“กลางห้องที่โปร่งใส ท้ายห้องที่ถูกตัดสิน”: ต้องยืนอยู่แถวไหน…ถึงจะมีโอกาสได้ถูกเชิญขึ้นเวทีโรงเรียน?

ชุดบทความ เด็กทุกคนควรได้เติบโต ไม่ใช่แค่ถูกจัดอันดับ ตอนที่ 2/5

เคยส่งการบ้านตรงเวลาแต่ไม่เคยได้ยินชื่อถูกเรียกบ้างไหม?
เคยทำได้ดี แต่ไม่มากพอจะถูกปรบมือให้ยืนขึ้นข้างหน้าไหม?
หรือเคยสงสัยไหมว่าทำไมในห้องเรียน มีเพียงบางคนที่ถูกเรียกชื่อซ้ำ ๆ ขณะที่ชื่อของคุณเลือนหายไป?

สำหรับเด็กจำนวนมากในโรงเรียนไทย ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ใช่ข้อสงสัยชั่วคราว บทเรียนแรกที่เด็กจำนวนมากได้รับ ไม่ได้มาจากหนังสือ แต่จากการค่อย ๆ ตระหนักว่าตัวเองกำลังหายไปจากสายตาของครู และแม้แต่สายตาของตัวเอง

งานวิจัยก็ยืนยันสิ่งนี้เช่นกัน งานของ Jackson & Bruegmann (2009) ที่พบว่า ครูมักทุ่มทรัพยากร เวลา และความใส่ใจไปที่เด็กหัวแถวและท้ายแถว ขณะที่เด็กกลางห้องกลับถูกละเลยเสมอ และนั่นทำให้ “ความโปร่งใส” ของพวกเขาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลผลิตตรง ๆ จากวัฒนธรรมที่เลือกให้ค่ากับปลายกราฟมากกว่ากลางกราฟเสมอ

ในห้องเรียนหนึ่ง เราอาจเห็นเด็กไม่กี่คนที่ยืนอยู่บนเวที รับเกียรติบัตร พร้อมเสียงปรบมือก้องกังวาน แต่ระหว่างเสียงนั้น มีเด็กอีกหลายสิบคนที่นั่งอยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครเอ่ยชื่อ ไม่มีรูปถ่าย ไม่มีโพสต์แชร์ บางคนพยายามยกมือ แต่ถูกมองข้าม บางคนทำการบ้านส่งตรงเวลา แต่ไม่เคยได้รับคำชม บางคนอาจเรียนรู้ช้ากว่า แต่ก็พยายามอยู่ทุกวัน เพียงแต่ความพยายามนั้นไม่เคยถูกนับเป็น “คุณค่า”

สำหรับเด็กท้ายห้อง เรื่องยิ่งหนักกว่านั้นไปอีก พวกเขาไม่เพียงถูกทำให้โปร่งใส แต่ยังถูกตีตราว่า “ช้าไป” “ไม่ทันเพื่อน” หรือ “ไม่มีอนาคต” เสียงเหล่านี้ค่อย ๆ กัดกร่อนจนพวกเขาเชื่อเองว่า ตัวเองไม่ควรอยู่ในเวทีใด ๆ ตั้งแต่ต้น

ห้องเรียนที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการลองผิดลองถูก แต่กลับกลายเป็นสนามแข่งขันที่คับแคบ มีเพียงไม่กี่คนที่ถูกยกขึ้นสู่สปอตไลต์ ส่วนคนอื่น ๆ ถูกจัดให้อยู่ในเงามืด ราวกับไม่มีตัวตน และนี่อาจเป็น “บทเรียนลึกที่สุด” ที่การศึกษาไทยมอบให้เด็กจำนวนมาก ว่าไม่ใช่ทุกชีวิตที่คู่ควรกับการถูกจดจำ

เด็กกลางห้อง: โปร่งใสจนไม่มีร่องรอยในความทรงจำ

พวกเขาไม่ใช่เด็กที่ครูเรียกไปดุหน้าชั้นเวลาไม่ทำการบ้าน ไม่ใช่ดาวเด่นที่ถูกเอ่ยชื่อขึ้นเวทีรับเกียรติบัตร แต่คือเด็กที่นั่งอยู่กลางห้อง ทำการบ้านส่งตรงเวลา พยายามตอบบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่เคยดังพอจะทำให้ห้องหันมามอง

และความจริงคือ ‘ความปกติของพวกเขา’ ทำให้พวกเขา “โปร่งใส” จนไม่เหลือร่องรอยในความทรงจำของใครเลย

เด็กกลางห้องคือกลุ่มที่ถูกสังคมเชื่อว่า “ไม่ต้องห่วง เขาอยู่ได้” แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นคือ ความเงียบนี้บ่มเพาะความรู้สึกว่า “การมีอยู่ของฉัน ไม่ได้สำคัญพอจะให้ใครหันมามอง”

งานวิจัยของ Jackson & Bruegmann (2009) เคยชี้ให้เห็นว่า ครูส่วนใหญ่มักทุ่มทรัพยากรให้กับเด็กหัวแถวและท้ายแถว ขณะที่เด็กตรงกลางกลับถูกปล่อยไว้ข้าง ๆ อย่างเงียบงัน ผลคือ เด็กกลุ่มนี้ไม่ได้รับทั้งแรงส่งเสริมหรือแรงประคอง กลายเป็น Invisible Middle คนที่ไม่เคยถูกเฉลิมฉลอง และไม่เคยได้รับความช่วยเหลือ

Invisible Middle ไม่ใช่คนไม่มีศักยภาพ แต่การถูกทำให้โปร่งใสซ้ำ ๆ ทำให้พวกเขาไม่กล้าลอง ไม่กล้าออกเสียง ไม่กล้าทำอะไรที่เสี่ยงจะถูกมองเห็น เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น ความเชื่อเล็ก ๆ นี้อาจกลายเป็นเสียงที่คอยกดพวกเขาในห้องประชุม ไม่กล้ายกมือเสนอความคิดเห็น ไม่กล้าขอความช่วยเหลือเวลาเจอปัญหา และไม่มั่นใจว่าความพยายามของตัวเองมีความหมาย เพราะความเงียบดูปลอดภัยกว่า 

สิ่งที่อันตรายไม่ใช่ว่าเด็กกลางห้อง “อยู่ไม่ได้” แต่คือพวกเขา “อยู่ไปเรื่อย ๆ” แบบไม่มีใครสนใจ จนค่อย ๆ เชื่อว่าตัวเองไม่มีอะไรพิเศษพอจะถูกหยิบยกขึ้นมาให้ค่า และเพราะไม่เคยถูกเรียกชื่อ ไม่เคยถูกชวนไปเวที ไม่เคยถูกบันทึกลงบนป้ายหรือเพจโรงเรียน บทเรียนที่เขาได้รับคือ “ความพยายามธรรมดา ไม่เคยมีที่ทางในเรื่องเล่าของสังคม”

นี่คือการสูญเสียเงียบ ๆ ที่ประเทศมองไม่เห็น เพราะเราอาจสูญเสียคนที่สามารถก้าวไปได้ไกลกว่านี้ เพียงเพราะไม่มีใคร “ลงทุน” ในพวกเขาเลย

เด็กท้ายห้อง: ถูกมองเห็นเสมอ แต่ในฐานะที่ถูกตัดสิน

ถ้าเด็กกลางห้องคือเงาที่ไม่มีใครมอง เด็กท้ายห้องก็คือเงาที่ถูก spotlight จับอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่ใช่เพื่อชื่นชม หากเพื่อชี้นิ้วว่า “นี่คือปัญหา”

เด็กท้ายห้องมักเป็นชื่อที่ครูเรียกบ่อยที่สุด แต่ไม่ใช่ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น หากเป็นเสียงตำหนิที่ว่า “อยู่นิ่ง ๆ หน่อย” “ทำไมไม่ทันเพื่อน” หรือ “อยากจะเรียนบ้างไหม?” พวกเขามีที่ทางในห้องเรียน แต่เป็นที่ทางในฐานะ “ตัวอย่าง” ของสิ่งที่ไม่ควรเป็น

และยิ่งถูกตีตรามากขึ้นเท่าไหร่ พวกเขายิ่งเชื่อมันจริง ๆ
เด็กบางคนเริ่มไม่ยกมือถาม แม้ไม่เข้าใจ เพราะกลัวถูกหัวเราะ
บางคนหยุดพยายาม เพราะพยายามทีไรก็เจอคำว่า “ไม่พัฒนาเลย”
บางคนหันไปสร้างคุณค่าในสนามอื่น เช่น เล่นตลกเสียงดังในห้อง พูดสวนครู เพียงเพื่อให้รู้สึกว่าอย่างน้อยตัวเองยัง “มีอยู่” ในสายตาของครู

งานวิจัยด้านจิตวิทยาการศึกษาเรียกสิ่งนี้ว่า self-fulfilling prophecy (Rosenthal & Jacobson, 1968) เมื่อครูหรือระบบเชื่อว่าเด็กบางคน “อ่อน” เด็กคนนั้นก็จะค่อย ๆ แสดงผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับป้ายที่ถูกติดไว้ เพราะแรงกดดันและการขาดความคาดหวังเชิงบวก

เด็กท้ายห้องจึงโตมากับ “การมองเห็นที่เจ็บปวด” พวกเขามีชื่อ มีเสียง มีพื้นที่ แต่ทั้งหมดผูกติดกับป้ายลบที่ระบบมอบให้ ความเชื่อนี้กัดกร่อนจนพวกเขาคิดว่า “ฉันไม่คู่ควรกับเวทีใด ๆ ตั้งแต่แรก”

และเมื่อวาง “เด็กกลางห้อง” ที่โปร่งใสคู่กับ “เด็กท้ายห้อง” ที่ถูกตัดสิน มันทำให้เรามองเห็นภาพเดียวกันชัดเจนขึ้น คนหนึ่งหายไปจากสายตาเพราะธรรมดาเกินไป อีกคนถูกมองเห็นเสมอ แต่ในฐานะปัญหา ทั้งสองต่างไม่ได้ถูกลงทุน ไม่ได้รับพื้นที่จริงในการเติบโต และสุดท้ายต่างก็เรียนรู้บทเรียนเดียวกัน ว่าคุณค่าของพวกเขาไม่ได้อยู่ในสายตาของห้องเรียนนี้เลย

และนั่นคือเด็กจำนวน กว่า 90% ของห้องเรียนไทย

เด็กหัวแถว: แหล่งกำเนิดของ “ความเปราะบางที่สวมมงกุฎ”

ในทุกห้องเรียน มีเด็กเพียงไม่กี่คนที่ถูกยกขึ้นสู่แถวหน้า คนที่ถูกเรียกชื่อซ้ำ ๆ บนเวที รับเกียรติบัตรจากมือครู และถูกยกให้เป็น “ตัวอย่างของความสำเร็จ” เด็กเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นผู้ชนะในระบบ แต่ความจริงแล้วพวกเขาเองก็มักถูกกักขังอยู่ในความเปราะบางอีกแบบหนึ่ง ความเปราะบางของการต้อง “สมบูรณ์แบบตลอดเวลา”

เด็กหัวแถวคือผลผลิตของวัฒนธรรมที่หล่อเลี้ยงด้วยคำชม แต่คำชมเหล่านั้นมักมีเงื่อนไขซ่อนอยู่เสมอ ว่าคุณค่าของเขาจะอยู่ได้ต่อเมื่อยัง “รักษามาตรฐานเดิม” เอาไว้ได้ พลาดไม่ได้ แพ้ไม่ได้ ผิดไม่ได้ เพราะทันทีที่คะแนนตก หรือเสียงปรบมือเบาลง พวกเขาจะถูกกลืนลงมาจากยอดกราฟโดยไม่มีใครบอกวิธีรับมือ

การเติบโตในพื้นที่ที่ถูกสปอตไลท์ส่องตลอดเวลา ทำให้เด็กกลุ่มนี้เรียนรู้เร็วว่า “ฉันจะเป็นที่รักได้ก็ต่อเมื่อยังเก่งอยู่” ความรักจึงถูกตีราคาเป็นเกรด และความภูมิใจในตัวเองผูกติดอยู่กับการเปรียบเทียบ เมื่อระบบสอนให้พวกเขาแข่งขันกับเพื่อนทุกคน เด็กหัวแถวจำนวนไม่น้อยโตมากับความกลัวลึก ๆ ว่าจะถูกแทนที่

ในระยะยาว ความกลัวนี้กลายเป็นเสียงในใจที่กัดกร่อนความมั่นคงภายใน เสียงที่กระซิบว่า “ฉันดีพอหรือยัง?” พวกเขาอาจกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดูมั่นใจแต่เปราะบาง ต้องทำงานหนักเกินจำเป็นเพียงเพื่อรักษาภาพ “คนเก่ง” เอาไว้ หรือไม่กล้าลองสิ่งใหม่ ๆ เพราะกลัวความผิดพลาดจะทำลายภาพลักษณ์ที่สร้างมาทั้งชีวิต

เด็กหัวแถวจึงไม่ได้มีเพียง “สิทธิพิเศษ” แต่ยังแบกรับ “แรงกดดัน” ที่ไม่มีใครสอนให้จัดการ ในระบบที่ให้ค่ากับปลายกราฟมากกว่ากระบวนการของการเติบโต เด็กกลุ่มนี้ถูกสอนให้ “ยืนให้ได้” มากกว่าสอนให้ “เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงยืนอยู่ตรงนั้น”

ระบบที่บังคับให้ครูต้องเลือกปฏิบัติ

ครูจำนวนมากไม่ได้อยากเห็นใครหายไปจากห้องเรียน ไม่ได้อยากให้เด็กกลางห้องโปร่งใสจนไร้ร่องรอย หรือให้เด็กท้ายห้องถูกตีตราว่า “ไม่ทันเพื่อน” แต่พวกเขาถูกระบบบังคับให้ต้องเลือกอยู่ตลอดเวลา  จะทุ่มแรงไปกับเด็กหัวแถวที่โรงเรียนสามารถนำไปอวดเป็นความสำเร็จ หรือจะหันไปช่วยเด็กท้ายห้องไม่ให้ตกหล่นออกจากเส้นทางการศึกษา?

เมื่อการศึกษาไทยยังผูกคุณภาพเข้ากับคะแนนสอบและถ้วยรางวัล แสงไฟจึงถูกปรับให้ส่องเพียงสองจุดสุดโต่งเท่านั้น เด็กหัวแถวคือใบหน้าของความภาคภูมิใจ ส่วนเด็กท้ายห้องคือ “ภาระ” ที่ครูต้องเร่งแก้ให้ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ ขณะที่เด็กกลางห้องซึ่งเป็น “แกนหลัก” ของห้องเรียน ถูกปล่อยไว้ในความเงียบ เพราะระบบไม่เคยมีพื้นที่สำหรับการพัฒนาแบบค่อย ๆ เติบโต

นี่ไม่ใช่ความผิดของครูคนใด แต่คือผลพวงจากโครงสร้างที่ผูกอนาคตโรงเรียนกับตัวเลข และโครงสร้างนั้นเองที่บังคับให้ครูต้องจัดลำดับคุณค่าเด็กตามความเป็นไปได้ที่จะ “ขายได้” ในตลาดการศึกษา  เด็กหัวแถวถูกมองว่ามีผลตอบแทนทางการลงทุนสูง ลงทุนแล้วเห็นผลลัพธ์เร็ว เด็กท้ายห้องอยังมีเหตุผลให้อธิบายว่าครูไม่ได้ทอดทิ้ง ส่วนเด็กกลาง ๆไม่มีทั้งโอกาสสร้างชื่อเสียงและไม่มีความเสี่ยงจะกลายเป็นสถิติที่น่าอับอาย จึงถูกทำให้หายไปจากสายตาอย่างเป็นระบบ

คำถามก็คือ เราจะยอมให้ห้องเรียนเป็นพื้นที่ที่แสงไฟส่องเพียงปลายสุดสองด้านเท่านั้นหรือ? เด็กหัวแถวที่ได้ขึ้นเวที กับเด็กท้ายห้องที่ถูกเรียกแก้ไข ส่วนเด็กอีกมากมายตรงกลางกลับกลายเป็นเพียงเงาเลือน ๆ ที่ไม่มีใครหันไปมอง จริงหรือที่คุณภาพการศึกษา หมายถึงเพียงการเลือกไม่กี่คนมาเฉลิมฉลอง แล้วปล่อยให้การเติบโตของคนส่วนใหญ่ค่อย ๆ หายไปอย่างเงียบงัน?

ถ้าเรากล้าคิดใหม่ การศึกษาไม่จำเป็นต้องทำงานด้วยเลนส์ที่เลือก “ยอดกราฟ” เท่านั้น แต่สามารถออกแบบให้เด็กทุกคนก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันได้  ไม่ว่าเขาจะเริ่มจากตรงไหน จะขึ้นสองก้าวหรือห้าก้าว ก็ยังคือการเติบโตที่แท้จริง เมื่อห้องเรียนไม่ถูกบังคับให้เลือกทุ่มเฉพาะคนเก่งหรือคนที่มีปัญหา ครูเองก็จะมีอิสระมากพอที่จะเห็นศักยภาพในทุกแววตา เด็กทุกคนจะไม่ใช่เพียงเงา แต่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นโค้งที่ค่อย ๆ ยกขึ้นทั้งเส้น

นี่แหละคือหัวใจของ คุณภาพของการศึกษา ที่เราอยากเห็น ไม่ได้วัดจากจำนวนถ้วยรางวัล แต่จากการที่เด็กทุกคนได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเป็นธรรม และไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ห้องเรียนที่ครูไม่ต้องเลือกใคร แต่ทุกคนโตไปด้วยกัน : แนวคิด Shift the Curve

ถ้าห้องเรียนยังถูกวัดคุณค่าด้วยเด็กไม่กี่คนที่ได้ขึ้นเวที ครูก็จะต้องถูกบังคับให้ “เลือก” อยู่ตลอดเวลา จะทุ่มเวลาให้หัวแถวเพื่อสร้างชื่อเสียง หรือจะดึงท้ายห้องไม่ให้ตกหล่น ขณะที่เด็กตรงกลางยังคงเงียบ โปร่งใส และค่อย ๆ หายไปจากสายตา แต่หากเราขยับไปใช้แนวคิด Shift the Curve ภาพนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เพราะในห้องเรียนแบบนี้ ครูไม่จำเป็นต้องหันสปอตไลต์ไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่จะมีแสงเล็ก ๆ กระจายไปทั่วห้อง ให้เด็กทุกคนได้ก้าวข้ามจุดเดิมของตัวเอง อย่างน้อยหนึ่งก้าวเสมอ คนที่อ่านไม่ออกก็ได้เริ่มสะกดทีละคำ คนที่ไม่กล้าพูดก็ได้ลองยกมือสักครั้ง คนที่วิ่งไม่ทันเพื่อนก็ยังมีโอกาสวิ่งได้ไกลกว่าที่ตัวเองเคยทำ

การ Shift the Curve จึงไม่ใช่การสร้าง “สุดยอดเด็กเก่ง” แต่คือการสร้าง “ระบบที่ทำให้ทุกคนดีขึ้น” เมื่อทุกคนก้าวหน้าไปพร้อมกัน ทั้งเส้นโค้งจะค่อย ๆ ยกขึ้น และนั่นต่างหากคือสิ่งที่ทำให้คุณภาพของห้องเรียน และประเทศก็จะเติบโตได้อย่างแท้จริงด้วยพลเมืองอันเป็นทรัพยากรสูงสุดของประเทศนั้นๆ เอง

อ้างอิง 

Bourdieu, P. (1984). Distinction: A Social Critique of the Judgement of Taste. Harvard University Press.

Stevenson, H., & Baker, D. P. (1991). State Control of the Curriculum and Classroom Instruction. Sociology of Education.


Writer

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts