จากชุดบทความ : เลี้ยงลูก 2025 ในสังคมที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อพ่อแม่ ตอนที่ 5/5
ห้องตรวจ ห้องประชุม และทุกที่ที่แม่และพ่อถูกตั้งคำถาม
ที่โรงพยาบาล
นั่งในห้องตรวจของหมอเด็ก ลูกอายุ 6 เดือนแล้วแต่น้ำหนักไม่ขึ้น
“คุณแม่ให้นมลูกวันละกี่ครั้งคะ?”
“ลูกนอนกี่ชั่วโมงคะ?”
“พัฒนาการช้ากว่าวัยนิดหน่อยนะคะ ลองเพิ่มกิจกรรมกระตุ้นดูมั้ย”
ที่โรงเรียน
นั่งในห้องประชุมผู้ปกครอง ลูกป.1 ยังอ่านหนังสือไม่ได้
“เด็กที่บ้านอ่านหนังสือกันมั้ยคะ?”
“ผู้ปกครองช่วยทำการบ้านกับลูกยังไงบ้างคะ?”
“เราอยากให้เด็กทุกคนก้าวทันเพื่อน ต้องขอความร่วมมือผู้ปกครองค่ะ”
ที่คลินิกกิจกรรมบำบัด
นั่งฟังครูบำบัดอธิบาย ลูก 4 ขวบ พูดช้า
“ที่บ้านต้องฝึกสม่ำเสมอนะคะ วันละ 2-3 ครั้ง”
“น้องได้ดูไอแพดหรือติดโทรศัพท์ไหมคะ”
“คุณแม่ต้องใช้คำง่ายๆ พูดช้าๆ”
“การบ้านกิจกรรมบำบัดสำคัญมากค่ะ อย่าข้าม”
คำถามแล้วคำถามเล่า ที่ชี้มาที่พ่อแม่ โดยไม่มีใครถามเลยว่า
“คุณแม่ได้นอนวันละกี่ชั่วโมง?” “ผู้ปกครองมีเวลาพักบ้างไหม?” “คุณพ่อเครียดเรื่องอะไรอยู่?” “ที่บ้านมีใครช่วยดูลูกบ้าง?” “คุณพ่อคุณแม่ดูแลตัวเองยังไง?” “ครอบครัวต้องการความช่วยเหลืออะไร?”
เครื่องจักรผลิตเด็กคุณภาพดี
ไม่ใช่แค่ในห้องตรวจ แต่ทุกที่ที่เกี่ยวกับลูก พ่อแม่รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเครื่องจักรที่ต้องผลิตเด็กที่สมบูรณ์แบบ เป็นเครื่องจักรรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ต้องมีสเปกครบครัน ทำงานได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ไม่เคยเสีย และที่สำคัญที่สุด ไม่เคยผิดพลาด
เครื่องจักรนี้ต้องรู้วิธีกระตุ้นพัฒนาการ 15 ด้าน ทั้งพัฒนาการด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา ภาษา ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา ความเป็นผู้นำ ความมั่นใจ การทำงานเป็นทีม ความรับผิดชอบ จริยธรรม คุณธรรม และความเป็นคนดี
เครื่องจักรต้องรู้เทคนิคการสอนอ่านให้เด็กช้า แบบ whole language แบบ phonics แบบ sight words แบบ multisensory รู้จักสัญญาณเตือนของ dyslexia รู้วิธีใช้เกมการศึกษา รู้วิธีสร้างแรงจูงใจให้เด็กที่ไม่ชอบอ่าน
เครื่องจักรต้องรู้วิธีเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่รู้เทคนิค time-in แทน time-out รู้วิธีตั้งขอบเขตที่ชัดเจนแต่ยืดหยุ่น รู้จักแยกแยะระหว่างการดื้อแบบปกติกับการดื้อที่เป็นสัญญาณของปัญหาอื่น
เครื่องจักรต้องรู้วิธีช่วยเด็กขี้อายให้มั่นใจขึ้น โดยไม่บีบบังคับ รู้วิธีสร้างสถานการณ์ที่ปลอดภัยให้ลูกได้ฝึกฝนทักษะสังคม รู้วิธีเสริมความมั่นใจที่ถูกต้อง รู้จักเคารพบุคลิกของลูกในขณะเดียวกันกับการช่วยให้เขาพัฒนา
เครื่องจักรต้องรู้วิธีจัดการเด็กสมาธิสั้น ทั้งการจัดสิ่งแวดล้อม การแบ่งงานเป็นชิ้นเล็ก การใช้ visual schedule การให้รางวัลที่เหมาะสม การสอนเทคนิคการจัดการตัวเอง และการแยกแยะว่าอันไหนคือ ADHD จริง อันไหนเป็นแค่พฤติกรรมปกติของวัย
เครื่องจักรนี้มีโหมดอัตโนมัติด้วยนะ
เมื่อลูกป่วย เครื่องจักรต้องเปลี่ยนโหมดเป็นพยาบาล รู้ว่าเมื่อไหร่ควรพาไปหาหมอ เมื่อไหร่รอดูอาการก่อน รู้วิธีดูแลลูกป่วยให้หายเร็ว ขณะเดียวกันป้องกันไม่ให้ตัวเองติดเชื้อ
เมื่อลูกสอบ เครื่องจักรต้องเปลี่ยนโหมดเป็นผู้จัดการ จัดตารางเวลาทบทวน ดูแลให้ลูกนอนพอ กินดี ไม่เครียด แต่ตั้งใจเรียน รู้วิธีช่วยจัดการความกังวลก่อนสอบ
เมื่อลูกมีปัญหากับเพื่อน เครื่องจักรต้องเปลี่ยนโหมดเป็นนักจิตวิทยา ช่วยลูกวิเคราะห์สถานการณ์ สอนทักษะการแก้ปัญหา ให้กำลังใจ แต่ไม่เข้าไปแทรกแซงมากเกินไป
ยังมีฟังก์ชันขั้นสูงอีกมากมายที่ลิสต์เท่าไหร่ก็ไม่หมด
แต่ไม่มีใครสนใจว่าเครื่องจักรนี้กำลังจะพัง
ผลการวิจัยจากทั่วโลกที่ชัดเจน และคำกล่าวที่ไม่มีประโยชน์ที่สุด
พ่อแม่ที่เครียด → ลูกพัฒนาการช้า
พ่อแม่ที่ซึมเศร้า → ลูกมีปัญหาพฤติกรรม
พ่อแม่ที่วิตกกังวล → ลูกขาดสมาธิ
ผลการวิจัยจากทั่วโลกชัดเจน พ่อแม่ที่เครียดระหว่างตั้งครรภ์ทำให้ลูกมีความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างมากที่จะมีปัญหาทางอารมณ์หรือการเรียนรู้ รวมถึงสมาธิสั้น วิตกกังวล และพัฒนาการทางภาษาล่าช้า การวิจัยแสดงให้เห็นว่าถ้าแม่ซึมเศร้า วิตกกังวล หรือเครียดขณะตั้งครรภ์ จะเพิ่มความเสี่ยงให้ลูกมีปัญหาทางอารมณ์ อาการสมาธิสั้น หรือพัฒนาการทางความคิดบกพร่อง วิตกกังวล และพัฒนาการทางภาษาล่าช้า และผลกระทบนี้ไม่ได้หายไปเมื่อลูกโต
ความเครียดของแม่ระหว่างตั้งครรภ์เพิ่มความเสี่ยงที่ลูกจะมีพัฒนาการประสาทผิดปกติในหลายด้าน และดูเหมือนจะมีผลแบบยิ่งเครียดมาก ยิ่งกระทบมากขึ้นเท่านั้น
แล้วเราทำอย่างไร เมื่อเห็น “พ่อ” หรือ “แม่” ไม่ไหว
เราบอกพวกเขาว่า “อย่าเครียด”
ถ้อยคำที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในโลก เหมือนกับการบอกคนที่กำลังจมน้ำว่า “อย่าตัวเปียก” หรือบอกคนที่ถูกไฟไหม้ว่า “อย่าร้อน”
สิ่งที่เราควรพูดแทนคือ “เครียดเรื่องอะไร เราจะช่วยได้ยังไง” “มาดูกันว่าจะลดความเครียดได้อย่างไร” “เราเข้าใจว่าการเป็นพ่อแม่มันเครียด นี่คือสิ่งที่เราจะช่วย…” เพราะการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนไม่ใช่การบอกให้หยุดรู้สึก แต่เป็นการเอาสาเหตุของความรู้สึกนั้นออกไป หรืออย่างน้อยก็ช่วยให้จัดการกับมันได้ดีขึ้น
วงจรที่ทำลายทุกคน :ต้นทุนที่แท้จริงของสังคมที่ละเลยสุขภาวะของพ่อแม่
ลองดูวงจรนี้:
สังคมไม่สนับสนุนการเป็นพ่อแม่ ↓
พ่อแม่เครียด ซึมเศร้า หมดแรง ↓
ลูกได้รับผลกระทบ พัฒนาการช้า มีปัญหาพฤติกรรม ↓
สังคมตำหนิพ่อแม่ ↓
พ่อแม่เครียดมากขึ้น ↓
(วนไปเรื่อยๆ)
การศึกษาพบว่าความเครียดในการเลี้ยงลูกของแม่ส่งผลเสียอย่างมีนัยสำคัญต่อพัฒนาการในวัยเด็กตอนต้น โดยภาวะซึมเศร้าของแม่เป็นตัวกลางระหว่างความเครียดกับพัฒนาการเด็ก แปลเป็นภาษาชาวบ้าน:
แม่เครียด → แม่ซึมเศร้า → ลูกพัฒนาการช้า
มีข้อค้นพบที่น่าสนใจ ความยืดหยุ่นของครอบครัวสามารถลดผลกระทบนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ นั่นหมายความว่า ถ้าครอบครัวได้รับการสนับสนุน มีระบบช่วยเหลือ ผลเสียจะลดลง
กรณีศึกษา: 2 ครอบครัว 2 ทาง
ครอบครัว ก:
- พ่อแม่ทั้งคู่ทำงาน รายได้รวม 40,000 บาท/เดือน
- ลูกอายุ 3 ขวบ พัฒนาการช้า ไม่มีญาติช่วยดูลูก
- ค่าบำบัด 20,000 บาท/เดือน
- แม่ต้องลาออกเพื่อพาลูกไปบำบัด
- รายได้ลดเหลือครึ่งเดียว
- พ่อทำงานหนักขึ้น กลับบ้านดึก
- ความสัมพันธ์เริ่มมีปัญหา
- ลูกเห็นพ่อแม่ทะเลาะบ่อยขึ้น
- พัฒนาการไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร
ครอบครัว ข:
- สถานการณ์เริ่มต้นเหมือนกัน แต่…
- บริษัทให้ทำงานแบบยืดหยุ่น
- มีศูนย์เด็กเล็กคุณภาพดีในชุมชน
- กลุ่มพ่อแม่ที่มีลูกพัฒนาการช้าช่วยเหลือกัน
- รัฐสนับสนุนค่าบำบัดบางส่วน
- พ่อแม่ยังทำงานได้ทั้งคู่
- มีเวลาให้กันและลูก
- ลูกได้รับการบำบัดอย่างต่อเนื่อง
- พัฒนาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ความแตกต่างคืออะไร?
ไม่ใช่เพราะครอบครัว ข “เก่งกว่า” หรือ “รักลูกมากกว่า” แต่เพราะพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากระบบ
มายาคติที่ต้องทำลาย
มายาคติที่ 1: “เด็กสำคัญที่สุด”
จริง แต่ไม่ครบ เด็กสำคัญ และคนที่ดูแลเด็กก็สำคัญ ถ้าคนดูแลพัง เด็กจะดีได้ยังไง?
มายาคติที่ 2: “พ่อแม่ที่ดีต้องเสียสละทุกอย่าง”
ผิด พ่อแม่ที่ดีคือพ่อแม่ที่มีสุขภาพจิตดี มีพลังงาน มีความสุข เพราะนั่นคือสิ่งที่จะส่งต่อให้ลูก
มายาคติที่ 3: “ขอความช่วยเหลือ = อ่อนแอ”
ผิดมาก ขอความช่วยเหลือ = ฉลาด เพราะรู้ว่าการเลี้ยงลูกไม่ใช่งานของคนคนเดียว
เมื่อนโยบายมองข้ามความเชื่อมโยง
เรามีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรามีกระทรวงสาธารณสุข เรามีกระทรวงศึกษาธิการ
แต่เรื่องพ่อแม่กับลูก มันไม่ได้แยกกัน
พัฒนาการเด็กเชื่อมโยงกับสุขภาพจิตพ่อแม่ สุขภาพจิตพ่อแม่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจครอบครัว เศรษฐกิจครอบครัวเชื่อมโยงกับนโยบายแรงงาน
ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน
แต่นโยบายของเรา…แยกส่วน
สิ่งที่เราทำได้ ตอนนี้ ทันที
ระดับนโยบาย:
- ตั้ง “ศูนย์สุขภาพจิตพ่อแม่” ในโรงพยาบาลทุกแห่ง
- คัดกรองซึมเศร้าตั้งแต่ตั้งครรภ์ ให้คำปรึกษาฟรี ติดตามต่อเนื่อง
- “Home Visit Program” พยาบาลเยี่ยมบ้านหลังคลอด ไม่ใช่แค่ดูลูก แต่ดูแม่ด้วย
- “Parent Support Group” ในทุกชุมชน พื้นที่ปลอดภัยให้พ่อแม่มาพูดคุยกัน
ระดับชุมชน:
- “ธนาคารเวลา” พ่อแม่แลกเปลี่ยนการดูแลลูก
- “ครัวกลาง” ผลัดกันทำอาหารให้หลายครอบครัว
- “พื้นที่เล่นร่วม” เด็กได้เล่นด้วยกัน พ่อแม่ได้คุยกัน
ระดับบุคคล:
- เลิกตัดสินพ่อแม่คนอื่น ทุกคนสู้กับสิ่งที่เรามองไม่เห็น
- พูดถึงความรู้สึกของพ่อแม่ ทำให้เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่จะเหนื่อย เครียด ท้อ
- สนับสนุนนโยบายที่ดี เลือกผู้แทนที่เข้าใจ และร่วมเรียกร้องไปกับเรา
สมการใหม่ : อยากได้พ่อแม่ที่ดี
ถ้าเราอยากได้ เด็กที่มีพัฒนาการดี มีสุขภาพจิตดี พร้อมเรียนรู้ แะลเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
สมการคือ:
พ่อแม่ที่ได้รับการดูแล + ระบบที่สนับสนุน = เด็กที่เติบโตได้เต็มศักยภาพ
เพราะความหวังอย่างเดียว สร้างอนาคตไม่ได้
แต่การลงมือทำ การสนับสนุนกัน การเปลี่ยนระบบ นั่นแหละ คือสิ่งที่จะสร้างอนาคตที่ดีกว่า ให้ลูกหลานของเรา
การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตดี ไม่ใช่หน้าที่ของพ่อแม่เท่านั้น มันคือหน้าที่ของพวกเราทุกคน
การอ่านอย่างเดียวไม่พอ เราต้องลงมือทำ เพราะจากจุดนี้ เราแต่ละคนจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไร