจ๊งเลยนะ เขาจะทำอะไรได้ ซึ่งสิ่งนี้ต้องรีบแก้”
“แล้วแก้อย่างไร จริงๆ มีคนออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะมาก อย่างธนาคารโลกเขาก็ทำหลักเกณฑ์ที่เหมาะกับการพัฒนาขึ้นมา เรียกว่าเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพขั้นต่ำของโรงเรียน (Fundamental School Quality Level) หรือ FSQL ที่ต้องมีดัชนีชี้วัดต่างๆ เช่น ความใกล้ไกลของโรงเรียนกับชุมชน การสาธารณูปโภคพื้นฐานของชุมชน ซึ่งเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้เถอะ มันจะช่วยได้ระดับหนึ่ง ช่วยได้ในแง่ที่เร่งด่วนและค่อนข้างเป็นรูปธรรม”
ขจัดอำนาจนิยมในโรงเรียน
“เรื่องอำนาจนิยมในโรงเรียน มันสัมพันธ์กับเรื่องที่ครูใช้อำนาจและความรุนแรงกับนักเรียน ซึ่งเราลองไปค้นกฎระเบียบต่างๆ มาดู ทั้งกฎกระทรวงศึกษาธิการ หรือกฎคุรุสภา ก็พบว่ามันมีระเบียบกฎหมายอยู่แล้ว ครูต้องโดนเพิกถอนตั๋วครู หรือใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ แต่มันทำให้เกิดขึ้นจริงไม่ได้ เพราะยังมีระบบการเล่นพรรคเล่นพวกในหมู่คุณครูอยู่ ซึ่งตรงนี้สำคัญมาก เราต้องขจัดครูที่ใช้อำนาจนิยมกับนักเรียน หรือใช้ความรุนแรงกับเรียน ครูเหล่านี้ต้องถูกสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา และถูกลงโทษอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการเล่นพรรคเล่นพวก”
“ครูทุกคนต้องพูดใหม่ทำใหม่ กฎหมายมีครบอยู่แล้ว ดังนั้น ครูอย่าคิดว่าจะมาใช้เส้นสาย เราบอกเลยว่าครูที่เขายังมีชุดความคิดอำนาจนิยมอยู่ โดยส่วนใหญ่เขาจะคิดว่าตัวเองเจ๋ง ตัวเองมีเส้นสาย ซึ่งอันนี้แหละเป็นสิ่งที่นักเรียนและสังคมต้องช่วยกันจับตา เพื่อไม่ให้มีเรื่องการใช้เส้นสายหรือการเล่นพรรคเล่นพวก ศักดินาต้องหมดไป แล้วเราทุกคนต้องช่วยกัน”
ความกังวลของ ส.ส.ป้ายแดง
“กังวลแค่นิดเดียว คือพอเราไม่ได้เป็นรัฐบาล การผลักดันอะไรก็อาจจะมีความยากนิดนึง แต่เราจะยังคงผลักดันต่อไป ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลอาจจะไม่ได้รับไปปฏิบัติทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ถ้าฝ่ายบริหารหรือฝั่งรัฐมนตรีของกระทรวงมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหา เราก็สามารถมาปรับจูนกัน มาพูดคุยกัน เอามาปรับใช้ได้ แต่ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา เพราะสังคมนี้หรือระบบนี้มันอยู่มานาน ฝังรากหยั่งลึกมานาน จึงต้องค่อยๆ จัดการกับมัน”
“แต่เราก็เริ่มเห็นสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงแล้ว ซึ่งมันก็เป็นความหวัง เราเป็นครูสอนประวัติศาสตร์ เราเห็นว่าทุกอย่างไม่มีอะไรหยุดนิ่ง มันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด มีพลวัตอยู่ตลอด อาณาจักรโบราณหรือจักรวรรดิ์อันยิ่่งใหญ่ที่เกิดขึ้นแล้วก็ล่มสลาย ส่วนใหญ่เป็นเพราะมันไม่ปรับตัว ดังนั้นการปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก สุดท้ายก็อยากบอกว่าถ้าเราดูในแง่ประวัติศาสตร์ เราจะมีกำลังใจ”