ตอนที่ 4/7 A.A. Milne พ่อผู้ซ่อนความอ่อนโยนเอาไว้ในผืนป่าร้อยเอเคอร์

จากบทความชุด“เมื่อพ่อแม่เขียนโลกให้ลูก”: สำรวจวรรณกรรมผ่านสายตาของ 6 นักเขียนที่เปลี่ยนความเป็นพ่อแม่ให้กลายเป็นเรื่องเล่าอันเป็นนิรันดร์

“บางครั้ง สิ่งเล็ก ๆ ก็ครอบครองพื้นที่ใหญ่โตในหัวใจของเราได้” A.A. Milne, Winnie-the-Pooh

เมื่อพูดถึง A.A. Milne ภาพแรกที่หลายคนนึกถึงอาจเป็นหมีน้อยท้องป่องที่ชอบกินน้ำผึ้ง แต่เบื้องหลังตัวละครแสนอบอุ่นนี้คือชายคนหนึ่งที่แบกรับความเจ็บปวดจากสงคราม ความโดดเดี่ยว และความสับสนในบทบาทของการเป็นพ่อ

จากแนวหน้าสงคราม สู่แนวหลังของชีวิตครอบครัว

Alan Alexander Milne เป็นนักเขียนและนักเขียนบทละครที่มีชื่อเสียงในอังกฤษช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เขาผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างแหลกสลาย และหันหลังให้กับชีวิตที่เร่งรีบเพื่อมาเลี้ยงดู Christopher Robin Milne ลูกชายคนเดียวของเขา

ในขณะที่อังกฤษกำลังฟื้นตัวจากบาดแผลของสงคราม การเขียนเรื่องเล่าให้ลูกชายฟังในบ้านชนบทที่เงียบสงบ กลายเป็นที่หลบภัยของ Milne และเป็นแหล่งบ่มเพาะของตัวละครที่เรารู้จักดีใน Winnie-the-Pooh

ของเล่นในห้องเด็กกับโลกจินตนาการที่มีชีวิต

หมี Pooh, Piglet, Eeyore, Tigger และเพื่อน ๆ ล้วนได้รับแรงบันดาลใจจากของเล่นผ้าของลูกชาย เขาไม่ได้ประดิษฐ์โลกแฟนตาซีสุดโต่ง แต่สร้างโลกที่เต็มไปด้วยความเรียบง่าย อ่อนโยน และเต็มไปด้วยบทสนทนาที่เหมือนจะไร้สาระ แต่กลับแตะความรู้สึกบางอย่างในใจเราได้อย่างแม่นยำ

Winnie-the-Pooh ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าของสัตว์น้อยในป่า แต่เป็นสมุดบันทึกของความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก เป็นการเก็บภาพวัยเยาว์ของ Christopher Robin ไว้ในรูปแบบที่จะอยู่เหนือกาลเวลา

พ่อที่เขียนจากความกลัวจะสูญเสีย

นักวิจารณ์หลายคนมองว่า Milne เขียน Pooh ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวที่จะสูญเสียช่วงเวลาวัยเยาว์ของลูกชายไป หรือสูญเสียความสัมพันธ์นั้นจากการเติบโตของลูก บางคนตีความว่า เรื่องเล่าของหมี Pooh คือการถนอมโลกแห่งความไร้เดียงสาไว้ให้คงอยู่ แม้เวลาจะเปลี่ยน

แต่ในทางกลับกัน Milne เองก็พบว่าความสำเร็จของ Winnie-the-Pooh กลายเป็นทั้งพรและคำสาป เพราะมันบดบังงานอื่น ๆ ของเขา และยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Christopher Robin กลับเริ่มแตกร้าว เมื่อลูกชายรู้สึกว่าเขากลายเป็นภาพจำสาธารณะที่ไม่อาจหนีไปไหนได้

ศิลปะแห่งความนิ่ง

Milne มีพรสวรรค์ในการสร้างบทสนทนาที่นิ่ง เรียบ และเปิดช่องว่างให้ผู้อ่านแทรกความรู้สึกของตนเองลงไป ทุกประโยคใน Winnie-the-Pooh แม้จะดูเหมือนบทพูดธรรมดา แต่ล้วนเต็มไปด้วยชั้นความหมาย ไม่ว่าจะเป็นความเหงา ความรัก การรอคอย หรือแม้แต่การยอมรับความไม่สมบูรณ์ของชีวิต

เขาไม่ได้เขียนเพื่อสอน แต่เขียนเพื่อ “อยู่ด้วย” กับความรู้สึกแบบที่เด็กไม่สามารถอธิบายได้ และผู้ใหญ่เองก็ลืมไปนานแล้วว่าตนเคยรู้สึกเช่นไร

ตัวละครในฐานะเงาสะท้อนชีวิต

บางคนเปรียบตัวละครใน Winnie-the-Pooh กับบุคลิกภาพในจิตวิเคราะห์: Eeyore ที่ซึมเศร้า, Piglet ที่วิตกกังวล, Tigger ที่ตื่นเต้นเกินเหตุ, Rabbit ที่ชอบควบคุม และ Pooh ที่นิ่ง เนิบ แต่ซื่อตรง พวกเขาคือภาพสะท้อนของจิตใจที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ของผู้ใหญ่หลังสงคราม ที่พยายามประคับประคองตัวเองด้วยมิตรภาพเล็ก ๆ

ตัว Christopher Robin ในหนังสือ ก็คือลูกชายของเขาในวัยไร้เดียงสา แต่เมื่อลูกชายโตขึ้น ตัวละครนั้นก็กลายเป็นภาพเงาที่ทำให้ลูกชายรู้สึกถูกล่ามไว้กับอดีต — เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องเล่าที่ยิ่งกว่านิทาน เพราะมันมีทั้งความรัก ความเศร้า และร่องรอยของความเสียใจที่ไม่เคยพูดออกมา

นิทานที่หายใจได้

A.A. Milne สร้าง Winnie-the-Pooh ด้วยความละเอียดอ่อนของพ่อผู้ไม่อยากลืมช่วงเวลาที่ลูกยังเป็นเด็ก และแม้จะมีแผลใจจากการเป็นพ่อที่ลูกอาจรู้สึกว่าไม่เข้าใจเขาในภายหลัง แต่งานเขียนของเขากลับเข้าใจเด็กมากกว่าคำสอนใด ๆ

เขาไม่ใช่นักเล่านิทานที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นพ่อคนหนึ่งที่พยายามจะบันทึกความรักอย่างเงียบ ๆ บนหน้ากระดาษ และทำให้มันยังหายใจได้จนถึงวันนี้


Writer

Avatar photo

กองบรรณาธิการ Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts