เพราะคนที่สอนเราเรื่องประชาธิปไตยไม่เคยเรียนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
การเติบโตอย่างไม่ตั้งคำถาม เรียนก็ท่องจำแต่ไม่เข้าใจ สอบเสร็จก็ลืม ก้าวสู่โลกการทำงานด้วยการใช้ชีวิตไปวันๆ พร้อมปลอบใจตัวเองว่า ได้เท่านี้ก็ดีแล้ว
แต่จริงๆ แล้ว มันอาจมีทางที่เราจะเติบโตได้มากกว่านี้ เก่งกว่านี้ และมีชีวิตที่ดีกว่านี้
“นี่เรากำลังอยู่ในประเทศแบบไหนกันนะ” กลายเป็นคำถามที่ไร้คำตอบ ไม่ใช่เพราะไม่รู้ แต่ไม่มีใครกล้าตอบ
ทั้งหมดนี้ เพราะเรามี “ทั่นผู้นำ” ที่ทำให้คนตัวเล็กอย่างเราต้องทำตามและทำตามอย่างไม่มีข้อกังขา บางการกระทำก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เพราะเขาตัวใหญ่กว่า มีอำนาจมากกว่า และอยู่สูงกว่า
แล้วตอบเราว่า นี่แหละประชาธิปไตยที่มีท่านผู้นำเป็นคนนิยาม
mappa ชวนดูคำพูดของท่านผู้นำที่บอกว่าประชาธิปไตยมีอยู่จริงในแผ่นดินที่ประชาชนอย่างเราจะไม่ลืม…
วลาดิเมียร์ ปูติน (Vladimir Vladimirovich Putin)
ในการประชุมนโยบายความมั่นคงครั้งที่ 43 ที่มิวนิกประเทศเยอรมนี วลาดิเมียร์ ปูติน (Vladimir Putin) ผู้นำของประเทศรัสเซียกล่าวหาสหรัฐอเมริกาว่า เป็นต้นเหตุให้โลกเป็นสถานที่ที่อันตราย
จุดเริ่มต้นมาจากการที่ปูตินเปิดฉากโจมตีแนวคิด “unipolar” หรือภาวะสนับสนุนการไม่มีสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจที่สหรัฐอเมริกากำลังพยายามสนับสนุนและผลักดันในช่วงเวลานั้น
“ต่อให้เราพยายามแต่งคำให้สวยหรูมากเพียงใด แต่นี่ก็ยังหมายถึงศูนย์อำนาจ พลังอำนาจอย่างเดียว และผู้นำอำนาจเพียงคนเดียว” ปูตินเล่า
“มันไม่เหมือนกับประชาธิปไตย เพราะเป็นการนำความคิดส่วนใหญ่มาใส่ให้ความคิดของคนกลุ่มน้อย” เขาบอกต่อหน้ากรรมการนโยบายความมั่นคงระดับสูง
“คนเรามักจะสอนเรื่องประชาธิปไตย แต่คนที่สอนเราเรื่องประชาธิปไตยไม่เคยเรียนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
มูอัมมาร์ กัดดาฟี (Muammar Al-Qadhdhāfī)
ไม่มีประเทศไหนในโลกใบนี้ที่มีประชาธิปไตยยกเว้นลิเบีย
ประโยคของมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำประเทศของลิเบียที่ขนานนามว่า “สุนัขบ้าแห่งตะวันออกกลาง” ถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยโคลัมเบียเพื่อหาเสียง
ขณะเดียวกัน กัดดาฟี คือ ท่านผู้นำที่สอนให้ประชาชนจัดตั้งสภาปกครองตัวเอง แต่ไม่ได้มอบอำนาจให้ รวมอำนาจไว้เพียงคนเดียว
ก่อนที่จะหมดยุครุ่งเรืองของกัดดาฟีจากการเรียกร้องของประชาชนนับแสนที่เรารู้จักในนาม “Arab Spring เมื่อต้นปี 2011 จนทำให้ผู้นำคนนี้ไม่พอใจปราบปรามด้วยความรุนแรงส่งผลใหห้สหประชาชาติเริ่มปฏิบัติทางอากาศ
ทำให้การปกครองระบบกัดดาฟีล่มสลายหลังปกครองมายาวนานกว่า 42 ปี
คิม จอง อิล (Kim Jong-il)
“การปกป้องชาติคือหน้าที่ของเด็กและทุกคน”
เจ้าของประโยคนี้ คือ คิมจองอิล ตัวแทนท่านผู้นำของเกาหลีเหนือที่ไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนว่าพูดในงานใด
คิมจองอิล คือ ผู้นำสูงสุดและเป็น “บิดาที่รักของประชาชน”
นั่นเพราะเขาสนใจเรื่องศิลปะและภาพยนตร์ คิมจองอิลเป็นเจ้าของสตูดิโอภาพยนตร์ก่อนที่จะเป็นผู้นำเสียอีก และภาพยนตร์ก็ค่อยๆ หล่อหลอมให้คนรักท่านผู้นำและค่านิยมสังคมตามนโยบายพึ่งพาตนเอง
นอกจากนี้ยังดำเนินการสร้างสัมพันธไมตรีกับต่างชาติ เพราะเมื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำ เศรษฐกิจตกต่ำ และเขาคือคนที่กอบกู้ให้เกาหลีเหนือกลับมายืนหนึ่งด้วยตัวเองอีกครั้ง
สุดท้าย ท่านผู้นำของประชาชนก็จากไปด้วยวัย 70 ปีจากปัญหาสุขภาพ ประชาชนห้ามหัวเราะ ห้ามจัดงานรื่นเริง 10 วัน
ส่งไม้ต่อให้คิมจองอึนลูกชายมาสานระบบที่เขาสร้างไว้จนถึงปัจจุบัน
เหมา เจ๋อตง (Mao Zedong)
นอกจากจะมีชื่อเสียงด้านการปกครอง เหมา เจ๋อตง อดีตประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังฝากคำสอนไว้ให้กับประชาชนจีนและชาวโลกอีกด้วย
ซึ่งหนึ่งในคำพูดที่มีชื่อเสียงของเหมา เจ๋อตง ก็คือ “คอมมิวนิสต์ทุกคนต้องยอมรับความจริงว่า อำนาจทางการเมืองงอกเงยจากกระบอกปืน”
ประโยคดังกล่าวปรากฎอยู่ใน Quotations from the Red Book เป็นหนังสือรวบรวมแถลงการณ์จากสุนทรพจน์และงานเขียนของเหมา เจ๋อตง ตีพิมพ์และเผยแพร่ช่วงปี 1964 – 1976
หนังสือเล่มดังกล่าวได้รับความนิยมสูงสุดช่วงยุคปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution) ที่เหมา เจ๋อตงต้องการปฏิวัติสังคมด้วยการลบวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนที่เขามองว่าเป็นสิ่งขัดขวางไม่ให้ประเทศพัฒนาต่อ สนับสนุนให้จัดตั้งกลุ่ม Red Guard หรือกลุ่มเยาวชนเป็นกำลังหลักในการปฏิวัติสังคม หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่เยาวชนทุกคนต้องอ่าน เพื่อแสดงความภักดีต่อท่านผู้นำ
การปฏิวัติสังคมทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างกลุ่มอนุรักษนิยมและสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ จนทำให้ประเทศจีนบอบช้ำยาวนานเป็นเวลา 10 ปี ก่อนจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน
โมบูตู เซเซ เซโก (Mobutu Sese Seko)
“ระบบพรรคการเมืองเดียวของซาอีร์เป็นรูปแบบประชาธิปไตยที่ซับซ้อนที่สุดแล้ว”
คำยืนยันจากประธานาธิบดีโมบูตู เซเซ เซโก (Mobutu Sese Seko) ที่ให้กับประชาชน ภายหลังเข้ายึดอำนาจปกครองคองโกจากทำการรัฐประหารในปี 1965
โมบูตูเปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นระบบบริหารที่มีแค่พรรคการเมืองเดียว ทำให้อำนาจทั้งหมดอยู่ในมือเขา รวมถึงเปลี่ยนชื่อประเทศจากคองโกเป็นซาอีร์
ตลอด 32 ปีที่โมบูตูบริหารประเทศมีอัตราการคอรัปชันที่สูง และเศรษฐกิจประเทศถดถอย เกิดภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ปี 1997 ประชาชนรวมตัวกันประท้วงและขับไล่โมบูตู จบยุคการปกครองประเทศคองโกภายใต้การนำของโมบูตู
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
7 ปีก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยเคยบอกว่า ประชาธิปไตยดีที่สุด
“ในการสอนในตำราปริญญาโทเขาเขียนไว้อยู่แล้วว่าทุกประเทศในโลก ประชาธิปไตยดีที่สุด แต่เมื่อใดที่ประชาธิปไตยมีความขัดแย้ง มีอำนาจแบบผมเท่านั้นล่ะถึงจะไปแก้ได้ จะบอกให้ ทั้งโลกเขาสรุปมาแล้ว”
เป็นคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีถึงประเด็นที่ปวิน ชัชวาลพงศ์ โพสต์เฟซบุ๊กกรณีจะไปประท้วงนายกรัฐมนตรีระหว่างไปประชุมที่ยูเอ็น ว่า ให้กลับไปทบทวนว่าปวืนทำผิดกฎหมายข้อใด และการโฆษณาให้คนเข้าร่วมต่อต้านตนเป็นเรื่องสนุกหรอ
และนายกรัฐมนตรีขอเวลากับทางสหประชาชาติว่า อย่าสนใจตนได้ไหม แม้จะยอมรับผิดครั้งเดียว แต่ผู้นำคนนี้ก็ยังทำถูกอีกพันอย่าง
“องคุลิมาลยังให้อภัยเลย แล้วผมไม่ใช่องคุลิมาลซะหน่อย ผมไม่ได้ตัดนิ้วใครถึงพันนิ้วซักหน่อย ผมตัดนิ้วร้ายไปนิ้วเดียว คิดแบบนี้สิ”
ผ่านมา 8 ปีที่นายกรัฐมนตรีขอเวลาอีกไม่นานเพื่อคืนความสุข แต่อยากชวนตั้งคำถามต่อว่า วันนี้ ตอนนี้ เรามีความสุขกันแล้วหรือยัง
อ้างอิง
https://www.reuters.com/article/us-russia-usa-idUSL1053774820070210
https://prachatai.com/journal/2015/09/61419
http://news.bbc.co.uk/2/hi/africa/4839670.stm
https://www.bbc.com/news/magazine-34932800
https://www.britannica.com/biography/Kim-Jong-Il
https://www.inspiringquotes.us/quotes/Z5bl_pn17lDhO
https://thestandard.co/podcast/8-minutes-history-ep3/
https://www.voathai.com/a/gadhafi-obit-ss-20oct11-132285958/9250
ttps://www.latimes.com/archives/la-xpm-1997-05-17-mn-59597-story.html