ก้าวข้ามความสูญเสียได้ แต่ความคิดถึงยังคงอยู่ ปู แบล็คเฮด

“พี่… หนูดูบอลเป็นแล้วนะ อีกหน่อยพี่จะได้มีเพื่อนดูบอลแล้ว” ส่วนหนึ่งของบทสนทนาทางโทรศัพท์ครั้งสุดท้ายระหว่าง ปู-อานนท์ สายแสงจันทร์ หรือ ปู แบล็คเฮด และ นุ๊กซี่-อัญพัชญ์ วัฒนาตันติรัตน์ คู่รักที่คบกันมานานกว่า 5 ปี ก่อนที่วันต่อมา ทั้งคู่จะไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกต่อไป

จากที่เคยใช้ชีวิตด้วยกันแทบจะตลอด 24 ชม. ผ่านมาเกือบปีแล้วกับการที่เขาต้อง ‘อยู่ไป ไม่มีเธอ’ ตามชื่อเพลงดังของเขา เพลงที่เจ้าตัวบอกว่า หลังการสูญเสียครั้งนี้ ช่วงแรกๆ เขาไม่สามารถร้องเพลงนี้ได้ จนถึงวันนี้ที่เขาสามารถร้องเพลงนี้ได้เหมือนเดิม พูดคุยถึงเรื่องความรักครั้งที่ผ่านมาด้วยความเข้าใจ และเรียนรู้จากหลายเรื่องที่นุ๊กซี่สอนเขาไว้ผ่านช่วงเวลาที่อยู่ได้อยู่ด้วยกัน ทั้งข่วงสุขและทุกข์

ไม่มีอะไรที่ต้องทรมาน มีแต่ความทรงจำที่ดี

“ตอนช่วงแรกๆ ที่คนถามก็จะมีความรู้สึกยังไม่ชิน ยังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้อีกเดือนนิดๆ ก็จะครบปีแล้ว ก็ค่อนข้างจะเข้าใจและรับได้ เวลาผมลงรูปเขา ลงเรื่องราวเก่าๆ ในอินสตาแกรม คนก็จะรู้สึกว่าเขายังไม่ไปไหน แล้วก็ถามไถ่ว่าเราเป็นอย่างไร สภาพจิตใจโอเคขึ้นหรือเปล่า แต่ตัวเราอยู่กับความจริงตลอดทุกวันๆ มันก็สร้างความแข็งแรงให้กับภาวะจิตใจได้มากขึ้น ตอนนี้ก็รู้สึกว่าโอเค ดีขึ้น

“ที่เปลี่ยนไปจากช่วงแรกๆ ก็คือ ตอนนั้นถ้าดูรูป ดูเรื่องราวที่เกิดในเฟซบุ๊กที่มันจะเตือนมาตลอดเวลา ปีที่แล้วเป็นอย่างนี้ๆ ก็จะรู้สึกในทันทีที ก็จะยังคงคิดถึงและยังมีอาการเสียใจ มีอาการที่ไม่เชื่อ แต่ ณ วันนี้ผมรู้สึกเหมือนมีเขาอยู่ด้วยตลอด ทำอะไรก็เหมือนยังมีเขาอยู่ด้วย มีรูป หรือไปทำกิจกรรมที่เคยทำกับเขา ผมก็ไปทำ หรือที่ที่เคยไปกับเขา ผมก็ไป ผมคิดว่าเรายู่ได้ถ้าไม่มีเขา แต่เขายังอยู่กับเราเสมอ ไม่มีอะไรที่ต้องทรมาน มันเหมือนกับว่ามีความทรงจำที่ดี

จริงๆ กว่าจะรู้สึกแบบนี้ได้ น่าจะเพิ่งสัก 2-3 เดือนที่แล้วนี้เอง เพราะตอน 6 เดือนแรกนี่ไม่ได้เลย พยายามทำงานเยอะ แม้กระทั่งไปทำงานต่างประเทศก็ยังรู้สึกว่าอยากพาเขาไปด้วย เพราะว่ามันมีหลายๆ เรื่องราวที่เราเคยแพลนกันไว้ว่าเราจะไป เราจะทำ อย่างที่เคยเห็นในข่าวว่าผมพกรูปไปตามที่ต่างๆ ก็ทำอย่างนั้น จนได้ทำในสิ่งที่เราวางแผนไว้ครบถ้วน มันก็เลยทำให้เราโอเคขึ้นกับสิ่งที่สัญญาไว้

“ที่ผมไปสวิส เดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ เยอรมนี มันเป็นทริปที่เราแพลนกันไว้ก่อนที่จะมีโควิดเข้ามา ทำเอกสาร ทำวีซ่าเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าเขาปิดเมืองพอดี ก็เลยไม่ได้ไป หลังจากนั้นก็ 2 ปีที่เดินทางเข้าประเทศไม่ได้ เราก็เสียดาย ช่วงเวลานั้นก็ถือว่าเป็นเวลาที่หนักหนาพอดี แต่ก็ถือว่าโชคดีเหมือนกันนะเพราะถ้าสมมติเราเดินทางไปที่นู่น เกิดอะไร accident ขึ้นที่นู่นก็คงแย่เหมือนกัน ยังถือว่าโชคดีที่ได้ดูแลกันอยู่ที่บ้าน

“ช่วงที่ไปต่างประเทศและพกรูปเขาไปด้วย ผมเห็นภาพเขาเลย เพราะเราอยู่ด้วยกันจนเรารู้ว่า ถ้าเรามาตรงนี้ ตรงไหนที่เขาจะเดินไปก่อน ไปถ่ายรูป ตรงไหนที่จะใช้เวลานานหน่อย เพราะว่าถ่ายรูปหลายแอ็กด้วย แล้วเขาก็จะต้องจัดเสื้อผ้าให้เรา จัดเสื้อผ้าให้ตัวเอง เพื่อจะได้อยู่ในธีมเดียวกัน เราจะรู้เลย เพราะฉะนั้นเราเลยรู้สึกเหมือนเขาไปด้วยตลอดเวลา มันก็เลยรู้สึกดี แล้วก็เรียกว่าได้ปลดล็อกในสิ่งที่เราได้คิด ได้วางแผนไว้ด้วยกัน เราอยากจะไป อยากจะไปเที่ยว เป็นการเที่ยวที่วางแผนไว้ครั้งสุดท้ายในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่”

เดือนกุมภาพันธ์ ช่วงเวลาที่คิดถึงเป็นพิเศษ

“แรกๆ เลยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรกับห้องนอน มันจะเหมือนเดิมทุกอย่าง ทุกวัน นอนฝั่งไหนฝั่งนั้น ตื่นมาลืมตานอนมันก็ต้องเห็น แต่พอมันไม่เป็นแบบนั้นในช่วงเวลาแรกๆ มันยังรู้สึก ยังหันหาอยู่ เวลาที่สะลึมสะลือนะ เวลาที่ยังไม่ตื่นแบบเฟรชแล้ว มันยังรู้สึกงงๆ อยู่ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยน รีโนเวทข้างบนใหม่หมด เราก็ไม่อยากลืมความทรงจำเหล่านั้นไปทั้งหมด เพียงแต่ว่าอยากอยู่ให้มันได้ ก็เลยเปลี่ยนแปลงหลายๆ มุม อย่างรูปนุ๊กก็ยังมีอยู่ทั้งบ้าน แล้วก็ยังเปลี่ยนดอกไม้ให้ทุกอาทิตย์ อะไรที่ผมทำแล้วมีความสุข ผมก็จะทำอย่างนั้น

“ตอนที่ตัดสินใจว่าจะรีโนเวทข้างบนใหม่ก็ตัดใจยากอยู่ ใช้เวลาหลายเดือนอยู่เหมือนกัน แต่บังเอิญว่าผมไปต่างประเทศก็เลยคิดว่า เอาวะ เอาช่วงเวลานี้ที่เราไม่อยู่ บอกช่างให้ทำ บอกแม่บ้านว่าจะเอาอะไรบ้าง วางแผนไว้หมด โดยที่เราไม่ได้เห็นการขนย้ายออก มันจะมีอะไรที่เราบอกว่าอย่าเพิ่งทิ้ง เราทำเพื่อให้เดินไปเจออะไรได้น้อยลง เพียงแต่ว่าเราจะเก็บเขามาอยู่ในความทรงจำมากกว่าการไปเห็นของแล้วรู้สึกถึง ผมอยากให้เก็บอยู่ในใจเพราะเราคิดถึงเองมากกว่า

“ถามว่ามีวันที่คิดถึงเป็นพิเศษไหม มีครับ อย่างช่วงนี้ของปีที่แล้วเป็นช่วงที่เราพากันไปอยู่โรงพยาบาล แทบจะไม่ได้ออกมาเลย เพราะว่าเดือนหน้าจะเป็นเดือนที่เขาเสีย เดือนนี้รูปในเฟซบุ๊กจะขึ้นมาเยอะมากว่าเราไปทำอะไรกันอยู่ที่ไหน วันนี้ฉายแสงนะ วันนี้นุ๊กปวดหัวมาก วันนี้นุ๊กทรมานมาก ผมจะจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ตลอด เพราะฉะนั้นช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุด ก่อนจะครบปีสิ่งเหล่านี้จะขึ้นมาเยอะ ทำให้มันเหมือนจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง”

สู้ไปด้วยกัน ไม่ต้องกังวลอะไรนะ

“ช่วงที่เขาไม่สบายแล้วเราต้องดูแลเขามันก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนที่เขารู้สึกกับเรา ตัวนุ๊กเองเขาจะเป็นคนที่ชอบดูแล แล้วเขาเป็นคนที่แสดงความรักเก่ง แสดงออกโดยธรรมชาติ เพราะฉะนั้นพอถึงตาที่เราจะต้องดูแลเขา เราก็เลยไม่เขินที่จะทำ เราก็ดูแลเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะพาไปห้องน้ำ หรือว่าในช่วงเวลาที่ทรมานสุดๆ ที่มันเกิดอาการเจ็บ ปวดหัว เจ็บนู่นเจ็บนี่ เริ่มมีความกังวล เราก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองโดยที่เขาไม่ต้องแจ้ง มันจะเหมือนมีการถ่ายทอดซึ่งกันและกันว่าถ้าถึงเวลานี้ เราจะเห็นภาพโดยภายนอกว่ามีอะไรเกิดขึ้น มันเลยทำให้ผมไม่รู้สึกอะไรกับการที่ต้องดูแลเขา เพราะเขาทำให้ผมเห็นก่อนว่าเขาดูแลเราขนาดไหน

“ระหว่างทางที่ดูแลกันไม่เคยรู้สึกท้อเลย แต่จะรู้สึกสงสารตลอดเวลา สงสารเวลาที่เขาต้องเจ็บ ถ้าเป็นเรา เราคงทนไม่ได้ หรือแม้กระทั่งที่ต้องใส่ออกซิเจนช่วยหายใจเพราะหายใจเองไม่ได้ เดินไม่ได้ มันจะมีช่วงเวลานี้ที่รู้สึกทรมาน ทรมานแทนเขาและทรมานที่เราต้องเห็นภาพนั้นด้วย ช่วงเวลาเหล่านี้คือช่วงเวลาที่แย่ที่สุด ช่วงเวลาที่รักษาอย่างช่วงคีโม คีโมแล้วก็กลับบ้าน ก็แฮปปี้เหมือนเดิม กลับบ้านมาก็ชวนกันไปหาอะไรกิน

“แต่เขาจะไม่ค่อยบอกอาการว่าเป็นอะไร เวลาไปหาหมอ หมอแจ้งอะไรมา ก็แทบจะบอกไม่หมด ผมต้องไปถามหมอเอง คิดว่าที่เขาบอกไม่หมดเพราะเขาไม่อยากให้กังวล เขาพยายามที่จะบอกตัวเองว่าเขาไหว เขาสู้ไหว เขาไม่เป็นไรหรอก เขารู้สึกว่ามันต้องดีขึ้น

“แม้แต่ตอนที่เขาป่วย ถ้าใครเจ็บไข้ได้ป่วยโรคนี้แล้วมาปรึกษาเขา เขาก็จะเป็นคนให้กำลังใจคน ให้คำปรึกษา เขาจะดีใจมากถ้าใครมาปรึกษา เพราะรู้สึกว่าเหมือนยังมีประโยชน์กว่าตอนไม่ป่วยอีก เขาจะรู้สึกแฮปปี้มากกับการที่ป่วยและยังมีประโยชน์อยู่ เพราะว่าบางมุมเขาก็บอกว่าสงสารพี่จังเลย ต้องทำงานคนเดียว หนูทำงานไม่ได้ ก็บอกเขาว่าในระยะนี้เราก็ทำงานไม่ได้ทั้งคู่ เพราะว่าเป็นช่วงโควิด

“แต่ช่วงนั้นขนาดเขาอยู่บนเตียง เขาก็พยายามที่จะหางาน หางานเข้าบริษัท อย่างหาสปอนเซอร์ ตอนนั้นผมทำรายการ Rockstar Café Live มันก็จะมีถ่ายคลิป ทำไลฟ์ นุ๊กก็จะเป็นคนหาสปอนเซอร์เข้ามา บอกเขาว่าเพลงแปลงจะฮิตนะ จะเป็นเพลงลักษณะนี้นะ สนใจไหม มันเหมาะกับสินค้าคุณนะ เขาก็จะเป็นคนโทรไปคุย โดยลักษณะนิสัยผมจะไม่เป็นคนเจาะอะไรแบบนั้น นุ๊กจะเป็นคนที่บอกว่า หนูว่านะ สินค้านี้เขาน่าจะโอเค ผมก็จะบอกว่า เฮ้ย เราไม่รู้จักเขา เขาจะโอเคกับเราได้ยังไง แต่พอโทรไปหาเขา ก็สำเร็จได้ทุกที เขาจะเป็นคนที่ค่อนข้างมีหัวครีเอทีฟด้วย หัวการค้าด้วย

“ยิ่งตอนไม่สบาย ถ้าเกิดเขาไม่ได้ช่วย เขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ เขาจะเสียใจเข้าไปอีกว่า ทั้งป่วย ทั้งไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วพี่ต้องนั่งทำงานคนเดียว แล้วตลอดระยะเวลาที่ต้องรักษามีค่าใช้จ่ายล้วนๆ เขาก็จะยิ่งรู้สึกเกรงใจ รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ เราก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นหนูทำอันนี้ได้ก็ให้ทำ ถ่ายคลิปเพลงแปลงก็ให้เขาเป็นคนตัดต่อ ก็นอนทำบนเตียงไป เหนื่อยก็หลับ ให้เขารู้สึกว่านี่คืองานฉัน ฉันได้ทำงานด้วย

“เราบอกเขาว่า เราก็สู้ไปด้วยกัน ไม่ต้องกังวลอะไรใดๆ เลย ยังไงก็จะอยู่ข้างๆ กันไปอย่างนี้ ถ้าเจ็บอะไรให้บอก ถ้าไม่ไหว ขอให้แจ้งว่าไม่ไหว เพราะไม่อย่างนั้นเราจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจะเก็บไว้ของเขาคนเดียวไม่ได้ อยากให้ได้เหมือนกับป่วยไปด้วยกัน หลังๆ มาเขาก็จะรีบแจ้ง รีบบอก จะไม่ฝืนว่าฉันไหว เพราะอาการพวกนี้ถ้าฝืนแล้วมันจะเฉียบพลัน ให้ฝืนไม่ได้

“ช่วงที่ดูแลเขา เวลาผมมองนุ๊กแล้วผมไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องให้กำลังใจตัวเองเลย สิ่งที่เป็นไปในแต่ละวันๆ มันไม่มีเวลาที่จะให้กำลังใจตัวเองเลย มันจะมีแต่เวลาที่คอยเป็นห่วง คอยให้กำลังใจเขามากกว่า เพราะฉะนั้นถ้าใครถามว่าในช่วงเวลานั้นให้กำลังใจตัวเองยังไง มันไม่มีเวลานั้นเลย เพราะว่าเรามีแต่ความห่วงใยเขาในทุกวันๆ แล้วก็ต้องสังเกตทั้งสีหน้า ทั้งสายตา สังเกตแม้กระทั่งว่าช่วงนี้ทานได้เยอะไหม ยังมีแรงอยู่ไหม หายใจเป็นยังไง มันมีเรื่องราวที่ต้องสังเกต 24 ชั่วโมง มันไม่มีเวลาให้ให้กำลังใจตัวเองแน่นอน”

การแสดงออกเรื่องความรัก…สิ่งสำคัญที่ส่งมอบไว้

“เขาเป็นคนชอบแสดงความรักมาก เอาจริงๆ ช่วงแรกผมก็เขิน อย่างเวลาอยู่ต่อหน้าแม่ ต่อหน้าพี่ชาย ผมก็จะ เฮ้ย อะไร อย่าดิ เขิน แต่พอหลังๆ เราชินแล้ว ผมก็ทำกลับบ้าง จนกลายเป็นที่บ้านก็ชินกัน แล้วเขาเองก็จะแสดงความรักกับแม่ผมเหมือนเป็นลูกคนหนึ่ง จนแม่ก็รู้สึกเหมือนเขาเป็นลูกคนหนึ่ง แล้วก็รักเขาเหมือนลูก

“ตอนที่เขายังอยู่ ครอบครัวผมคุยกับนุ๊กมากกว่าคุยกับผมอีก เขากลายเป็นเหมือนสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวเลย แล้วมันทำให้ครอบครัวนี้ ไม่ใช่ผมคนเดียวนะ ทั้งครอบครัวได้กอดกัน หอมแก้มกัน เป็นเรื่องธรรมดา ณ ปัจจุบัน

“ช่วงที่อยู่โรงพยาบาล เขาก็ยังเหมือนเดิมครับ เวลาที่หมอจะมา คือเขาต้องเจาะเลือดไปตรวจทุกวัน วันละเยอะอยู่ ช่วงเจาะเลือดมันไม่มีพื้นที่แล้ว เพราะเส้นเลือดเปราะหมดแล้ว ก็ต้องไปเจาะที่ขาหรือที่อื่นแทน เขาก็จะเรียกผมตลอด ต่อให้หลับอยู่ก็จะขอจับมือ ขอกำลังใจ แต่ตอนอยู่โรงพยาบาลผมก็ไม่ค่อยได้หลับอยู่แล้วเพราะว่ามันจะมีการเข้ามาเช็กดูตลอดทุกๆ ชั่วโมง ก็ขอกำลังใจ

“อย่างในช่วงนี้ที่เป็นวันวาเลนไทน์ เราก็จะไม่แจ้งอะไรเขาเลย แต่เราไปแอบสั่งดอกไม้มา แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวพี่ไปเซเว่นแป๊บเดียว แล้วเดินลงไปเอาดอกไม้มาให้เขา เขาก็จะร้องไห้ ดีใจมากๆ มันเหมือนตัวเขายังเป็นคนแสดงออกไปในเรื่องราวของความรัก นุ๊กเป็นคนที่สอนให้ผมได้กล้าแสดงออกเรื่องความรัก ไม่ใช่กับแฟนเท่านั้น แต่กับแม่ กับพี่กับน้อง ซึ่งแต่ก่อนบ้านผมเป็นบ้านที่ค่อนข้างจะแข็งในเรื่องการแสดงออกเรื่องความรัก การบอกรัก การกอด การสัมผัสนี่แทบไม่มีเลย แต่นุ๊กเป็นคนสอนให้ผมได้เรียนรู้และรู้จักกับเรื่องพวกนี้และทำมันโดยง่าย โดยไม่เคอะไม่เขิน

ความรักที่ได้รักกันจนหมดลมหายใจ

“ตอนช่วงงานศพของเขา ผมก็ยังมีเพื่อนมานอนที่บ้านบ้าง แต่พอจบงานศพปุ๊บ ทุกอย่างเงียบ ผมอยู่บ้านคนเดียว อยู่กับหมา มันจะมีความรู้สึกว่าผมอยู่ตรงนี้ หมานอนตรงนี้ แต่เขาหายไป ข้าวของหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่เขาวางไว้ก็ยังเหมือนเดิม มันทำให้นึกถึงเขาตลอด

“ช่วงนั้นผมใช้วิธีหางานครับ พอช่วงเวลานั้นอยู่ในช่วงที่พอจะรับคอนเสิร์ตได้ ทำงานได้ ก็ทำงานค่อนข้างเยอะหน่อย แล้วก็เปลี่ยนแปลงบ้านทีละนิดๆ แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงที่จะเอาเขาออก เราเปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะเอาเขาเข้า เพียงแต่ของบางส่วนที่ไม่ได้ใช้จริงๆ ก็เอาออกไป ส่วนที่เปลี่ยนแปลงเพื่อเอาเข้าก็อย่างเช่นรูปครับ ปกติจะไม่มีรูปอะไรแบบนี้เลย อยู่ด้วยกันก็จะมีรูปด้วยเล็กๆ วางเป็นมุมๆ ไป แต่ตอนนี้เราก็ติดรูปเขาไว้เยอะขึ้น อย่างรูปใหญ่ที่ติดไว้ใกล้บันไดนี่ ทุกครั้งที่เราขึ้นนอนก็จะบอก ทุกครั้งที่เราออกจากบ้านก็จะลากัน

“ทุกวันนี้ผมมองว่าเราก้าวข้ามความสูญเสียได้ แต่ความคิดถึงยังคงอยู่ ยากที่จะเอาออกไป แล้วทั้งหมดทั้งมวลผมเชื่อว่าในชีวิตก็จะยังมีวูบที่คิดถึงอยู่ดี ต่อให้นานแค่ไหนก็แล้วแต่ ขนาดคุณพ่อผมท่านเสียไปตั้งนานแล้ว ก็ยังมีวูบที่คิดถึงคุณพ่ออยู่เหมือนกัน เหมือนกับว่ามันมีเรื่องราวที่ดี ผมกับนุ๊กก็เช่นกัน มันมีเรื่องราวดีๆ มากมาย 24 ชม. ใน 1 วันอาจจะมีเรื่องราวมากมาย  อาจจะเอาวันเหล่านั้นมาเฉลี่ยก็ได้ในช่วงเวลานี้

“การย้ายเขามาอยู่ในความทรงจำคือสิ่งที่ทำให้ก้าวข้ามความสูญเสียได้ คือถ้าจะตีโพยตีพายว่าทำไมมันต้องเกิดขึ้น ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา ผมจะคิดว่าทำไมมันต้องเกิดขึ้นกับเขามากกว่า เขาน่าจะเป็นคนที่มีชีวิตที่ยาวนานและมีความสุขได้มากกว่านี้ แต่ถ้าจะให้เขามีความสุข ณ วันที่เขาจากไปแล้วก็คือย้ายเขามาอยู่ในความทรงจำ แต่เป็นความทรงจำที่ดีมากกว่า ผมก็เลยคิดอย่างนี้ ผมเชื่อว่าถ้าเขาอยู่แถวนี้ น่าจะเห็นรอยยิ้มของเขาได้

“ส่วนความรักมันอยู่ในความคิดถึงอยู่แล้ว แล้วก็เรียกได้ว่า เรารักกันจนหมดลมหายใจจริงๆ อันนี้คือของแท้ นี่คือเพิ่งมาคิดได้ไม่กี่วันนี้เองว่า นี่คือความรักที่รักกันจนหมดลมหายใจของแท้ ไม่ใช่เพลงที่เขียนขึ้น เป็นเรื่องจริง เราก็เลยรู้สึกมีความสุขสิ่งที่เราได้ทำ สิ่งที่เราเคยมี กับความรักที่เราเคยมีซึ่งกันและกัน แล้วพอนึกถึงประโยคนี้เรายิ้มได้นะ เพราะแสดงว่าเรารักกันจริงๆ แล้วเราก็รักกันจนหมดลมหายใจจริงๆ มันไม่ใช่แค่คำพูด ไม่ใช่แค่สัญญา ถึงแม้ว่า ณ วันนี้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตาม”

เพราะความรักคือการดูแลซึ่งกันและกัน

“นิยามความรักเรียกว่าเป็นการดูแลซึ่งกันและกันมากกว่า การดูแล เอาใจใส่ น่าจะเป็นเรื่องพวกนี้มากกว่า ดูแลและเอาใจใส่ในทุกๆ เรื่อง แล้วจะเกิดความรักเอง ยิ่งรักก็จะยิ่งสังเกต แสดงว่าเราสองคนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หรือว่าเราสองคนมีเคมีที่ดีต่อกัน สมมติว่าถ้ายิ่งสังเกตแล้วยิ่งหงุดหงิด แสดงว่าเคมีไม่ตรงกันแล้ว บ๊ายบายดีกว่า เพราะมีหลายแบบนะความรักที่เกิดจากการสังเกต อย่างสังเกตไปเรื่อยๆ แล้วคนนี้ดีกับเรา อันนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ ความรักก็อาจจะทอนลงไป แต่ถ้าสังเกตแล้วยิ่งรักมากขึ้น นั่นแสดงว่าความรักของเราน่าจะยืนยาว

“ถ้าถามว่าตอนที่ยังอยู่ด้วยกันเรียกว่ารักแท้ไหม จริงๆ เราก็ไม่รู้หรอก แต่ว่าเราอยู่ด้วยกันเรื่อยๆ แล้วจะรู้สึกว่ารักกัน จริงๆ ตอนที่มีความสุขเราอาจจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำ เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างสม่ำเสมอว่าอันนี้คือความสุข อันนี้คือความรัก พอมีความทุกข์ขึ้นมานิดหนึ่ง มันมีความรักที่อยู่ในความทุกข์ได้ อันนั้นน่าจะทำให้มองภาพชัดของความรักที่คนสองคนมีได้มากกว่าตอนที่มีความสุข เพราะความสุขมันมีแต่ความสนุกสนานมาบดบังอะไรที่เป็นเรื่องราวความรัก หรือว่ามันอาจจะทำเสียจนเราเคยชินกับมันจนไม่ได้รู้สึกเซอร์ไพรส์กับมัน

“สิ่งสำคัญที่เขาเปลี่ยนแปลงผมก็คือการแสดงออกในครั้งนั้นของเขา ที่เขาปฏิบัติกับเขา กับครอบครัวเรา มันทำให้ตกมาถึงเรา เราอยู่กับครอบครัว ครอบครัวนี้เปลี่ยนไปตรงที่มีอะไรก็สุมหัวกันมากขึ้น สัมผัสกันมากขึ้น รักกันมากขึ้น พูดคุยในทุกๆ เรื่อง อย่างกับแม่ ผมก็จะสนิทสนมกับแม่มากขึ้น พาแม่ไปเที่ยวมากขึ้น เพราะแม่ก็อายุเยอะแล้ว เพราะตอนนี้ก็แข็งแรงอยู่ แต่เราไม่รู้หรอกว่า ณ เวลาที่อยู่ด้วยตลอดเวลา อาจจะสังเกตไม่เห็นก็ได้ว่า แม่ก็ชราภาพลง ก็จะไม่ปล่อยโอกาสให้แม่ห่างจากเราไป และจะไม่ละสายตาจากการดูแล

“จริงๆ ที่ผ่านมาผมโตพอกับความรักทุกๆ ครั้ง แต่ไม่โตพอที่จะเรียกว่า โตพอในเรื่องราวของความรักมากกว่า เหมือนยังใช้ความรักแบบไม่ถูก มันเหมือนว่ามีความรักก็คือมีแฟน แต่ ณ ปัจจุบันนี้ถ้าผมจะมีความรักอีกครั้งหนึ่งตอนนี้ ผมจะเรียกได้ว่า โตพอที่จะรักแล้ว ก่อนหน้าที่จะเจอนุ๊ก ยังเหมือนเป็นความรักวัยรุ่น ยังไม่แข็งแรงพอที่จะดูแลใคร ยังไม่แข็งแรงพอที่จะปกป้องหรือประคับประคองใคร ให้เขาอยู่กับเราและมีความสุขได้

“แต่ ณ วันนี้ผมเชื่อว่า ถ้าจะมีความรักครั้งต่อไป คนที่เข้ามาถือว่าโชคดีมาก เพราะนุ๊กกล่อมเกลาผมไว้ดีแล้ว ว่าถ้าจะมีความรักคุณต้องดูแลเขานะ คุณต้องสังเกตเขานะ ต้องเป็นธรรมชาติกับเขา สอนเรื่องการแสดงความรักหรือความละเอียดอ่อนในการใช้คำพูด ในการสัมผัส อย่างสิ่งที่ทุกวันนี้ผมทำกับคุณแม่ ผมว่าเหล่านั้นคือสิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้แล้วผมก็แฮปปี้กับมันมาก”


Writer

Avatar photo

พนิชา อิ่มสมบูรณ์

นักเขียนที่ชอบบอกทุกคนอย่างภูมิใจว่าเคยเป็นครูอนุบาลและยังชอบเล่นกับเด็กๆ อยู่ แต่ชอบคุยกับคนทุกวัยผ่านงานสัมภาษณ์ ส่วนชีวิตอีกด้านเป็นโอตาคุกีฬาโอลิมปิกและการ์ตูนญี่ปุ่น

Photographer

Avatar photo

ฉัตรมงคล รักราช

ช่างภาพ และนักหัดเขียน

Illustrator

Avatar photo

พรภวิษย์ เพ็งเอียด

ชอบกินเนื้อต้มและตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือให้ได้ปีละสามเล่ม

Related Posts