Parenting Myths : 27 มายาคติของการเป็นพ่อแม่

Mappa ชวนเปิดตา เปิดใจ สำรวจและสะท้อนความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกที่ถูกส่งต่อกันมา

ในโลกของการเป็นพ่อแม่ ที่เต็มไปด้วยคำแนะนำจากทั้งครอบครัว เพื่อนฝูง และโซเชียลมีเดีย การเป็นพ่อแม่ไม่ใช่แค่บทบาททางกายภาพ แต่คือการเดินทางที่ต้องใช้สติ ความเข้าใจ และความกล้าหาญในการเรียนรู้ใหม่อยู่เสมอ

หลายความเชื่อเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกที่เรายึดถือกันมาอาจไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ บางเรื่องกลายเป็นภาระทางใจ บางเรื่องทำให้เกิดความรู้สึกผิด และบางเรื่องก็ปิดกั้นโอกาสในการเติบโตของทั้งเด็กและพ่อแม่

บทความนี้ชวนคุณสำรวจความเชื่อที่อาจดูเหมือนจริง แต่เมื่อส่องด้วยมุมมองของข้อมูลและการวิจัยแล้ว อาจนำไปสู่ความเข้าใจใหม่เพื่อให้เราทุกคนได้เป็นพ่อแม่ที่อาจจะไม่ต้อง “ดีที่สุด” สำหรับลูก แต่ “ดีพอ” ได้อย่างแท้จริง

❌ ความเชื่อที่ 1: การเป็นพ่อแม่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

ความจริง: ความเชื่อนี้สร้างแรงกดดันอย่างมากให้กับพ่อแม่มือใหม่ที่อาจกำลังเผชิญกับความท้าทายในการเลี้ยงลูก ทั้งที่ในความเป็นจริง การเป็นพ่อแม่คือทักษะที่ต้องเรียนรู้ ไม่ใช่สิ่งที่ “ติดตัวมาโดยกำเนิด” โดยเฉพาะในกรณีของแม่ ความเชื่อว่าการเป็นแม่ควร “มาโดยธรรมชาติ” อาจส่งผลให้หลายคนรู้สึกผิดหรือตั้งคำถามกับความสามารถของตนเมื่อเจอปัญหา

ไม่มีใครเกิดมารับหน้าที่พ่อแม่ได้สมบูรณ์แบบทันที การเรียนรู้ทักษะการเลี้ยงลูกช่วยให้พ่อแม่มีความมั่นใจและทักษะมากขึ้น งานวิจัยยืนยันว่าหลักสูตรการศึกษาเรื่องการเลี้ยงลูกช่วยเพิ่มความรู้สึกสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ (self-efficacy) และส่งเสริมวิธีเลี้ยงเชิงบวก เช่น การใช้ภาษาสนับสนุน การกำหนดกติกาครอบครัว ทำให้เด็กมีพฤติกรรมดีขึ้นและสัมพันธ์ในครอบครัวเข้มแข็งขึ้น 

❌ ความเชื่อที่ 2: พ่อแม่ที่ดีต้องไม่ผิดพลาด ควบคุมอารมณ์ได้เสมอ และไม่โมโหลูกเลย

ความจริง: ความคาดหวังที่ไม่เป็นจริงว่าพ่อแม่ต้องสงบนิ่ง อดทน และมีความสุขตลอดเวลา สร้างความรู้สึกผิดและวิตกกังวลเมื่อเกิดอารมณ์ด้านลบขึ้น 

แต่ความจริงแล้วพ่อแม่ก็เป็นมนุษย์ มีอารมณ์โมโหโกรธเป็นธรรมดา แต่สิ่งสำคัญคือวิธีจัดการและสื่อสารอารมณ์นั้นๆ แทนที่จะเก็บกดจนปะทุออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว การบอกความรู้สึกกับลูก เช่น “แม่รู้สึกโมโหเพราะ…” เมื่อควบคุมตัวเองได้แล้ว ช่วยให้เด็กเข้าใจและเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม. ผู้ปกครองหลายคนกลัวปกปิดความโกรธ แต่งานวิจัยพบว่า เด็กทุกคนอยากแบ่งปันความรู้สึกให้ผู้ปกครองรับรู้ เมื่อพ่อแม่สื่อสารอารมณ์อย่างเหมาะสม (ไม่ใช่การตะโกนหรือลงโทษรุนแรง) เด็กจะกล้าเปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง และได้เรียนรู้ว่าทุกคนมีอารมณ์ทั้งบวกและลบตามปกติ

❌  ความเชื่อที่ 3: เด็กต้องการเพียงความรักก็พอ

ความจริง: ความรักเป็นพื้นฐานสำคัญ แต่เด็กยังต้องการ กำลังใจ และการยืนยันว่าเขาทำได้ดี มากกว่าการวิจารณ์ งานวิจัยชี้ว่า เด็กต้องการกำลังใจมากกว่าการถูกติเตียน การชื่นชมความพยายามหรือพฤติกรรมดีของเด็กช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ เช่นเดียวกับคำกล่าวจากนักจิตวิทยาว่าการได้รับคำชมจากพ่อแม่นั้น “เปรียบเสมือนการหยอดกระปุกเติมสายสัมพันธ์ให้แข็งแรงขึ้น การให้กำลังใจเป็นประจำจะทำให้เด็กเกิดแรงบันดาลใจที่จะทำดีขึ้นต่อไป

❌ ความเชื่อที่ 4: การตีลูกไม่เห็นเป็นอะไร ใคร ๆ ก็โดนกันทั้งนั้น

ความจริง: แม้จะฟังดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่การใช้การลงโทษทางร่างกายมีหลักฐานแน่ชัดว่าเชื่อมโยงกับผลกระทบด้านลบ เช่น ความนับถือตนเองต่ำ ซึมเศร้า และความเครียดทางจิตใจ ยิ่งไปกว่านั้น พฤติกรรมนี้ยังถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น

การลงโทษทางกายเป็นวิธีที่ไม่แนะนำ องค์การอนามัยโลกพบว่าการลงโทษเด็กด้วยความรุนแรงทำให้เด็กเจ็บปวด มีความกลัวและโกรธ เกิดความเครียดสะสม และส่งผลเสียต่อพัฒนาการทั้งด้านร่างกายและจิตใจ  ปัจจุบันจึงสนับสนุนวิธีเลี้ยงดูลูกแบบเชิงบวก เช่น การอธิบายเหตุผลหลังการกระทำหรือทำให้เด็กเห็นผล (consequences) ของพฤติกรรม แทนการตี ทาง UNICEF แนะนำให้พ่อแม่ “ใจเย็นแต่เด็ดขาด” ตอบสนองต่อพฤติกรรมอย่างเคารพและมีเหตุผล แทนที่จะใช้กำลัง  UNICEF ยังแนะนำให้ให้เด็กเลือกเองบ้าง เพื่อเสริมความเป็นอิสระและ “ชมเชยเมื่อลูกทำถูกต้อง” (Catch them being good) เพื่อสร้างแรงจูงใจโดยไม่ต้องใช้ไม้เรียว

งานวิจัยยืนยันว่ามีวิธีอื่นที่ให้ผลดีในระยะยาวมากกว่าการตี เช่น การใช้ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ (natural consequences) การพูดคุย และการตั้งขอบเขตที่ชัดเจน

❌ความเชื่อที่ 5:  พ่อแม่ที่ดีไม่ควรปฏิเสธหรือขัดใจลูก

ความจริง: แนวทางการเลี้ยงลูกแบบตามใจทุกอย่าง (permissive parenting) แม้จะดูนุ่มนวล แต่จริง ๆ แล้วส่งผลเสียต่อการควบคุมตนเองของเด็ก การไม่ตั้งขอบเขตชัดเจนทำให้เด็กปรับตัวต่อโลกความจริงได้ยาก

การตั้งขอบเขตอย่างเคารพและชัดเจน โดยมีเป้าหมายเพื่อสอน ไม่ใช่ลงโทษ คือหัวใจของวินัยที่ได้ผล

❌  ความเชื่อที่ 6:  พ่อแม่ช่วยลูกได้เสมอและตลอดไป

ความจริง: พ่อแม่ที่ช่วยลูกเกินไปอาจไม่ได้ดีเสมอไป การปล่อยให้เด็ก ฝึกทำสิ่งที่ทำได้เองตามวัย เป็นการสอนความรับผิดชอบและความเป็นอิสระ เช่น ในแผนพัฒนาสุขภาพจิตเด็กไทยก็เน้นให้เด็กช่วยเหลือตัวเอง ฝึกวินัย และมีความรับผิดชอบตามวัยในทางปฏิบัติ พ่อแม่ควรชี้แนะแนวทางให้คำปรึกษา แทนที่จะแก้ปัญหาแทนลูก เพราะการที่เด็กได้ลองแก้ปัญหาด้วยตัวเองจะสร้างความมั่นใจและทักษะแก้ปัญหา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเด็กเจอปัญหา พ่อแม่อาจถาม “จะทำอย่างไรถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้” แทนการแก้ให้ทุกครั้ง จะช่วยให้เด็กรับผิดชอบและรู้จักหาทางออกด้วยตัวเอง.

❌ ความเชื่อที่ 7:   เด็กดีจะไม่ดื้อหรือโวยวาย และเด็กดื้อหรือโวยวายคือเด็กเลี้ยงยากและไม่ดี

ความจริง: ความเข้าใจผิดนี้มองข้ามข้อเท็จจริงว่าเด็กเรียนรู้ผ่านการทดลอง การทดสอบขอบเขตคือส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ที่ต้องการสำรวจความเป็นตัวเองและฝึกควบคุมอารมณ์ สมาคมแพทย์เด็กสแตนฟอร์ดอธิบายว่าการโวยวาย (temper tantrum) เป็น “ส่วนหนึ่งของพัฒนาการเด็กปกติ” 

โดยเฉพาะเด็กในวัย 2-3 ขวบ ซึ่งสถาบันจิตเวชราชานุกูล ยืนยันว่าการร้องอาละวาดเป็นพฤติกรรมปกติของเด็กวัยนี้ แทนที่จะตีตราว่าเด็ก “เก่ง” หรือ “ดื้อ” ควรใช้โอกาสนี้สอนเรื่องการจัดการอารมณ์ ฝึกขอบเขตที่เหมาะสม และสอนลูกใช้คำพูดแทนอาละวาด พ่อแม่จะได้เข้าใจและช่วยให้เด็กเรียนรู้พฤติกรรมใหม่ๆ ที่ดีขึ้น และสิ่งสำคัญคือการตอบสนองต่อพฤติกรรมเหล่านั้นด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยการตำหนิหรือลงโทษ

❌ ความเชื่อที่ 8:  จะต้องไม่มีการทะเลาะวิวาทในบ้านนี้เด็ดขาด

ความจริง: การทะเลาะหรือการโต้เถียงในครอบครัวเป็นเรื่องปกติและหลีกเลี่ยงได้ยาก  พ่อแม่จึงควรวางแผนเผชิญหน้าไว้ล่วงหน้า เช่น ตั้งกฎบ้านว่าห้ามใช้กำลังหรือคำหยาบ และสอนวิธีแก้ปัญหาที่เป็นธรรม ยกตัวอย่าง แนวทางของนักจิตวิทยาแนะนำว่า เมื่อพี่น้องมีปัญหายื้อแย่งสิ่งของ ให้ตั้งผลตามมาแบบยุติธรรม เช่น ไม่มีใครได้ดูโทรทัศน์หรือยืมของนั้นจนกว่าเด็กทั้งสองจะตกลงกันได้ วิธีนี้ทำให้เด็กได้เรียนรู้ว่าทะเลาะจนไม่มีใครได้รับอะไรไปจะไม่คุ้มค่า และช่วยฝึกการประนีประนอมแทนการใช้กำลัง

❌ ความเชื่อที่ 9:  ถ้าลูกไม่ฟัง พ่อแม่ต้องตะโกนเท่านั้นถึงจะสนใจ

ความจริง: พฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กมักมีจุดประสงค์หรือความต้องการที่แฝงอยู่ การตะคอกอาจทำให้เด็กกลัวชั่วคราวแต่ไม่แก้ไขปัญหา เราควรเข้าใจว่าทุกพฤติกรรมของเด็กเป็นรูปแบบหนึ่งของการสื่อสาร ตัวอย่างเช่น หลายครั้งเด็กแสดงพฤติกรรมไม่ดีเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ เพราะสำหรับเด็ก ความสนใจคือความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นบวกหรือแย่” เมื่อพ่อแม่ค้นหาสาเหตุจริงจึงแก้ไขได้ถูกจุดกว่า เช่น พูดคุยให้เวลากับลูกให้รู้ว่าถูกมองเห็นหรือหาทางร่วมมือแก้ปัญหา แทนที่จะตะโกนซ้ำๆ

❌ ความเชื่อที่ 10:  ห้ามสอนค่านิยมตัวเองให้เด็กโดยเด็ดขาด

ความจริง: พ่อแม่ควรถ่ายทอดค่านิยมที่สำคัญของครอบครัวให้ลูกได้เรียนรู้ (เช่น ซื่อสัตย์ เมตตา มีความรับผิดชอบ) ไม่ใช่ปล่อยเด็กเลือกเองทั้งหมด. แนวคิด “การเลี้ยงดูด้วยค่านิยม” (values-based parenting) คือการสอนและส่งเสริมหลักการที่ครอบครัวเห็นว่าสำคัญ เช่น ความซื่อสัตย์ ความเมตตา ความยุติธรรม พ่อแม่ควรพูดคุยกับลูกว่าเราให้คุณค่ากับอะไร ทำไมถึงสำคัญ และใช้โอกาสต่างๆ เป็นบทเรียน เช่น เมื่อเด็กทำดีควรชมเชยถึงคุณค่าของการกระทำนั้น เพื่อปลูกฝังค่านิยมให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเด็ก

❌ ความเชื่อที่ 11:   เด็กผู้ชายก็ต้องเป็นแบบนั้นนั่นแหล่ะ (‘Boys will be boys’)

ความจริง: การยกเว้นพฤติกรรมด้วยข้ออ้างเรื่องเพศเป็นความคิดที่ล้าสมัย เด็กผู้ชายก็มีศักยภาพและความสามารถเท่าเด็กผู้หญิง UNICEF เน้นว่าตั้งแต่วันแรก เด็กชายและเด็กหญิงควรได้รับการเลี้ยงดูอย่างเท่าเทียม (nurtured equally) และพัฒนาการในทุกด้านไม่มีข้อแตกต่างพื้นฐานระหว่างเพศ การสนับสนุนให้เด็กชายต้องแข็งแกร่งหรือจำกัดบทบาทเด็กหญิง จะตอกย้ำค่านิยมจำกัดที่อาจทำร้ายพัฒนาการของเด็ก ผู้ปกครองจึงควรหลีกเลี่ยงการเหมารวม เช่น ไม่สนับสนุนว่าผู้ชายต้องเก่งคณิต เด็กชายก็ควรมีโอกาสทำกิจกรรมหรืองานที่สนใจโดยไม่จำกัดเพศ.

❌ ความเชื่อที่ 12:   เด็กคิดเหมือนผู้ใหญ่ 

ความจริง: เด็กบางเรื่องมีความรู้สึกเทียบเท่าผู้ใหญ่ แต่สมองคิดของเขายังไม่บรรลุนิติภาวะตามผู้ใหญ่ การยอมรับความรู้สึกของเด็กและสอนจัดการอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ แทนที่จะป้องกันเด็กไม่ให้เผชิญความลำบากเลย การสนับสนุนเชิงบวกด้านอารมณ์ (emotion-coaching) เช่น การรับฟัง ช่วยตั้งชื่ออารมณ์และหาทางแก้ปัญหา จะช่วยให้เด็กพัฒนา EQ ได้ดี พ่อแม่ควรใช้ความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และสอนเด็กให้คิดหาทางแก้ไข มากกว่าจะตึงหรืออ่อนจนเกินไป เพราะการปล่อยให้เด็กได้เผชิญสถานการณ์ยากๆ บ้างในระดับที่เหมาะสมจะช่วยเสริมความแข็งแรงทางใจ (resilience) ให้กับพวกเขา

❌  ความเชื่อที่ 13:  ต้องพยายามให้ ‘ดีที่สุด’ เสมอ

ความจริง: ความสมบูรณ์แบบ (perfectionism) ไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความสุข องค์การกุมารเวชฯ สหรัฐฯ เตือนว่าเด็กที่ถูกสอนให้เป็นคน ‘ต้องเพอร์เฟ็กต์’ มักเผชิญปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ความซึมเศร้า หรือความวิตกกังวลสูง ในทางกลับกัน เด็กที่ได้รับกำลังใจให้ทำเต็มที่โดยไม่คาดหวังความสมบูรณ์แบบ จะมองความผิดพลาดเป็นโอกาสเรียนรู้ งานวิจัยชี้ว่า “เด็กที่สำเร็จอย่างสุขภาพจิตดีจะไม่พอใจจนกว่าจะทำเต็มที่ และมองว่าความผิดพลาดคือโอกาสเติบโต” พ่อแม่จึงควรสนับสนุนความพยายามและกระบวนการเรียนรู้ มากกว่ามุ่งรางวัลหรือผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว.

❌  ความเชื่อที่ 14:  ต้องจ่ายเงินแลกให้เด็กทำงานบ้านทุกครั้ง

ความจริง: การจ่ายเงิน (ค่าแรงหรือค่าขนม) ให้ลูกทำงานบ้านเป็นการให้ค่าตอบแทนภายนอก ไม่จำเป็นเสมอไป การให้เด็กช่วยงานบ้านโดยไม่มีค่าแรงสอนให้เด็กเห็นคุณค่าของการช่วยเหลือครอบครัว and ตระหนักถึงความรับผิดชอบ. นักจิตวิทยาเด็กให้คำแนะนำว่า งานบ้านให้ประโยชน์หลายอย่าง เช่นสอนให้รู้ว่า ‘บางครั้งต้องทำภารกิจให้เสร็จก่อนถึงจะได้พักหรือเล่น’ นอกจากนี้ ถ้าลูกเห็นพ่อแม่ทำงานบ้านอยู่เป็นประจำ เขาจะมีแนวโน้มช่วยเองด้วยเช่นกัน วิธีนี้ช่วยให้เด็กรู้สึกมีส่วนร่วมและเรียนรู้ทักษะชีวิตโดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนทุกครั้ง

❌  ความเชื่อที่ 15:  ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกสำคัญที่สุด (มากกว่าความรักระหว่างคู่สมรส)

ความจริง: ความรักและความสัมพันธ์ของพ่อแม่ต่อกันเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับเด็ก การวิจัยพบว่าเด็กที่เติบโตในครอบครัวที่พ่อแม่แต่งงานและมีความสัมพันธ์ที่มั่นคงมักได้รับผลลัพธ์ด้านพัฒนาการและอารมณ์ที่ดีกว่า ส่วนหนึ่งเพราะครอบครัวที่มั่นคงมักมีทรัพยากรและความใส่ใจมากกว่า ดังนั้น การที่พ่อแม่รักและดูแลกันจะสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้เด็ก เช่น การจัดเวลาให้คู่สมรสไปเดตกันสม่ำเสมอ ช่วยลดความตึงเครียดในครอบครัว ทำให้พ่อแม่มีพลังและเวลาเพียงพอในการเลี้ยงดูลูกได้อย่างเต็มที่

❌  ความเชื่อที่ 16:  เมื่อลำบาก เด็กร้อง พ่อแม่ต้องสอนให้สู้ ให้ทน

ความจริง: ชีวิตย่อมมีช่วงเวลาท้าทาย แต่การอดทนโดนับอาจไม่เพียงพอ นักวิชาการด้านพัฒนาการเด็กระบุว่า เด็กเรียนรู้การรับมือกับความเครียดในระดับพอดี (positive stress) จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้เขา นั่นหมายความว่าเราไม่ควรปล่อยให้เด็กเผชิญปัญหาเรื้อรังโดยไม่มีการแก้ไข แต่ควรช่วยให้เด็กเรียนรู้ทักษะรับมือ เช่น การตั้งใจสู้กับปัญหาเล็กๆ อย่างปลอดภัย การขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น และปรับเปลี่ยนวิธีแก้ไขเมื่อติดขัด. พ่อแม่ควรเป็นที่พึ่งให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ และเปลี่ยนกลยุทธ์เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดยืดเยื้อ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้การปรับตัวและพัฒนาความยืดหยุ่นของตนต่อไป

❌ ความเชื่อที่ 17:  ชมลูกให้บ่อย ๆ เข้าไว้

ความจริง: คำชมเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นใจในตนเองของเด็ก แต่การชมที่เน้นผลลัพธ์ เช่น “เก่งมาก” หรือ “ฉลาดจัง” อาจทำให้เด็กกดดันตัวเองและกลัวความล้มเหลว งานวิจัยของ Carol Dweck ชี้ให้เห็นว่าการชมความสามารถโดยกำเนิดสามารถทำให้เด็กหลีกเลี่ยงความท้าทาย เพราะกลัวว่าหากล้มเหลวจะไม่ดู “ฉลาด” อีกต่อไป

ทางที่ดีกว่าคือการใช้คำชมแบบเน้นกระบวนการ เช่น “หนูตั้งใจมากเลยนะ” หรือ “แม่เห็นว่าลูกพยายามไม่ยอมแพ้เลย” ซึ่งจะช่วยปลูกฝัง growth mindset หรือทัศนคติที่เชื่อว่าความสามารถสามารถพัฒนาได้ผ่านความพยายาม ซึ่งมีผลต่อความยืดหยุ่นทางอารมณ์และการเผชิญความล้มเหลวในอนาคตของเด็ก

❌ ความเชื่อที่ 18:  เวลาอยู่กับลูกไม่ต้องเยอะก็ได้ แค่มีคุณภาพก็พอ

ความจริง: แม้แนวคิดเรื่อง “quality time” จะดูดี แต่การใช้เวลาเพียงช่วงสั้น ๆ อย่างมีคุณภาพ ไม่สามารถทดแทนความต่อเนื่องของการอยู่ร่วมกันได้อย่างแท้จริง งานวิจัยชี้ว่า “ปริมาณเวลา” มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าคุณภาพ เพราะเด็กต้องการความมั่นคงจากการมีพ่อแม่อยู่ใกล้ชิดในชีวิตประจำวัน เช่น การกินข้าวด้วยกัน อ่านหนังสือก่อนนอน หรือพูดคุยระหว่างเดินทาง

ช่วงเวลาเหล่านี้เป็นโอกาสธรรมชาติในการสอนทักษะชีวิต ให้ความรัก และสร้างความผูกพันระหว่างพ่อแม่กับลูก การอยู่ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอช่วยให้เด็กรู้สึกปลอดภัย และไว้วางใจในการแบ่งปันเรื่องราวในชีวิต

❌ ความเชื่อที่ 19:  พ่อแม่ที่ดีต้องเสียสละทุกอย่างเพื่อลูก

ความจริง: พ่อแม่จำนวนมากเชื่อว่าการเป็นคนดีคือการเสียสละทุกอย่างเพื่อลูกจนลืมตัวเอง แต่การไม่ดูแลตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจอาจทำให้หมดไฟ เครียด และขาดความอดทน ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการดูแลลูกอย่างมีคุณภาพ

งานวิจัยแนะนำว่า self-care เป็นพื้นฐานของการเป็นพ่อแม่ที่ดี เด็กที่เติบโตในครอบครัวที่พ่อแม่มีสุขภาพจิตดี มีขอบเขต และมีเวลาดูแลตัวเอง จะซึมซับพฤติกรรมเหล่านี้ และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักดูแลตัวเองเช่นกัน

❌ ความเชื่อที่ 20:  พ่อแม่ต้องเห็นตรงกันเสมอ

ความจริง: ในความเป็นจริง พ่อแม่มักมีภูมิหลัง ประสบการณ์ และมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจทำให้มีแนวทางการเลี้ยงลูกไม่เหมือนกันได้ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหา หากจัดการด้วยการสื่อสารอย่างเคารพและสร้างสรรค์

งานวิจัยระบุว่าการเห็นต่างกันบ้างไม่ใช่ปัญหาหลัก แต่การแสดงความขัดแย้งต่อหน้าลูกอย่างรุกรานหรือไม่มีการแก้ไขต่างหากที่ส่งผลเสีย การเจรจาให้ได้ข้อตกลงร่วมกันในเรื่องสำคัญ และยอมรับความแตกต่างในเรื่องเล็กน้อย จะช่วยให้ลูกเรียนรู้เรื่องการประนีประนอมและการเคารพความหลากหลาย

❌ ความเชื่อที่ 21:  พ่อแม่ที่ดีควรรู้เสมอว่าควรทำอย่างไร

ความจริง: ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่รู้คำตอบทุกข้อ หรือพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ การเป็นพ่อแม่คือกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการลองผิดลองถูก การปรับตัว และการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น

การยอมรับว่าตนเองไม่รู้ และพร้อมจะเรียนรู้ คือสัญญาณของความเข้มแข็ง ไม่ใช่ความอ่อนแอ การเปิดใจหาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับพ่อแม่คนอื่น ๆ จะช่วยเสริมทักษะและความมั่นใจในการเลี้ยงลูก

❌ ความเชื่อที่ 22:  พ่อแม่ที่ใช้สื่อดิจิทัลกับลูกบ่อยคือพ่อแม่ที่ไม่ดี

ความจริง: สื่อดิจิทัลไม่ใช่ศัตรู หากใช้อย่างมีเป้าหมายและเหมาะสมกับวัย การใช้สื่อร่วมกับลูก เช่น การดูสารคดี การอ่านหนังสือแบบอินเตอร์แอคทีฟ หรือการเรียนรู้ออนไลน์ สามารถเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ ความอยากรู้ และความเข้าใจในโลกปัจจุบันได้

สิ่งสำคัญคือการตั้งขอบเขตเวลา ใช้เนื้อหาที่เหมาะสม และไม่ใช้หน้าจอเป็นพี่เลี้ยงเด็ก สื่อสามารถเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังได้ หากผู้ใหญ่เป็นผู้นำทาง

❌ ความเชื่อที่ 23:  พ่อแม่ที่ดีต้องทำให้ลูกมีความสุขตลอดเวลา และเด็กต้องมีกิจกรรมหรือมีความบันเทิงตลอดเวลา

ความจริง: ความสุขไม่ใช่เป้าหมายเดียวของชีวิต เด็กที่ไม่เคยเผชิญความผิดหวังหรือความเบื่ออาจขาดทักษะในการรับมือกับความล้มเหลว ความเบื่อหน่ายเป็นจุดเริ่มต้นของจินตนาการ การคิดสร้างสรรค์ และการเล่นอย่างอิสระ

การจัดกิจกรรมที่หลากหลายมีประโยชน์ แต่ควรเว้นพื้นที่ให้เด็กได้เผชิญกับ “เวลาเปล่า” ที่เขาได้เลือกเองว่าจะใช้ทำอะไร ซึ่งเป็นโอกาสในการรู้จักตัวเอง ฝึกวางแผน และจัดการอารมณ์อย่างเป็นธรรมชาติ

❌ ความเชื่อที่ 24:  ไม่ควรพูดคำว่า “ไม่” กับลูก

ความจริง: การกลัวว่าการพูด “ไม่” จะทำให้ลูกเสียใจหรือไม่รักพ่อแม่ อาจนำไปสู่การเลี้ยงลูกแบบไร้ขอบเขต ซึ่งส่งผลเสียในระยะยาว เด็กต้องการขอบเขตที่ชัดเจนเพื่อรู้สึกมั่นคงและเข้าใจโลก

คำว่า “ไม่” ไม่ใช่สิ่งต้องห้าม หากสื่อสารอย่างมั่นคงและให้เหตุผลชัดเจน เช่น “แม่เข้าใจว่าหนูอยากดูการ์ตูน แต่ตอนนี้ถึงเวลานอนแล้ว” เด็กจะเรียนรู้การยอมรับกติกา ฝึกการควบคุมตนเอง และเรียนรู้ความเคารพต่อผู้อื่น

❌ ความเชื่อที่ 25:  พ่อแม่ควรรู้สึกยอมรับลูกอย่างต่อเนื่องเสมอ

ความจริง: พ่อแม่เป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์หลากหลาย ไม่สามารถรู้สึกดีกับลูกได้ตลอดเวลา ความรู้สึกหงุดหงิด เหนื่อยล้า หรือผิดหวังเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้แปลว่าเรารักลูกน้อยลง การยอมรับอารมณ์ของตนเองและเรียนรู้วิธีจัดการอย่างไม่ทำร้ายลูกคือทักษะสำคัญของพ่อแม่ที่มีวุฒิภาวะ

การแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสม เช่น การอธิบายความรู้สึกด้วยคำพูดแทนการตะโกน จะทำให้ลูกได้เรียนรู้ว่าทุกอารมณ์สามารถสื่อสารได้ และพ่อแม่ยังรักลูกแม้ในวันที่รู้สึกไม่ดี

❌ ความเชื่อที่ 26:  อุ้มลูกทันทีเมื่อลูกร้องจะทำให้ติดมือ

ความจริง: การตอบสนองต่อลูกทันทีโดยเฉพาะในวัยทารก ไม่ใช่การทำให้เด็ก “ติดมือ” แต่คือการสร้างความรู้สึกปลอดภัย ความมั่นคง และความเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ พัฒนาการทางสมองของเด็กเล็กขึ้นอยู่กับความมั่นคงทางอารมณ์ที่ได้รับจากผู้ดูแล

การอุ้ม ปลอบ และตอบสนองต่อเสียงร้องเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแรง และเป็นพื้นฐานของความไว้วางใจที่เด็กจะนำไปใช้กับโลกภายนอกในอนาคต

❌ ความเชื่อที่ 27:  พ่อแม่ควรเป็นเพื่อนกับลูก

ความจริง: แม้การมีความสัมพันธ์แบบเปิดใจเป็นสิ่งที่ดี แต่บทบาทของพ่อแม่ไม่ควรเท่ากับ “เพื่อน” โดยสมบูรณ์ เด็กต้องการผู้นำที่ให้ขอบเขต ปกป้อง และแนะนำ การพยายามเป็นเพื่อนกับลูกมากเกินไปอาจทำให้ขาดความชัดเจนในบทบาทและขอบเขต

ความสัมพันธ์ที่ดีควรผสมผสานระหว่างความอบอุ่นและความแน่นอน เด็กสามารถรู้สึกใกล้ชิดกับพ่อแม่ และยังรู้ว่าพ่อแม่เป็นผู้นำที่เขาวางใจได้

สะท้อนความเชื่อ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง

ความเชื่อผิด ๆ ในการเลี้ยงลูกยังคงฝังแน่นในสังคม แม้จะขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในงานวิจัย การเชื่อสิ่งเหล่านี้อาจสร้างภาระทางใจ ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์กับลูก และทำให้พลาดโอกาสในการสร้างครอบครัวที่แข็งแรงและมีความสุข

การเป็นพ่อแม่ไม่ได้มีใคร “เก่งโดยธรรมชาติ” แต่มาจากการเรียนรู้ เติบโต และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครต้องสมบูรณ์แบบ เพราะเด็กต้องการพ่อแม่ที่ “แท้จริง” มากกว่าพ่อแม่ที่ “สมบูรณ์แบบ”

เมื่อเรากล้าย้อนมองและตั้งคำถามกับสิ่งที่เคยเชื่อ ถือเป็นก้าวแรกของการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับทั้งตัวเราเองและลูก การปล่อยมือจากความคาดหวังที่ไม่จำเป็น และหันมายอมรับความเป็นจริงของการเป็นพ่อแม่ คือหนทางสู่ครอบครัวที่มีสุขภาวะอย่างแท้จริง

เพราะในท้ายที่สุด การเป็นพ่อแม่ คือการที่มนุษย์คนหนึ่ง ช่วยให้มนุษย์อีกคนหนึ่ง ได้เติบโตเต็มศักยภาพทั้งในแบบของเขาเอง และในจังหวะของเขาเอง

อ้างอิง:

  1. American Academy of Pediatrics (AAP)
  2. Dweck, C. (2006). Mindset: The New Psychology of Success.
  3. Gershoff, E. T., & Grogan-Kaylor, A. (2016). Spanking and child outcomes.
  4. National Institutes of Health (NIH)
  5. Siegel, D. J. & Bryson, T. P. (2012). The Whole-Brain Child.
  6. Center on the Developing Child at Harvard University
  7. Zero to Three (National Center for Infants, Toddlers, and Families)
  8. UNICEF Parenting Guidance
  9. Gottman, J. & Declaire, J. (1997). Raising an Emotionally Intelligent Child.
  10. West, Kenneth . The Parenting Myths

Writer

Avatar photo

กองบรรณาธิการ Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts