- ความกังวลว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไรถ้าตัวเองต้องออกจากบ้านไปทำงาน ขณะท่ีลูกยังต้องเรียนผ่านหน้าจอ
- ถ้าคนสุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพใจมั่นคง ก็คงโฟกัสกับงานได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังกับหลายๆ เรื่องนอกเหนือจากงาน
- เพราะครอบครัวคือสถาบันที่เป็นพื้นฐานของพนักงานทุกคน
ถึงสถานการณ์โควิดในไทยยังไม่คลี่คลายดี แต่อย่างที่เราเห็น มาตรการป้องกันหลายๆ ด้านก็คลายลงบ้างแล้วหลังคนทยอยได้รับวัคซีนกันครบ 2 เข็ม
บริษัทต่างๆ เริ่มให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ หลังต้อง Work From Home แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่าวิถีชีวิตของคนจะกลับมาเป็นเหมือมเดิมได้ทั้งหมด
เราอาจเรียกช่วงนี้ว่าเป็นช่วงคาบเกี่ยวหรือหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่คนต้องค่อยๆ ปรับตัวอย่างระมัดระวัง ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้การระบาดของโรคกลับมารุนแรงอีกครั้ง
หลายๆ บริษัทเลยให้พนักงานทำงานแบบ Hybrid คือเข้ามาออฟฟิศ 2-3 วันต่อสัปดาห์ ที่เหลือก็ทำงานที่บ้านไป เช่นเดียวกับบางโรงเรียนที่ยังให้เด็กเรียนออนไลน์กันต่อ
เพราะอย่างไร สุขภาพของคนก็ต้องมาก่อน ทั้งสุขภาพกายและใจ การปรับกฎหรือนโบายของบริษัทที่แสดงให้เห็นว่า ‘แคร์’ คนทำงานจริงๆ
ถ้าคนสุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพใจมั่นคง ก็คงโฟกัสกับงานได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังกับหลายๆ เรื่องนอกเหนือจากงาน
เช่นเรื่องลูก ความกังวลว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไรถ้าตัวเองต้องออกจากบ้านไปทำงาน ขณะท่ีลูกยังต้องเรียนผ่านหน้าจอ หรือถ้าเพิ่งมีลูกในช่วงนี้ จะมีสวัสดิการอะไรมาซัพพอร์ตมากกว่าแต่ก่อนไหม
หลายๆ บริษัทเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงปรับนโยบายเพื่อรองรับและสนับสนุนพนักงานที่มีลูก
ไม่ว่าจะเป็นการลดวันทำงาน เพิ่มวันหยุด ปรับชั่วโมงการทำงานให้ยึดหยุ่นขึ้น ไปจนถึงซัพพอร์ตในด้านสถานที่ ประกันสุขภาพ หรือช่วยเหลือในค่าใช้จ่ายจำเป็น
Mappa ชวนพ่อแม่มาสำรวจนโยบายสำหรับพนักงานที่มีลูกของ 5 บริษัททั่วโลก ซึ่งล้วนได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัท ‘Family-Friendly’ หรือเป็นมิตรต่อคนมีครอบครัว
ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม มันคือกุญแจสำคัญที่ไขพาบริษัทเหล่านั้นเข้าไปสู่ประตูแห่งความสำเร็จอย่างท่ีเป็นอยู่
GoDaddy: พนักงานที่มีลูกอ่อน ได้สิทธิ์ลาพักร้อนเพื่อเลี้ยงลูกและฟื้นฟูร่างกาย 1 ปีครึ่ง
นอกจากจะเป็นที่รู้จักในฐานะบริษัทผู้ให้บริการจดทะเบียนชื่อโดเมนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
GoDaddy ยังถูกจดจำในฐานะบริษัทที่ให้ความเป็นห่วงเป็นใยทั้งผู้ใช้บริการและพนักงานของตัวเองอย่างจริงใจ ด้วยกฎและนโยบายที่เป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะกับพนักงานที่มีลูก หรือ ‘Working Parents’
พนักงานของ GoDaddy ที่มีลูกอ่อน จะได้สิทธิ์ลาพักร้อนเพื่อเลี้ยงลูก 12 สัปดาห์หลังคลอด และอีก 6 สัปดาห์เพื่อฟื้นฟูร่างกาย (รวมๆ แล้ว ปีครึ่ง) รวมถึงมีห้องสำหรับให้นมลูกที่ออฟฟิศด้วย
นอกจากนี้ ยังมีสวัสดิการด้านค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับลูก ค่าชดเชยการดูแลบุตร หรือบริการให้คำแนะนำสำหรับพนักงานที่กำลังจะแต่งงานสร้างครอบครัวกัน หรือแม้แต่พนักงานที่มีแพลนจะรับเด็กมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม
ปัจจุบัน GoDaddy มีพนักงานกว่า 1 หมื่นคน คอยดูแลลูกค้ามากกว่า 20 ล้านคนทั่วโลก แน่นอนว่าต้องทำงานหนัก แต่ถ้าเขามีโฟกัสแค่เรื่องงาน ไม่ต้องพะว้าพะวังเรื่องลูกหรือครอบครัว มันก็คงไม่หนักจนเกินไป
Edward Jones: ตารางการทำงานที่ยืดหยุ่น วันลาสูงสุด 16 สัปดาห์สำหรับพ่อแม่ และจัดหาประกันสุขภาพสำหรับลูก
บริษัทผู้ให้คำปรึกษาด้านการเงินและการลงทุนเก่าแก่ที่เพิ่งติดโผบริษัทที่ได้รับความพึงพอใจสูงสุดสำหรับนักลงทุนและบริษัทนายหน้าในปี 2564
แต่มากกว่านั้น ยังติดอันดับบริษัทที่น่าเข้าทำงานมากที่สุดเป็นลำดับต้นๆ ของโลกแทบทุกปี (บางโพลล์ ติดอันดับสูงกว่าบริษัทอย่าง Google ซะอีก)
นั่นเพราะ Edward Jones ขึ้นชื่อว่าดูแลพนักงานเป็นอย่างดี ทั้งความเป็นอยู่และสวัสดิการ เพื่อให้พนักงานรักและผูกพันในตัวองค์กร ซึ่งก็จะทำให้พร้อมที่จะทุ่มเททำงานอย่างเต็มความสามารถ
ยิ่งกับพนักงานที่มีลูก บริษัทยิ่งให้ความสำคัญ
ด้วยการออกนโยบายเพื่อซัพพอร์ตพนักงานกลุ่มนี้เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นตารางการทำงานที่ยืดหยุ่น วันลาที่สมเหตุสมผล สูงสุด 16 สัปดาห์สำหรับพ่อแม่ที่เพิ่งมีลูก หรือเพิ่งรับเด็กมาเลี้ยง ห้องเลี้ยงลูกที่ออฟฟิศ รวมถึงประกันสุขภาพลูกโดยเฉพาะ
นี่คือสิ่งที่ผู้บริหารให้คำสัญญากับพนักงาน และลงมือทำให้เห็นจริง ด้วยความเข้าใจในหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่เหมือนกัน
Deloitte: ใครมีปัญหาอะไรเรื่องเลี้ยงลูกก็เข้ามาบอกได้ บริษัทพร้อมรับฟังและหาทางออกให้
หนึ่งในเหตุผลที่ส่งให้บริษัทตรวจสอบบัญชี Deloitte เป็น Big Four ของวงการบัญชี-ที่ปรึกษาระดับโลก ทั้งยังติดอันดับบริษัทชั้นนำประจำปี 2021 ในเว็บไซต์หางานชื่อดังอย่าง LinkedIn
ก็เพราะความเป็น Family-Friendly ที่ใส่ใจในรายละเอียดของพนักงานอย่างจริงจังและจริงใจ
พนักงานของ Deloitte จะได้รับวันหยุดเพื่อไปใช้ชีวิตกับครอบครัว 16 สัปดาห์ ส่วนคนที่เพิ่งมีลูก จะได้รับเพิ่มอีก 10 สัปดาห์
รวมไปถึงวันและเวลาเข้างานที่สามารถปรับ-ลดได้ตามสถานการณ์ หรือเงินค่าเลี้ยงดูบุตร ในกรณีที่ขาดเหลือ ใครมีปัญหาอะไรเรื่องเลี้ยงลูกก็เข้ามาบอกได้ บริษัทพร้อมรับฟังและหาทางออกให้
ที่ให้ความสำคัญกับพนักงานพ่อแม่มือใหม่ขนาดนี้ นั่นเพราะ Deloitte เชื่อว่าการทำให้บริษัทเป็น Family-Friendly จะเป็นรากฐานสำคัญในการผลักดันองค์กรให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน
เพราะครอบครัวคือสถาบันที่เป็นพื้นฐานของพนักงานทุกคน
Salesforce: จัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนต่อมาแนะแนวให้กับลูกของพนักงานฟรี”
Salesforce เป็นซอฟต์แวร์การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management-CRM) ที่ได้รับการเชื่อมั่นเป็นอันดับ 1 ของโลก
บริษัทยักษ์ใหญ่ล้วนเลือกใช้บริการ Salesforce เพราะช่วยให้พวกเขาลดภาระการจัดการงานหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตข้อมูลลูกค้า ตรวจสอบ และประมวลผล ประหยัดเวลาในการทำรายงานสำหรับการขาย
ทำให้พนักงานสามารถโฟกัสกับการพูดคุยให้เข้าถึงหัวใจลูกค้าได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องห่วงงานข้างหลัง
เช่นเดียวกัน ตัวบริษัท Salesforce ก็จัดการงานหลังบ้านของพนักงานตัวเองให้เสร็จสรรพ เพื่อให้ทุกคนมีสมาธิกับการทำงานได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีลูกมีครอบครัว
นอกจากจะถูกจดจำว่าเป็นบริษัทชั้นนำทางด้านนวัตกรรมทันสมัยแล้ว Salesforce ยังเป็น Family-Friendly ที่เป็นมิตรต่อพนักงานที่มีลูก มาตลอด 20 ปีนับแต่ตั้งบริษัท
จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่น่าทำงานที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 6 เมื่อปี 2020
แนวคิดหลักของผู้บริหาร Salesforce คือการทำออฟฟิศให้เป็น “บ้าน” ที่อบอุ่นของพนักงานทุกคน พร้อมรับฟังและแก้ปัญหาอย่างไร้อคติ ดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียม และดูแลคนที่บ้านของพนักงานด้วย
พนักงานที่มีลูกเล็กจะได้รับอนุญาตให้ทำงานจากบ้านได้ (สลับกับเข้าออฟฟิศ) ทั้งยังได้รับเงินค่าเลี้ยงดูบุตร บริการตรวจเช็คและดูแลสุขภาพถึงบ้าน
รวมถึงวันลาคลอดสำหรับแม่มือใหม่ 26 สัปดาห์ เพื่อให้แม่ได้ผูกสัมพันธ์กับลูกในช่วงแรกเกิดอย่างแน่นแฟ้น
แต่ที่เจ๋งที่สุดคือ นโยบายส่งเสริมด้านการศึกษาของลูกวัยมัธยม บริษัทจะหาผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนต่อมาแนะแนวให้กับลูกของพนักงานแบบฟรีๆ เพื่อไกด์ให้เด็กและพ่อแม่เห็นแนวทางว่าจะเรียนต่อด้านไหนในอนาคต
ไปจนถึงคอร์สเวิร์คช็อปทั้งแบบกลุ่มและเดี่ยวสำหรับทุกครอบครัว หรือแม้แต่บริการให้คำปรึกษาในการเลี้ยงลูกด้วย
Dtac: มีห้องนมแม่ มีศูนย์เด็กเล็ก และมีเครื่องเล่นให้ลูกเล่นระหว่างรอแม่ทำงานด้วย
“ความสุขของพนักงานคือพื้นฐานความสำเร็จของบริษัท”
คือแนวคิดที่ Dtac บริษัทผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ในไทย ยึดถือและเชื่อมั่นมาตลอด
เป็นเหตุผลที่ Dtac ทำออฟฟิศให้เป็น Happy Workplace ในทุกมิติ ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์ รวมไปถึงลักษณะการทำงานที่ยืดหยุ่น อิสระ และระบบสวัสดิการที่ให้ประโยชน์ครอบคลุมพนักงานทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย
แน่นอนว่า ทุกคนในที่นี้รวมถึงพนักงานที่มีลูกด้วย
ช่วงที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่า การทำงานที่บ้านก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีไม่ยิ่งหย่อนกว่าทำที่ออฟฟิศ หรือเผลอๆ จะดีกว่า บริษัทจึงให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ ให้พนักงานไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็ได้ ขอแค่ยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าเดิม มองเห็นเป้าหมายเดียวไปกับบริษัทเหมือนเดิม
นอกจากนี้ ยังให้สิทธิพนักงานหญิงลาคลอดได้ 6 เดือน โดยได้เงินเดือนครบทุกเดือน (เป็นบริษัทแรกในไทย) และมีห้องนมแม่ที่มีอุปกรณ์พร้อม มีศูนย์เด็กเล็ก และมีเครื่องเล่นให้ลูกเล่นระหว่างรอแม่ทำงานด้วย
รวมถึงมีการเชิญแพทย์มาให้ความรู้ความเข้าใจแก่แม่ๆ ที่ต้องทำงานไปพร้อมเลี้ยงลูก เพื่อช่วยให้พนักงานสามารถทำทั้งสองอย่างควบคู่ไปด้วยกันได้อย่างมีคุณภาพ