ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกระทบกับสุขภาพของประชาชน แต่ผู้คนอาจได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน เด็กๆ เป็นหนึ่งในนั้น โดยเฉพาะเด็กวัยต่ำกว่า 5 ปี ที่เป็นกลุ่มเปราะบางและอาจต้องการมาตรการสำคัญในการช่วยเหลือเมื่อเขาต้องทุกข์ทนต่อสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละออง PM 2.5 เยอะกว่าสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่
ลองคิดว่าถ้าอากาศที่เราหายใจเข้าไปใน 1 วัน มีปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 เฉลี่ย 100 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรเราจะได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ* เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ จำนวน 4.55 มวนต่อวัน (4 มวนครึ่ง)
เด็ก ๆ ใช้เวลาอยู่ในห้องเรียนวันละ 8 ชั่วโมง หรือ 1 ใน 3 ของวัน เท่ากับเด็กแต่ละคนกำลังสูบบุหรี่ที่โรงเรียนวันละ 1 มวนครึ่ง เดือนละ 45 มวน ปีละ 540 มวนซึ่งอาจเยอะกว่าจำนวนบุหรี่ที่ผู้ปกครองบางคนสูบเสียอีก
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ในวันนี้ อาจจะเป็นผลกระทบที่มองไม่เห็น และทำให้สมรรถนะของปอดทำงานได้ไม่เต็มที่ สมองมีพัฒนาการช้า เติบโตได้ไม่สมวัย ไตเสื่อม กระดูกพรุน นอกจากนั้นผลวิจัยจากเดอะแลนด์แซทชี้ว่าอัตราส่วนการเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศ คิดเป็น 2 ใน 3 ของกรณีการเสียชีวิตจากมลพิษทั้งหมด และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชากรโลก 6.5 ล้านคนเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
อีกข้อมูลหนึ่งจากไทยรัฐออนไลน์ที่น่าสนใจ คือข้อมูลจากประเทศไต้หวันที่ศึกษาผลกระทบของผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ และอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่น PM 2.5 สูงกว่า 30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เป็นเวลา 10 ปี มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอด ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1.1 เท่าของคนที่ไม่สูบบุหรี่และอยู่ในพื้นที่ที่มีปริมาณฝุ่นน้อย
ด้วยอัตราการหายใจของเด็กที่เร็วกว่าผู้ใหญ่ จึงทำให้เด็กไวต่อมลพิษทางอากาศและเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางเดินหายใจได้ง่ายกว่า หมายความว่าการใส่ใจเรื่องคุณภาพอากาศในห้องเรียนนั้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2566 สภา กทม. ได้แจงถึงเหตุผลหลักที่เห็นชอบตัดงบประมาณโครงการห้องเรียนปลอดฝุ่น ในการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมวิสามัญ สมัยที่สอง (ครั้งที่ 1) ประจำปีพุทธศักราช 2566 ประกอบไปด้วย
1. เอกสารโครงการห้องเรียนปลอดฝุ่นของทุกกลุ่มเขตที่หน่วยงานนำมาแสดงมีรายละเอียดเหมือนกันหมด คือ ติดตั้งเครื่องปรับอากาศขนาด 30,000 BTU จำนวน 2 เครื่อง ในขณะที่สภาพห้องเรียนทุกแห่งมีขนาดที่แตกต่างกัน บางห้องเรียนมีขนาดเพียง 20 ตร.ม. และบางเขตมีจำนวนห้องเรียนอนุบาลไม่มาก และได้จัดให้เด็กอนุบาลได้เรียนรวมกัน ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องติดเครื่องปรับอากาศ BTU ที่สูงและต้องติดตั้งให้ครบทุกห้อง ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณเกินความจำเป็น
2. การติดตั้งเครื่องปรับอากาศจำเป็นต้องมีงบประมาณค่าไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นด้วย รวมถึงค่าบำรุงรักษา ค่าล้างทำความสะอาด แต่พบว่าไม่ได้มีการของบประมาณในส่วนอื่นให้สอดคล้องกัน ทำให้เห็นว่าไม่มีการวางแผน เพียงแต่ต้องการใช้งบประมาณเท่านั้น
3. การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ต้องทำให้ถูกจุด ทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียวการให้ความรู้เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้ และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา รวมถึงการติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพิ่มอาจไม่สอดคล้องกับนโยบายลดภาวะโลกร้อนของผู้บริหาร
การเห็นแย้งในกรณีนี้ คือกรณีของการสร้างห้อง Clean Air Shelter ใน 1,743 ห้องเรียน ซึ่งเป็นข้อเสนอของสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร โดยอาจใช้งบประมาณ 231 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณของภาครัฐที่สูง เมื่อต้องตัดสินใจจะลงทุน
หากแต่เมื่อลองคิดถึงเด็ก ๆ วันนี้ที่จะเติบโตไปเป็นอนาคตของชาติ โดยอาศัยสถิติของประเทศไต้หวันว่าการให้เด็กเผชิญมลภาวะทางอากาศอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ อาจส่งผลให้เด็กมีอัตราการเป็นมะเร็งสูงขึ้นถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากพิจารณาค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็งปอดสำหรับบุคคลหนึ่ง อาจต้องใช้งบประมาณระหว่าง 300,000 – 8,500,000 บาท
เด็ก 1 ห้องเรียน มีจำนวน 25 คน จำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ ที่เด็กมีแนวโน้มเป็นมะเร็งปอด คิดเป็น 2.5 คนต่อห้อง และหากนำเอาค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่สุดคือ 300,000 บาท มาคำนวณ นั่นหมายถึง 1 ห้องเรียนต้องใช้เงิน 750,000 บาท และหากคูณจำนวนห้องเรียน 1,743 ห้องเรียน ก็จะคิดเป็นงบประมาณกว่า 1,300 ล้านบาท ซึ่งทวีคูณกว่า 5.6 เท่า
และนั่นไม่ใช่งบประมาณที่ กทม. ต้องแบกรับแต่เป็นเด็กในวันนี้ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ใน 10 – 15 ปีข้างหน้าต้องแบกรับ
หากผู้ใหญ่อยากให้เด็ก ๆ ได้เติบโตไปเป็นอนาคตของชาติ แต่ ณ เวลานี้ อนาคตของชาติกลับต้องเผชิญกับมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในทุก ๆ วัน ผลที่จะตามมาต่อจากนี้ อาจกลายเป็นการสูญเสียที่มากกว่างบประมาณที่ต้องใช้ในการจัดทำห้องเรียนปลอดฝุ่น
คำถามคือ แล้วเราควรลงทุนเท่าไหร่ ? ลงทุนอย่างไร ? ถึงจะคุ้มค่ากับอนาคตของชาติไทย ให้สดใสอย่างที่ผู้ใหญ่คาดหวัง
อ้างอิง
https://www.bbc.com/thai/international-41690306https://www.bbc.com/thai/articles/cd1ej99jdy8o
https://www.cmuccdc.org/pmcomparehttps://www.latimes.com/lifestyle/story/2020-02-28/do-plants-actually-clean-the-air-yes-but-youll-need-a-lot-of-them
https://ntrs.nasa.gov/api/citations/19930073077/downloads/19930073077.pdf
https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/1539568