คู่มือ Modern Parenting 101 : Algorithm พี่เลี้ยงของลูกเรา รู้ใจลูกเราดีที่สุด อาจจะดีกว่าเรา ที่สำคัญคือไม่ต้องจ้างและไม่ต้องร้องขอ

เป็นช่วงเวลาหกโมงเย็นของวันพุธ คุณกำลังยืนหั่นผักในครัว เสียงมีดกระทบเขียงดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ นอกหน้าต่าง แสงแดดช่วงเย็นค่อยๆ เลือนหาย ทุกอย่างดูสงบ แทบจะสงบเกินไปด้วยซ้ำ

เด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ ลูกของคุณกำลังนั่งอยู่บนโซฟาห่างจากคุณไม่ถึงห้าเมตร ศีรษะก้มลง แสงสีฟ้าจาก iPad สะท้อนขึ้นมาบนใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอ พร้อมกับนิ้วมือเลื่อนไปมาบนหน้าจออย่างคล่องแคล่ว บางครั้งหัวเราะคิกคัก และบางครั้งนิ่งเงียบ

คุณรู้สึกโล่งใจ ในที่สุดความสงบสักเพียงเล็กน้อยก็กลับมา มีเวลาสำหรับทำอาหาร สำหรับคิด สำหรับหายใจ แต่แล้ว อีกเพียงอึดใจเดียว ความรู้สึกอื่นก็เข้ามาแทรกแซง มันเคลื่อนตัวเข้ามาเหมือนเงาในห้องที่กำลังมืดลง ความรู้สึกผิด ความกังวล และคำถามที่คุณไม่อยากถาม “จริง ๆ แล้วลูกอยู่กับใคร?”

ไม่ใช่คุณแน่ๆ คุณกำลังหั่นหัวหอม ลูกของคุณกำลัง “อยู่กับ” อะไรบางอย่างที่คุณไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังเลือกวิดีโอถัดไป แนะนำเกมใหม่ กำลังสอนว่าโลกควรเป็นยังไง ความสนุกควรมีหน้าตายังไง และที่น่ากลัวที่สุด ลูกของคุณควรเป็นคนแบบไหน

ยี่สิบปีก่อน พ่อแม่กังวลเรื่องโทรทัศน์ 

สี่สิบปีก่อน พวกเขากังวลเรื่องเพลงร็อค 

หนึ่งร้อยปีก่อน พวกเขากังวลเรื่องนวนิยาย 

ทุกยุคมีสิ่งที่ต้องระแวดระวัง และคนทุกรุ่นมีสิ่งที่ต้องปกป้องลูกๆ ไว้

แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป

Algorithm ไม่ใช่แค่สื่อ มันคือพี่เลี้ยง ครู เพื่อน และที่ปรึกษา รวมเป็นหนึ่งเดียว มันรู้จักลูกของเราเร็วกว่าที่เราจะทำได้ มันรู้ว่าลูกของเราชอบเจ้าหญิงชุดสีชมพู แต่เริ่มหันมาชอบเจ้าหญิงนักรบมากขึ้น มันรู้ว่าลูกจะกดข้ามโฆษณาภายในกี่วินาที และมันทำให้รู้ว่าลูกสนใจอะไรหรือไม่สนใจอะไร  แม้กระท่ังการเลื่อนหน้าจอที่ช้าลง ก็ทำให้รู้ว่าลูกเศร้าตอนไหน และมันรู้ว่าต้องแสดงอะไรเพื่อให้ลูกยิ้มได้อีกครั้ง

มันรู้จักลูกในบางแง่มุม มากกว่าที่คุณรู้จัก

บทความนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อทำให้คุณรู้สึกผิดไปมากกว่านี้ เพราะในการเป็นพ่อแม่ เราต่างก็รู้สึกผิดมามากพอแล้ว รู้สึกผิดที่ให้มือถือลูก รู้สึกผิดที่ไม่ให้ รู้สึกผิดที่เป็นพ่อแม่ที่ไม่ทันสมัย รู้สึกผิดที่เป็นพ่อแม่ที่ทันสมัยเกินไป เรากำลังเดินบนเส้นทางแคบๆ ระหว่างการเป็น “พ่อแม่ที่ปกป้องลูก” กับ “พ่อแม่ที่ปล่อยปละละเลย”

บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อตั้งคำถามที่เราต่างกลัวที่จะถาม

เราอาจเป็นพ่อแม่คนแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ต้องแบ่งบทบาทการเลี้ยงดูกับระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เรายังไม่มีโอกาสได้ทำความเข้าใจมันจริงๆ และเมื่อลูกๆ ของเราโตขึ้น พวกเขาจะถูกหล่อหลอมโดยเสียงสองเสียง เสียงของเรา และเสียงของอัลกอริทึ่ม

คำถามคือ เสียงไหนจะดังกว่ากัน?

และที่สำคัญกว่า เราจะทำอย่างไรให้แน่ใจว่าท่ามกลางเสียงดังของโลกดิจิทัล เด็กๆ ยังคงได้ยินสิ่งที่สำคัญที่สุด เสียงที่บอกพวกเขาว่า พวกเขามีค่า ไม่ใช่เพราะ ยอด likes ยอด share หรือยอด views แต่เพียงเพราะพวกเขาเป็นมนุษย์ เพียงเพราะพวกเขามีอยู่ นั่นก็เพียงพอกว่าจะต้องรอการยอมรับจากคนอื่น 

นี่คือบทเรียนที่ยากที่สุดของการเป็นพ่อแม่ในศตวรรษที่ 21 เราต้องสอนความเป็นมนุษย์ในโลกที่กำลังพยายามเปลี่ยนลูกเราให้เป็นอย่างอื่น

และเวลากำลังนับถอยหลัง

มนุษย์ผู้โดดเดี่ยวในยุคที่โลกเชื่อมต่อกันมากที่สุด

ลูกของเรามี “เพื่อน” มากกว่าที่เราเคยมีตอนอายุเท่าเขาถึงสิบเท่า พวกเขามีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย มีเพื่อนในเกมออนไลน์  มีคนที่กดชื่นชอบรูปของพวกเขา พวกเขาสามารถคุยกับใครก็ได้ทุกที่ทุกเวลา โลกทั้งใบอยู่เพียงปลายนิ้ว

แต่แล้วพวกเขาก็ยังคงดูโดดเดี่ยว

แม้ Algorithm จะรู้จักลูกเราดีกว่าที่เราคิด มันรู้ว่าเขาชอบวิดีโอแบบไหน เพลงอะไร สีอะไร มันรู้ว่าเขาจะหยุดดูที่ไหน กดข้ามตรงไหน ดูซ้ำตรงไหน เมื่อลูกคุณเปิดมือถือในตอนเช้าเข้าไปดูคลิบวีดีโอ ระบบรู้แล้วว่าเมื่อคืนเขานอนดึก (เพราะเขาดูคลิปตอนตีสอง) รู้ว่าเขากำลังเครียด (เพราะเขาค้นหา “วิธีทำการบ้านให้เสร็จเร็ว ๆ “) และรู้ว่าตอนนี้เขาต้องการอะไร ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรดู แต่เป็นสิ่งที่จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นชั่วคราว มันเข้าใจเขา ในแบบที่เราอาจไม่มีเวลาทำความเข้าใจ แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ Algorithm ไม่สามารถทำได้ 

มันไม่สามารถ “เห็น” เขาได้จริงๆ

Algorithm อาจรู้ว่าเขาชอบดูวิดีโอแมวตอนเศร้า รู้ว่าเขาหยุดเลื่อนดูรูปของเพื่อนที่ดูมีความสุข รู้ว่าเขาค้นหาคำบางคำตอนดึกๆ ที่เขาไม่กล้าบอกใคร

แต่มันไม่สามารถมองตาเขาแล้วรู้ว่าวันนี้มีอะไรผิดปกติ มันไม่สามารถสังเกตว่าเสียงหัวเราะของเขาฟังดูว่างเปล่ากว่าปกติ มันไม่สามารถจับมือเขาไว้และบอกว่า “ไม่เป็นไร ที่จะไม่สบายใจบ้าง”

เพราะ Algorithm ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อช่วยเหลือ มันถูกสร้างมาเพื่อให้เขาอยู่บนหน้าจอต่อไปอีกห้านาที อีกสิบนาที อีกชั่วโมง

นักวิจัยบอกเราว่าเด็กรุ่นนี้รู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าเด็กทุกรุ่นที่ผ่านมา ภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะในเด็กหญิง ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้กลายเป็นเรื่องปกติ

แต่ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้บอกวิกฤติของเรื่องนี้กับเราทั้งหมด มันไม่ได้บอกเราว่าเด็กหญิงวัย 13 ลบรูปถ่ายทิ้งเพราะได้ like น้อยเกินไป มันไม่ได้บอกเราว่าเด็กชายวัย 11 ปีรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวเพราะไม่มียอด view มากพอ มันไม่ได้บอกเราว่าความเงียบในห้องรับประทานอาหาร เมื่อทุกคนจ้องหน้าจอของตัวเอง พวกเขาเหมือนอยู่ด้วยกันแต่ก็แยกขาดจากกัน

เพราะนี่คือความจริงที่ยากจะยอมรับ ความโดดเดี่ยวที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการอยู่คนเดียว มันเกิดจากการอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่เห็นเรา หรือแย่กว่านั้น การจ้องมองหน้าจอที่เข้าใจเราดีเกินไปแต่ไม่สนใจเราจริงๆ

เด็กๆ กำลังถูกเลี้ยงโดยระบบที่ไม่ได้สนใจพวกเขา แต่ทำเสมือนว่าสนใจ ทุกครั้งที่ Algorithm แนะนำวิดีโอ “สำหรับคุณ” มันดูเหมือนพวกมันเข้าใจ แต่จริงๆ แล้วมันคือการจัดการ การทำให้คุณอยู่ต่อ คลิกต่อ และดูต่อ

สิ่งที่น่ากลัวที่สุด? คือเด็กๆ อาจกำลังเรียนรู้ว่านี่คือสิ่งที่ความสัมพันธ์ควรเป็น

พวกเขาเรียนรู้ว่าการได้รับความสนใจหมายความว่าได้รับการแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดีย การได้รับความเข้าใจหมายความว่ามีคนแนะนำสิ่งที่เราชอบ การมีเพื่อนหมายความว่ามีคนกด “like” รูป

พวกเขาจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสความรู้สึกของการนั่งลงข้าง ๆ ใครสักคนโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร แล้วรู้สึกสบายใจ การโทรหาเพื่อนเพียงเพราะอยากได้ยินเสียง หรือรู้สึกยังไงที่ถูกมองเห็น “แบบถูกมองเห็นจริงๆ”​ ด้วยสายตาของคนที่รักเรา ไม่ใช่ด้วยอัลกอริทึมที่กำลังวิเคราะห์เรา

บางทีความโดดเดี่ยวของยุคนี้จึงแตกต่างไปจากเดิม มันไม่ใช่ความโดดเดี่ยวแบบที่เราเคยรู้จัก การอยู่คนเดียวในห้อง มันคือความโดดเดี่ยวแบบใหม่ การอยู่ท่ามกลางเสียงดัง แสงสว่าง และผู้คนนับพัน แต่ไม่รู้สึกว่ามีใครสักคนที่รู้จักเราจริงๆ

และคำถามที่เราต้องถามตัวเอง เมื่อ Algorithm กลายเป็นพี่เลี้ยงของลูกเรา ใครจะสอนพวกเขาว่าความสัมพันธ์ที่แท้จริงคืออะไร?

สิ่งที่ Algorithm สอนลูกเรา โดยที่เราไม่รู้ตัว

ทุกครั้งที่ลูกเราเปิดโซเชียงมีเดีย พวกเขาไม่ได้แค่ “ใช้” เทคโนโลยี พวกเขากำลังถูกสอนอย่างมีประสิทธิภาพมาก เกี่ยวกับวิธีที่โลกควรทำงาน วิธีที่ความสัมพันธ์ควรเป็น และที่สำคัญที่สุด สิ่งเหล่านี้กำลังสอนว่า “พวกเขาควรเป็นใคร”

มาดูบทเรียนที่ Algorithm กำลังสอนลูกของเรา

บทเรียนที่หนึ่ง: คุณคือจุดศูนย์กลางของโลก

เมื่อเปิดแอพโซเชียลมีเดีย ขึ้นมา สิ่งแรกที่คุณเห็นคืออะไร? หน้าที่ถูกสร้างมา “เพื่อคุณ “โดยเฉพาะ ทุกอย่างที่ปรากฏบนหน้าจอถูกคัดเลือกมาเพื่อคุณ เพลงที่คุณชอบ เนื้อหาที่คุณสนใจ ผู้คนที่คิดเหมือนคุณ มุมมองที่เห็นด้วยกับคุณ 

โลกทั้งใบกำลังหมุนรอบตัวคุณคนเดียว

ฟังดูดีใช่ไหม? เพราะใคร ๆ ก็อยากรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ

แต่นี่คือสิ่งที่เด็กๆ ไม่ได้เรียนรู้ในโลกที่ทุกอย่างถูกปรับแต่งให้เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง พวกเขาไม่ได้เรียนรู้ว่าโลกจริงๆ ไม่ได้หมุนรอบตัวเขา โลกจริงไม่มีใครคอยกรองสิ่งที่ไม่ถูกใจออกไป โลกจริงไม่มีปุ่มกด “ข้าม” สำหรับสิ่งที่ทำให้เขาอึดอัดใจ

ในโลกจริง คุณจะต้องรับฟังความคิดเห็นที่ท้าทายความเชื่อของคุณ คุณจะต้องนั่งข้างคนที่คิดต่างจากคุณในห้องเรียน คุณจะต้องอ่านหนังสือที่ไม่ใช่แนวที่คุณชอบเพราะมันอยู่ในหลักสูตร คุณจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อความสบายของคุณ และนี่คือทักษะที่สำคัญที่สุดในการเป็นมนุษย์ ความสามารถในการอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย หรือไม่เข้าใจ แล้วยังคงเคารพมัน

แต่เด็กที่โตมากับ Algorithm เรียนรู้บทเรียนที่ตรงกันข้าม ถ้าไม่ชอบ ก็เลื่อนผ่าน ถ้าไม่เห็นด้วย ก็กดบล็อก ถ้ารู้สึกไม่สบายใจ ก็ปิดมันเสีย

โลกของพวกเขาหดเล็กลง จนเหลือแต่เสียงสะท้อนของตัวเอง

บทเรียนที่สอง: การได้รับความสนใจจากคนอื่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

เด็กสมัยนี้เข้าใจสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นผลพวงจากยุคโซเชียลมีเดีย นั่นคือ คุณมีคุณค่าเท่าที่คุณได้รับความสนใจ จำนวน likes บอกว่าคุณน่าสนใจแค่ไหน ยอด views บอกว่าคุณสำคัญแค่ไหน จำนวนผู้ติดตามบอกว่าคุณมีค่าแค่ไหน

เด็กหญิงวัย 12 ยืนถ่ายรูปซ้ำ 47 ครั้ง เพื่อหามุมที่ “ดีที่สุด” เธอเขียนแคปชั่นแล้วลบทิ้ง แล้วเขียนใหม่ เธอโพสต์ แล้วกด refresh ทุก ๆ สามสิบวินาที นับ likes เหมือนนับเงินในกระปุก เมื่อตอนเย็น ถ้าเธอรูปได้ likes น้อยกว่าที่หวัง เธอจะลบมันทิ้ง ไม่ใช่เพราะรูปไม่สวย แต่เพราะมัน “ล้มเหลว”

เธอไม่ได้โพสต์รูปเพราะอยากแบ่งปันช่วงเวลาสวยงาม เธอโพสต์เพื่อเก็บเกี่ยวความสนใจ และเมื่อเธอไม่ได้รับมันเพียงพอ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า นี่คือสิ่งที่ Algorithm สอน  ความหมายของชีวิตไม่อยู่ที่ประสบการณ์ แต่อยู่ที่การตอบสนองที่เราได้รับจากการแสดงประสบการณ์นั้น

ลูกของเราเรียนรู้ที่จะมองตัวเองผ่านสายตาของผู้อื่นตลอดเวลา พวกเขาไม่ค่อยถามตัวเองว่า “ฉันชอบไหม?” แต่ถามว่า “คนอื่นจะชอบไหม?” พวกเขาไม่ทำอะไรเพื่อความสุขของตัวเอง แต่ทำเพื่อความสุขที่จะได้มาจากการที่คนอื่นเห็นว่าพวกเขามีความสุข

ชีวิตกลายเป็นการแสดง และพวกเขาคือนักแสดงที่ไม่เคยได้พักผ่อน

บทเรียนที่สาม: ความสุขต้องมาเร็วและต่อเนื่อง

ลองนึกภาพ คุณกำลังดูวิดีโอบน TikTok วิดีโอหนึ่งยาว 15 วินาที ภายใน 5 วินาทีแรก ถ้าคุณไม่รู้สึกอะไร ไม่หัวเราะ ไม่ตกใจ ไม่ตื่นตาตื่นใจ คุณจะเลื่อนผ่านทันที

ตอนนี้ลองคิดดูว่าสมองของเด็กที่ได้รับการ “ฝึกฝน” แบบนี้มาหลาย ๆ ปีจะเป็นยังไง

พวกเขาคาดหวังว่าความบันเทิงจะมาทุก 15 วินาที ถ้าอะไรไม่น่าสนใจภายในห้าวินาทีแรก มันไม่คุ้มค่าที่จะให้ความสนใจ

นี่คือเหตุผลที่ครูบอกว่าเด็กสมัยนี้สมาธิสั้นลง นี่คือเหตุผลที่พวกเขาอ่านหนังสือไม่ได้ เพราะหนังสือไม่ได้ให้ความสุขทุกห้าวินาที หนังสือต้องการให้คุณอดทน ผ่านช่วงที่น่าเบื่อ รอคอยให้เนื้อเรื่องค่อยๆ คลี่คลาย แต่ Algorithm สอนพวกเขาว่า “ไม่จำเป็นต้องรอคอย “

Algorithm สอนให้พวกเขาเชื่อ ว่า ความเบื่อคือศัตรู การรอคอยคือการเสียเวลา ความยากลำบากคือสัญญาณว่าคุณควรหยุด

และนี่คือสิ่งที่น่าเศร้าที่สุด เพราะความเบื่อคือจุดเริ่มต้นสำคัญของความคิดสร้างสรรค์

นักเขียนทุกคนรู้ว่าความคิดและไอเดียดีๆ มักเกิดขึ้นตอนที่คุณจ้องมองนอกหน้าต่าง ตอนที่คุณนั่งรอรถไฟ ตอนที่คุณอาบน้ำอยู่คนเดียว ไม่ใช่ตอนที่คุณถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา

แต่ลูกของเราไม่เคยได้รู้จักความเบื่ออีกต่อไป

รอรถไฟฟ้า? เบื่อใช่ไหม เล่นมือถือ 

นั่งคนเดียวในรถ? เปิดเพลง 

อาบน้ำ? ดู TikTok

ทุกช่องว่างในชีวิตถูกเติมเต็ม ทุกช่วงเงียบถูกทำลาย และในความเงียบนั้นเอง ที่ความคิด ความฝัน และจินตนาการเคยเกิดขึ้น ตอนนี้มีแต่เสียงดังจากหน้าจอ

บทเรียนที่สี่: การเปรียบเทียบคือทิศทางของชีวิต

Instagram เปิดขึ้นมา คุณเห็นเพื่อนโพสต์รูปจากวันเกิด ทุกคนยิ้มแย้ม ทุกคนสวย ทุกคนดูมีความสุขมาก

แล้วคุณมองชีวิตของตัวเอง ทำไมมันถึง  ธรรมดา น่าเบื่อ ไม่มีอะไรพิเศษ

นี่คือบทเรียนที่ Algorithm สอนทุกวัน ชีวิตคนอื่นดีกว่าของคุณเสมอ

แม้เราทุกคนจะรู้ว่าสิ่งที่ใคร ๆ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด มันเป็นแค่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ถูกคัดเลือก แต่งแต้ม ตัดต่อ แต่การรู้ทางสมองไม่ได้ช่วยให้หัวใจรู้สึกดีขึ้น

เด็กๆ เห็นเพื่อนมีของเล่นใหม่ พวกเขารู้สึกว่าของตัวเองมีไม่พอ เมื่อเห็นเพื่อนไปเที่ยว พวกเขารู้สึกว่าชีวิตตัวเองช่างจืดชืด เห็นเพื่อนได้คะแนนสูง พวกเขารู้สึกว่าตัวเองโง่

และที่แย่ที่สุด พวกเขาเห็นเพื่อนมีผู้ติดตามมากกว่า ได้รับยอด likes มากกว่า และพวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีค่าน้อยกว่า

Algorithm ทำให้การเปรียบเทียบเป็นเรื่องง่าย มันวางทุกคนไว้เคียงข้างกัน ทำให้เราวัดความสำเร็จได้ด้วยตัวเลข แล้วบอกเราทุกวันว่า เรายืนอยู่ที่ไหนในการจัดลำดับ

และนี่คือความจริงที่โหดร้าย เมื่อความภาคภูมิใจในตัวเองถูกสร้างจากการเปรียบเทียบ มันจะไม่มีวันพอ เพราะจะมีใครสักคนที่ดีกว่าเสมอ

เด็กๆ เรียนรู้ที่จะมองตัวเองเป็นตัวเลข เป็นอันดับ เป็นผลการเปรียบเทียบ ไม่ใช่เป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าในตัวเอง

นี่คือบทเรียนทั้ง 4 ที่ Algorithm สอนลูกเราทุกวัน “โลกหมุนรอบตัวคุณ”  “คุณมีค่าเท่าที่ได้รับความสนใจ” “ความเบื่อคือศัตรู” และ “ชีวิตคนอื่นดีกว่าของคุณเสมอ”

และสิ่งที่น่ากลัวที่สุด? พวกเขาไม่รู้ตัวเองว่ากำลังถูกสอน เราไม่รู้ว่าลูกเรากำลังเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ตัวเราเองก็ไม่รู้ด้วยว่าเราซึมซับสิ่งเหล่านี้มากไปเรื่อยๆ เพราะ Algorithm ทำงานอย่างเงียบ ๆ ทีละนิด ทีละหน่อย แต่ทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ทุกครั้งที่เปิดหน้าจอ จนกลายเป็นความเชื่อที่ฝังลึก และเมื่อถึงเวลาที่เราสังเกตเห็น มันก็สายเกินไป

ความเป็นมนุษย์กับการเลี้ยงลูกที่ถูกกัดเซาะไปกับยุคสมัย

มีช่วงเวลาหนึ่งที่เราทุกคนเคยรู้จัก แต่ดูเหมือนว่ามันกำลังหายไปจากชีวิตของลูกๆ ของเรา

คุณจำได้ไหม ตอนที่คุณเป็นเด็ก นั่งอยู่เบาะหลังรถของพ่อแม่ มองออกไปนอกหน้าต่าง? ไม่มีอะไรทำ ไม่มีอะไรดู แค่ท้องฟ้า ต้นไม้ บ้านเรือนที่แล่นผ่านไป

คุณเริ่มนับเสาไฟฟ้า หรือหาเมฆที่มีรูปร่างแปลกๆ หรือแค่จ้องมองแล้วปล่อยให้ความคิดลอยไปไหนมาไหน คุณจินตนาการว่าตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่ หรือนักบินอวกาศ หรือแค่คนธรรมดาที่กำลังใช้ชีวิตในอนาคต

มันน่าเบื่อ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่สมองของคุณได้พักผ่อน ได้เล่น ได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ

ตอนนี้ ลองมองดูเด็กที่นั่งอยู่ในรถ

ศีรษะก้มลง หน้าจอสว่าง นิ้วเลื่อนขึ้นลง เขาไม่เห็นต้นไม้ ไม่เห็นท้องฟ้า ไม่เห็นโลกที่แล่นผ่านไป เขาเห็นแต่โลกในหน้าจอ โลกที่มีคนอื่นสร้างขึ้นให้เขา

และที่สำคัญคือ บางครั้งเราก็แอบคิดว่า ก็ดีเหมือนกันที่เขาไม่กวนใจเรา

มาดูกันว่าเราสูญเสียสิ่งที่ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่มันค่อนข้างเป็นจริงอะไรไปบ้างในชีวิตของเรา

ความเบื่อหน่ายที่ล้ำค่า

มีสิ่งหนึ่งที่นักประสาทวิทยาค้นพบ นั่นคือ สมองของเราไม่ได้พักผ่อนตอนที่เรานอน มันพักผ่อนตอนที่เราเบื่อ

ตอนที่คุณนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนที่คุณนอนนับแกะ ตอนที่คุณรอคิวโดยไม่มีอะไรทำ สมองของคุณเปิดใช้งาน “default mode network” หรือเครือข่ายที่ช่วยให้คุณประมวลผลความทรงจำ เชื่อมโยงไอเดีย และทำความเข้าใจตัวเอง

ความเบื่อไม่ใช่เวลาที่สูญเปล่า มันคือเวลาที่สมองจัดระเบียบตัวเอง มันคือเวลาที่ความคิดสร้างสรรค์งอกงาม มันคือเวลาที่เราได้เรียนรู้ว่าเราคือใคร

แต่ลูกของเราไม่เคยได้เบื่ออีกต่อไป

ทุกช่องว่างถูกเติมเต็มด้วยความบันเทิง ทุกช่วงเงียบถูกทำลายด้วยเสียงดัง และในช่องว่างนั้นเองที่ความคิด ความฝัน จินตนาการ และความเข้าใจตัวเองเกิดขึ้น เพียงแต่ตอนนี้มีแต่เนื้อหาที่คนอื่นสร้างให้ และพวกเขาเสพย์มัน

เราอาจคิดว่าการที่ลูกดูคลิบสนุก ๆ เรากำลังหยิบยื่นให้ความบันเทิงแก่ลูก แต่จริงๆ แล้ว เรากำลังขโมยสิ่งที่ล้ำค่าจากพวกเขา นั่นคือเวลาที่จะได้ทำความรู้จักตัวเอง

การสนทนาที่ไม่มี notification

ลองนึกถึงมื้ออาหารเย็นเมื่อสิบปีก่อน

ครอบครัวนั่งรอบโต๊ะ พ่อเล่าเรื่องที่ทำงาน แม่บ่นเรื่องเพื่อนบ้าน ลูกพูดเรื่องที่โรงเรียน บางครั้งก็มีการทะเลาะกันเล็กน้อย บางครั้งก็เงียบๆ ไปสักพัก

มันไม่ใช่มื้ออาหารที่สมบูรณ์แบบ แต่มันคือช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่ด้วยกัน อยู่จริงๆ ไม่ใช่แค่อยู่ในห้องเดียวกัน

ตอนนี้ มื้ออาหารของเราเป็นยังไงกันบ้าง?

พ่อเช็คอีเมล แม่ดู Facebook ลูกสาวส่งข้อความกับเพื่อน ลูกชายดู TikTok ใต้โต๊ะ

ทุกคนนั่งอยู่รอบโต๊ะเดียวกัน แต่แต่ละคนอยู่ในโลกของตัวเอง มีการ “สนทนา” เกิดขึ้น แต่เป็นการสนทนาที่ขาดๆ หายๆ คำถามที่ไม่มีใครตอบจริงๆ เรื่องราวที่ไม่มีใครฟังจริงๆ

บางครั้งพ่อถาม “วันนี้เป็นยังไงบ้าง?”

“ก็ดี” ลูกตอบ โดยไม่เงยหน้าขึ้นจากหน้าจอ

และสนทนาก็จบลงแค่นั้น

เรากำลังสูญเสียทักษะที่ละเอียดอ่อนที่สุดของความเป็นมนุษย์ นั่นคือ การอยู่กับใครสักคนอย่างเต็มที่ “การมองตากัน” ที่ไม่ใช่แค่แวบเดียว แต่มองจริงๆ จนคุณเห็นอะไรบางอย่างในสายตาของอีกฝ่าย “การฟังเสียงหัวเราะ”  ไม่ใช่อิโมจิ  😂 แต่เสียงหัวเราะจริงๆ ที่คุณรู้ว่ามันเป็นหัวเราะแบบไหน หัวเราะที่เห็นอกเห็นใจ หรือหัวเราะที่เยาะเย้ย หรือหัวเราะที่เขินๆ อายๆ “ความเงียบที่สบายใจ” ความเงียบที่คุณไม่ต้องเติมเต็มด้วยอะไรเลย เพราะแค่การอยู่ด้วยกันก็เพียงพอแล้ว

สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นผ่านหน้าจอ

คุณไม่สามารถ “อยู่” กับใครสักคนผ่าน video call ได้อย่างเต็มที่ คุณไม่สามารถรู้สึกถึงความอบอุ่นของการนั่งข้างๆ กันผ่านข้อความที่ส่งถึงกันได้ คุณไม่สามารถเข้าใจความเงียบที่มีความหมายบางอย่างผ่านข้อความเสียงได้

และลูกของเราที่เติบโตมากับการสื่อสารผ่านหน้าจอ กำลังสูญเสียความสามารถในการ “อยู่กับ” คนจริงๆ

พวกเขาสามารถแชทกับเพื่อนได้ทั้งคืน แต่นั่งอยู่ข้างกันห้านาทีโดยไม่พูดอะไรแล้วรู้สึกอึดอัด

ความผิดพลาดที่สวยงาม

มีสิ่งหนึ่งที่ Algorithm ไม่เคยทำเลยหรือทำน้อยมากๆ  คือความผิดพลาด

มันแนะนำวิดีโอที่คุณจะชอบ เลือกเพลงที่คุณจะฟัง คาดเดาสิ่งที่คุณต้องการ และมันถูกต้องเกือบตลอดเวลา

มันไม่เคยลืม ไม่เคยสับสน ไม่เคยเข้าใจผิด

แต่เราเป็นมนุษย์ เราผิดพลาดตลอดเวลา

เราลืมสัญญา เราพูดอะไรที่ไม่ได้ตั้งใจ เราเข้าใจผิด เราทำร้ายความรู้สึกลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ เรารู้สึกเหนื่อยแล้วตะโกนใส่พวกเขา เราสัญญาว่าจะไปเล่นด้วยแล้วติดงาน

และนี่คือสิ่งที่สำคัญ ลูกต้องเห็นเราผิดพลาด

ไม่ใช่เพราะการผิดพลาดเป็นสิ่งที่ดี แต่เพราะการเรียนรู้ที่จะรับมือกับความผิดพลาดคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดในชีวิต

เมื่อพ่อลืมงานแสดงของลูก แล้วขอโทษจริงๆ ลูกจะได้เรียนรู้ว่าการขอโทษควรเป็นยังไง

เมื่อแม่สัญญาบางอย่างเกินตัว แล้วทำไม่ได้ ยอมรับว่าทำผิด ลูกเรียนรู้ว่าความซื่อสัตย์สำคัญกว่าการแกล้งทำให้ทุกอย่างดูเหมือนสมบูรณ์แบบ

เมื่อพี่ชายทำให้น้องสาวเสียใจ แล้วต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยและได้รับการอภัย ทั้งสองคนเรียนรู้สิ่งที่ AI ไม่สามารถสอนได้ ความเป็นมนุษย์อยู่ที่ความไม่สมบูรณ์แบบของเรา

Algorithm ไม่เคยทำให้คุณผิดหวัง ไม่เคยลืมวันเกิดของคุณ ไม่หงุดหงิด ไม่เหนื่อยจนไม่อยากเล่นด้วย

แต่มันก็ไม่สามารถสอนสิ่งที่สำคัญที่สุดได้ ความรักที่แท้จริงมาพร้อมกับความผิดพลาด

คนที่รักเราจะทำให้เราผิดหวังบ้าง จะทำร้ายเราบ้างโดยไม่ได้ตั้งใจ จะไม่เข้าใจเราบ้าง

และเราก็จะทำแบบเดียวกันกับพวกเขา

แต่เราก็ยังรักกันอยู่ ไม่ใช่แม้ว่าเราจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่เพราะว่าเราไม่สมบูรณ์แบบ และเรายอมรับมันได้

นี่คือสิ่งที่ลูกต้องเรียนรู้ในโลกที่ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบบนหน้าจอ ความสัมพันธ์ที่แท้จริงไม่ได้ถูกสร้างจากความสมบูรณ์แบบ มันถูกสร้างจากการให้อภัย การเข้าใจ และความอดทนต่อความไม่สมบูรณ์แบบของกันและกัน

เรากำลังสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป ช่วงเวลาที่เบื่อ การสนทนาที่ลึกซึ้ง และความผิดพลาดที่สอนเรา

แต่ยังไม่สายเกินไป

คำถามคือ เราจะทำอย่างไรเพื่อนำมันกลับคืนมา?

และที่สำคัญกว่า เราจะทำอย่างไรเพื่อให้แน่ใจว่าลูกของเราจะเติบโตขึ้นเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ไม่ใช่แค่ผู้เสพย์ที่สมบูรณ์แบบ?

เราอาจจะต้องช่วยกันหาวิธีที่ยังไม่ทำให้เราหมดหวังกับการมีลูกไปเสียก่อน

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกหมดหวังกับการเลี้ยงเด็กในยุคนี้ อยากบอกว่า Mappa เข้าใจ

บางครั้งดูเหมือนว่าเราแพ้ไปแล้ว Algorithm มีทรัพยากรมหาศาล มีทีมวิศวกรที่ฉลาดที่สุดในโลก มีข้อมูลจากพฤติกรรมของลูกเราหลายล้านชั่วโมง มันรู้จักพวกเขาดีกว่าที่เราจะรู้ได้

แล้วเราจะสู้ยังไง?

คำตอบ คือ “เราไม่ต้องสู้”

เพราะอะไรเราถึงไม่ต้องสู้ แล้วเราจะยึดหลักการอะไรเพื่อให้เรายังสามารถอยู่ในโลกใบนี้กับลูก และยังคงรักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้ได้

หลักการที่ 1: เราไม่สามารถแข่งกับ Algorithm ได้ และไม่ต้องไปแข่ง

เราควรต้องยอมรับตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า เรื่องราวของเราโดยเฉพาะการเป็นผู้ใหญ่ และเป็นพ่อแม่ น่าเบื่อกว่า TikTok บอร์ดเกมของเราไม่มีความตื่นเต้นเท่าเกมมือถือ คำแนะนำของเราฟังดูเชยกว่าเพลงฮิตในอันดับหนึ่ง

และนั่นไม่เป็นไร

เพราะเราไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อทำให้ลูกเรา “บันเทิง” หรือ “สนุกอยู่ตลอดเวลา เราอยู่ที่นี่เพื่อทำให้พวกเขากลายเป็นมนุษย์

Algorithm สามารถให้ความสนุกที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่มันไม่สามารถให้สิ่งที่ลูกต้องการมากกว่านั้น มันไม่สามารถกอดพวกเขาตอนที่พวกเขาร้องไห้ มันไม่สามารถมองตาพวกเขาแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร แล้วมันจะผ่านไป” “ลูกเป็นสิ่งล้ำค่าในสายตาแม่เสมอ และมัน ไม่ใช่เพราะยอด likes หรือ views แต่เพียงเพราะลูกคือลูก และแม่รักลูกอย่างที่ลูกเป็นลูก”

Algorithm ไม่สามารถนั่งข้างเตียงตอนที่พวกเขาป่วย ไม่สามารถจับมือพวกเขาตอนที่พวกเขากลัว ไม่สามารถภาคภูมิใจในพวกเขาเมื่อพยายามทำบางอย่างสำเร็จ 

เราจะแพ้ Algorithm ในเรื่องความสนุก 

แต่เราชนะในเรื่องความรักที่มีให้ลูก

และในระยะยาว ความรักจะอยู่นานกว่าความสนุกเสมอ

หลักการที่ 2: สร้าง “พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์” ที่ปลอดเทคโนโลยี

เราไม่สามารถกำจัดเทคโนโลยีออกจากชีวิตของลูกได้ทั้งหมด แต่เราสามารถสร้างพื้นที่และเวลาที่เทคโนโลยีไม่มีที่ยืนในชีวิตของเรา

เริ่มจากมื้ออาหาร

ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกมื้อ ถ้าดูแล้วมันเป็นไปไม่ได้ เริ่มจากมื้อเย็นวันละมื้อ กฎง่ายๆ ไม่มีหน้าจอบนโต๊ะอาหาร ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ใช่แค่สำหรับลูก แต่สำหรับเราด้วย

ถ้าเราไม่เคยทำมาก่อนหน้านี้เลย ช่วงแรก ๆ อาจจะรู้สึกยากมาก จะเงียบ จะอึดอัด จะรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะคุยกัน

แต่อะไรบางอย่างจะค่อยๆ เริ่มเกิดขึ้น ลูกจะเริ่มบ่น เริ่มเล่าเรื่อง เริ่มถาม คุณจะเริ่มรู้จักพวกเขาอีกครั้ง ไม่ใช่ผ่านหน้าจอ แต่ผ่านสายตา ผ่านเสียง ผ่านช่วงเวลาที่เรียบง่ายเหล่านี้

แม้ตอนแรก ลูกอาจบ่นว่าน่าเบื่อ แต่สิ่งที่พวกเขาจะจำได้ตลอดชีวิตจะไม่ใช่วิดีโอที่พวกเขาดู แต่เป็นช่วงเวลาที่พ่อหรือแม่คุยเรื่องไม่สำคัญ และหัวเราะกันเบาๆ 

วันหยุดสุดสัปดาห์ ออกไปสัมผัสโลกจริง อย่างน้อยก็เช้าวันหนึ่งของวันหยุด ออกไปข้างนอก ไม่มีเป้าหมายอะไรมากมาย แค่เดินในสวนสาธารณะ ขี่จักรยานรอบบ้าน หรือแค่นั่งในสนามหญ้า มองดูเมฆ ให้พวกเขาได้เบื่อ ให้พวกเขาได้บ่น ให้พวกเขาได้ค้นพบว่าเมื่อไม่มีอะไรทำ แล้วชีวิตจะเริ่มสร้างสรรค์ขึ้นเอง พวกเขาจะหาอะไรเล่น หาอะไรทำ สังเกตอะไรสักอย่างที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

พื้นที่เหล่านี้คือป้อมปราการ ป้อมปราการเล็กๆ ที่เราสร้างขึ้นเพื่อปกป้องสิ่งที่สำคัญ เวลาที่เราอยู่ด้วยกันจริงๆ

หลักการที่ 3: สอน “ทักษะแห่งความเป็นมนุษย์” อย่างตั้งใจ

ถ้า Algorithm กำลังสอนบทเรียนของมัน เราก็ต้องสอนบทเรียนของเราอย่างตั้งใจ 

“สอนให้ลูกเป็นเพื่อนกับความเบื่อ”

ครั้งหน้าที่ลูกบอกว่า “เบื่อ” อย่าหยิบยื่นมือถือให้เขาทันที

ลองเริ่มวาดรูปด้วยกัน ออกไปเล่นกับธรรมชาติ เริ่มเล่าเรื่องที่พวกเขาแต่งขึ้น หรืออาจจะแค่นั่งจ้องมองออกไปข้างนอก ปล่อยให้ใจฝันไป

“สอนให้ลูกเข้าใจว่าความผิดหวังเป็นครู”

เมื่อชีวิตเริ่มยากขึ้น อย่าเร่งให้คำแนะนำทันที เมื่อการบ้านยาก อย่ารีบไปช่วยทันที ให้เวลาพวกเขาได้ดิ้นรน ได้หงุดหงิด ได้ผิดพลาด แล้วนั่งลงข้างๆ เขา ถามเขาว่าเขากำลัง “เผชิญหน้ากับความยากใช่ไหม? แต่กำลังทำได้ดีนะ การเรียนรู้มันต้องมีเรื่องยากบ้าง”

เพราะ Algorithm ทำให้ทุกอย่างง่าย ทุกอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างสำเร็จในทันที

แต่ชีวิตจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น และเราต้องเตรียมพวกเขาสำหรับชีวิตจริง ชีวิตที่มีความยาก ชีวิตมีความล้มเหลว มีความผิดหวัง แต่ก็มีความภาคภูมิใจที่มาจากการผ่านมันมาได้

“สอนให้ลูกอยู่กับตัวเองได้”

บางครั้ง ปล่อยให้พวกเขาอยู่คนเดียว โดยไม่มีอะไรเลย

ไม่มีมือถือ ไม่มีทีวี ไม่มีหนังสือด้วยซ้ำ มีแค่ตัวของเขากับความคิดของพวกเขาเอง

มันจะรู้สึกน่ากลัว สำหรับพวกเขา และสำหรับเราด้วย แต่นี่คือทักษะที่สำคัญที่สุดที่พวกเขาจะต้องเรียนรู้ การอยู่กับตัวเองได้โดยไม่ต้องการการกระตุ้นจากภายนอกตลอดเวลา

คนที่สามารถอยู่กับตัวเองได้จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในทุกครั้งที่ไม่มีใครอยู่ด้วย

หลักการที่ 4: เป็นต้นแบบของความไม่สมบูรณ์แบบ

ลูกไม่ได้ฟังสิ่งที่เราพูด พวกเขามองสิ่งที่เราทำ

คุณสามารถบรรยายเรื่องอันตรายของ โซเชียลมีเดีย ได้ทั้งคืน แต่ถ้าลูกเห็นคุณนั่งไถฟีดตอนอาหารเย็น ทุกอย่างที่คุณพูดจะไร้ความหมาย และลูกจะรู้ทันคุณ และพวกเขาจะเรียนรู้ว่า “ผู้ใหญ่พูดอย่างหนึ่ง แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง”

ดังนั้น เริ่มจากตัวเราเอง วางมือถือลงตอนที่ลูกพูดกับเรา ทำทุกครั้ง ไม่มีข้อยกเว้น

ถ้าเราไม่อยากให้พวกเขาเล่นมือถือตอนอาหารเย็น เราก็ไม่ควรทำ ถ้าเราอยากให้พวกเขาอ่านหนังสือ พวกเขาควรเห็นเราอ่านหนังสือ ไม่ใช่แค่เลื่อนดูข่าวบนหน้าจอ และที่สำคัญที่สุด ยอมรับเมื่อเราทำผิด “ขอโทษนะลูก พ่อกำลังเล่นมือถือแทนที่จะฟังลูก ช่วยบอกเรื่องนั้นอีกทีได้ไหม? ครั้งนี้พ่อจะฟังอย่างตั้งใจ”

ประโยคเล็กๆ แบบนี้สอนลูกเราสามอย่าง:

  1. ผู้ใหญ่ก็ผิดพลาดได้
  2. การยอมรับความผิดพลาดเป็นเรื่องที่ดี
  3. เราให้ความสำคัญกับพวกเขามากพอที่จะพยายามทำให้ดีขึ้น

หลักการที่ 5: สนทนาเรื่อง AI อย่างเปิดเผย

อย่าคิดว่าลูกเล็กเกินไปที่จะเข้าใจ

เด็กอายุเจ็ดขวบสามารถเข้าใจได้ว่า Algorithm คืออะไร ถ้าเราอธิบายอย่างเรียบง่าย เช่น “เห็น YouTube แนะนำวิดีโอใหม่ให้ลูกไหม? มันพยายามเดาว่าลูกจะชอบอะไร เพื่อให้ลูกดูต่อไปเรื่อยๆ เพราะยิ่งเธอดูนาน บริษัทก็ได้เงินมากขึ้น”

อธิบายให้พวกเขาเห็นว่า โฆษณาคืออะไร และทำไมมันถึงมีอยู่ ทำไม TikTok ถึงทำให้เราอยากเลื่อนดูต่อไปเรื่อยๆ ทำไมเกมถึงมี “รางวัล” ที่ทำให้เราอยากเล่นต่อ

สอนให้พวกเขาตั้งคำถาม “ใครได้ประโยชน์จากการที่ลูกทำแบบนี้?”

นี่คือการปลูกฝังทักษะการคิดวิเคราะห์แยกแยะ (critical thinking) ทักษะที่สำคัญที่สุดในยุคที่ทุกอย่างพยายามจูงใจเรา

เราไม่สามารถปกป้องลูกจาก Algorithm ได้ตลอดไป แต่เราสามารถสอนพวกเขาให้รู้ว่า Algorithm ทำงานยังไง และเลือกได้ว่าจะให้มันมีอำนาจมากแค่ไหนในชีวิตของพวกเขา

และนั่น อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้

ศิลปะของการเลี้ยงลูกในยุคที่เปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน

เราเดินทางด้วยกันมาถึงท้ายบทความที่พูดถึงสิ่งที่น่ากังวล สิ่งที่เราสูญเสีย และสิ่งที่เราอาจทำได้

และเรารู้ว่าผู้อ่านของเราอาจจะกำลังรู้สึกอย่างไร

บางทีคุณอาจรู้สึกหนักใจมากขึ้น รู้สึกว่าคุณทำผิดพลาดมาตลอด รู้สึกว่าคุณให้มือถือลูกบ่อยเกินไป นานเกินไป และตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว

หรือบางทีคุณอาจรู้สึกโกรธ โกรธที่เราต้องเป็นรุ่นแรกที่เผชิญกับปัญหานี้ โกรธที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มีทีมวิศวกรหลายพันคนที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกเรา ขณะที่เรามีแค่ตัวเราเองที่เหนื่อยล้าหลังเลิกงาน

หรือบางทีคุณแค่รู้สึกหมดหวัง

Mappa อยากบอกคุณคำเดิม อย่างที่เราบอกคุณเสมอ “เราไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ”

พวกเราจะล้มเหลว และผิดพลาดอีกหลายครั้ง

พวกเราอาจจะยื่นให้มือถือลูกเพราะเราเหนื่อย เพราะเราต้องการความสงบสักห้านาที เพราะเราเป็นมนุษย์ที่มีขีดจำกัด

เราจะลืมวางมือถือลงตอนที่ลูกพูดกับเรา เราจะเช็คอีเมลตอนอาหารเย็น เราจะบอกลูกว่า “รอแป๊บนึงนะลูก” แล้วลืมไป

และนั่นไม่เป็นไร ถ้าเรายังคงได้สติหลังจากนั้น ขอโทษ และพยายามต่อ

เพราะสิ่งที่ลูกต้องการไม่ใช่พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือพ่อแม่ที่พยายาม

พวกเขาไม่ต้องการคนที่ไม่เคยผิดพลาด พวกเขาต้องการคนที่ผิดพลาดแล้วยอมรับ ขอโทษ และพยายามทำให้ดีขึ้น

พวกเขาไม่ต้องการคนที่มีคำตอบทุกอย่าง พวกเขาต้องการคนที่พร้อมจะนั่งข้างๆ พวกเขา แม้จะไม่มีคำตอบ

พวกเขาต้องการคนที่อยู่ตรงนั้น อยู่จริงๆ

ลองจินตนาการไปด้วยกัน พ่อหรือแม่ในสวนสาธารณะ ที่ลูกชายของเขากำลังเล่นที่ห่วงยาง พ่อและแม่ไม่ได้เล่นมือถือ พวกเขาแค่นั่ง แล้วมองลูกกำลังเล่น 

เด็กปีนขึ้นลงเครื่องเล่น ปีนขึ้นไป ตกลงมา แล้วปีนขึ้นไปอีก ไม่ได้ดูมีอะไรพิเศษ

แต่เมื่อทุกครั้งที่เด็กหันกลับมามอง พ่อแม่ก็มองกลับไป

ทุกครั้งที่เด็กตะโกนมา “พ่อดูนี่สิ!” หรือ “แม่ เห็นนี่ไหม!” 

แล้วเราดู ไม่ใช่แค่เหลือบตาดู เรามองดูจริง ๆ

เวลาแบบนั้นอาจจะดูไม่ได้มีอะไร

แต่นั่นคือเวลาของการสร้างตัวตนทั้งหมด และนั่นคือทุกอย่างของการเติบโตอย่างมั่นคงของเด็กคนหนึ่ง ในช่วงเวลานั้น เขาจะได้รู้สึกว่า “ฉันมีคุณค่าพอที่มีคนสักคนมองดูเขา” “สิ่งที่ตัวฉันทำน่าสนใจพอ” และฉันสำคัญพอที่พ่อและแม่จะอยู่ตรงนี้ 

และนั่นคือสิ่งที่ไม่มี Algorithm ล้ำยุคแบบไหนสามารถให้กับลูกของเราได้

ยี่สิบปีต่อจากนี้ ลูกของคุณจะไม่จดจำว่าคุณให้ iPad รุ่นไหนกับพวกเขา

พวกเขาจะไม่จำว่าคุณดาวน์โหลดเกมอะไรให้ หรือให้ดูการ์ตูนตอนไหน

แต่พวกเขาจะจำได้

ว่ามีใครสักคนที่มองตาพวกเขาด้วยความตั้งใจหรือไม่

ว่ามีใครสักคนที่วางมือถือลงเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาในห้องหรือไม่

ว่ามีใครสักคนที่พร้อมจะฟังเรื่องราวน่าเบื่อของพวกเขาหรือไม่ แม้โลกทั้งใบจะไม่สนใจเขาเลยก็ตาม

ว่ามีใครสักคนที่นั่งข้างๆ พวกเขาในความมืดตอนกลางคืน ไม่พูดอะไร แค่อยู่ตรงนั้น และนั่นก็พอแล้ว

พวกเขาจะจำว่ามีใครสักคนที่เห็นพวกเขา ไม่ใช่ผ่านหน้าจอ แต่ผ่านดวงตา ผ่านหัวใจ ผ่านเวลาที่ไม่สามารถวัดค่าได้

ภารกิจของเราในฐานะพ่อแม่ในโลกอันวุ่นวาย

ในยุคที่ลูกๆ ของเราถูกออกแบบให้เป็นผู้บริโภคที่สมบูรณ์แบบ ผู้บริโภคที่เลื่อนเร็ว คลิกง่าย ซื้อทันที งานของเราคือช่วยให้พวกเขากลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

ไม่ใช่คนที่ไม่มีความผิดพลาด แต่คนที่รู้ว่าความผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของการเป็นมนุษย์

ไม่ใช่คนที่ไม่เคยเหงา แต่คนที่รู้ว่าความเหงาเป็นสิ่งที่สามารถทนได้ และบางทีก็เป็นสิ่งที่สอนอะไรบางอย่างแก่เรา

ไม่ใช่คนที่ไม่เคยเจ็บปวด แต่คนที่รู้ว่าความเจ็บปวดจะผ่านไป และเมื่อมันผ่านไป เราจะแข็งแกร่งขึ้น

ภารกิจของเราคือช่วยให้พวกเขากลายเป็นคนที่สามารถรัก เห็นอกเห็นใจ และให้อภัยได้ รวมถึงให้อภัยตัวเองด้วย

ท้ายที่สุดแล้ว ในวันหนึ่ง Algorithm จะเลือนหาย เทคโนโลยีใหม่จะเปลี่ยนไป แต่ความทรงจำเกี่ยวกับคนที่รักเรา ที่มองเห็นเรา ที่อยู่กับเราในช่วงเวลาชีวิตต่าง ๆ จะอยู่กับเราตลอดไป

ดังนั้น เหนื่อยล้าเถอะ ผิดพลาดไป บางทีให้มือถือกับลูกบ้างเมื่อคุณต้องการความสงบ

แต่อย่าลืมวางมันลงบ้าง

อย่าลืมมองตาพวกเขาบ้าง

อย่าลืมนั่งข้างๆ พวกเขาและปล่อยให้ความเงียบนั้นบอกพวกเขาว่า “ลูกไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อที่จะได้รับความรัก ลูกไม่จำเป็นต้องใครที่มีอะไรพิเศษ ลูกแค่เป็นตัวลูก และนั่นก็เพียงพอแล้ว

นี่คือบทเรียนที่ Algorithm ไม่มีวันสอนได้

และนี่คือเหตุผลที่เรา “พ่อและแม่” จะไม่มีวันแพ้


Writer

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts