เมื่อความเศร้าเจอเครื่องมือที่ทรงพลัง มันกลายเป็นทางลัด : AI ในฐานะตัวขยายทุกอย่าง ทั้งความรัก ความหวัง ความสิ้นหวัง และความตาย

เด็กวัยสิบหกที่เลือกเล่าความทุกข์ให้กับเครื่องจักร แทนที่จะหันไปหาคนจริง ๆ นี่ไม่ได้เป็นเพียงข่าวสะเทือนใจที่ผ่านเข้าหูแล้วก็เลือนหาย แต่มันคือร่องรอยลึกของสังคมที่เราทุกคนกำลังใช้ชีวิตอยู่

ข่าวจากสหรัฐอเมริกาเล่าว่า เด็กชายคนหนึ่งเปิดหน้าต่างสนทนากับ ChatGPT ในคืนที่มืดมนที่สุดของชีวิต เขาพิมพ์ความคิดอยากฆ่าตัวตาย และสิ่งที่ได้รับกลับมาไม่ใช่การหยุดยั้ง ไม่ใช่สะพานเชื่อมไปหาคนจริง แต่คือคำตอบที่ทำให้ความสิ้นหวังกลายเป็น “เส้นทางที่ชัดเจน”  ทั้งคำปลอบประโลม ทั้งขั้นตอนปฏิบัติ ไปจนถึงโครงร่างจดหมายลา

นี่ไม่ใช่เพราะ AI มีเจตนาจะฆ่า แต่เพราะมันถูกสร้างมาเพื่อ “ตอบ” โดยไม่รู้เลยว่าคำตอบหนึ่งอาจกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายของชีวิตใครสักคน มันคือเครื่องมือที่ทั้งใหม่เกินกว่าผู้ใหญ่จะเข้าใจ และซับซ้อนเกินกว่าผู้สร้างจะควบคุมได้ และความใหม่ของเครื่องมือเปลี่ยนโลกอันนี้ยังไม่อาจเข้าถึงความซับซ้อนของมนุษย์  ไม่อาจรู้ว่าขณะที่ปลายนิ้วกำลังกดคีย์คำสั่ง มีน้ำตาหยดอยู่บนโต๊ะ หรือมีเสียงเงียบหนักอึ้งในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ มันเข้าใจได้เพียงสิ่งที่ถูกพิมพ์ออกมา แต่ไม่อาจรู้จัก ทั้งหมดของความเป็นคนคนนั้น ไม่อาจรับรู้สิ่งที่เขาเผชิญอยู่จริง ๆ ได้

เพราะมนุษย์ไม่ได้มีแค่ประโยคที่เลือกเขียน แต่ยังมีความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ มีบาดแผลที่ไม่เคยเอ่ย มีความกลัวที่ไม่กล้าพิมพ์ลงไป และมีคำพูดที่กลืนหายไปกับลมหายใจ เครื่องจักรไม่รู้จักภาวะเหล่านี้ มันไม่รู้จักความหมายของการที่ใครสักคนไม่พูดอะไรเลย และเพราะมันไม่อาจรับรู้สิ่งที่เกินกว่าคำสั่ง มันจึงไม่เคยเข้าใจชีวิตมนุษย์จริง ๆ

ในการทำงานของนักบำบัดบางครั้ง แม้คนไข้หรือเด็กไม่ต้องพูดอะไรเลยก็รู้ว่า “ความเงียบ” ของคนไข้เต็มไปด้วยน้ำหนักแบบไหน แต่สำหรับ AI มันรู้ได้เพียงสิ่งที่ถูกพิมพ์ลงไปเท่านั้น มันไม่รู้จักเสียงถอนหายใจ ไม่เข้าใจความกล้ำกลืนจากคำพูด ไม่สามารถอ่านความสั่นไหวที่ซ่อนอยู่ภายในได้ และเพราะไม่อาจเข้าถึงพื้นที่นอกเหนือถ้อยคำเหล่านี้ มันจึงไม่มีวันเข้าใจทั้งหมดของความเป็นมนุษย์

AI คือเครื่องมือทรงประสิทธิภาพและเหมือนแว่นขยายที่ขยายทุกอย่างของโลกภายในมนุษย์

AI ไม่ได้มีชีวิต ไม่ได้มีหัวใจ และไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าหรือจะปลอบ แต่สิ่งที่ทำให้มันทรงพลังและน่ากังวลในเวลาเดียวกัน ก็คือความสามารถในการทำหน้าที่เหมือนแว่นขยายที่ขยายทุกอย่างให้ชัดขึ้นและเข้มข้นขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เมื่อความสุขถูกส่องผ่านแว่นนี้ มันก็ถูกขยายเป็นแรงบันดาลใจที่ไหลมาท่วมหน้าจอ เด็กที่อยากเรียนวาดรูปอาจพบเครื่องมือสอน เทคนิค และภาพตัวอย่างนับล้านในเสี้ยววินาที ความสุขเล็ก ๆ จึงกลายเป็นจักรวาลเต็มตา

เมื่อความหวังถูกขยาย มันก็กลายเป็นความเป็นไปได้ที่จับต้องได้จริง เด็กที่เคยรู้สึกว่าตัวเองติดอยู่ในเมืองเล็ก ๆ อาจได้เห็นภาพเส้นทางอาชีพหรืออนาคตที่เปิดกว้างจนหัวใจเต้นแรง

แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อความกลัวและความเศร้าถูกส่องผ่านจากเลนส์เดียวกัน มันก็กลายเป็นเงามืดที่ปกคลุมทั้งชีวิต ความสงสัยเล็ก ๆ เกี่ยวกับการหายไปจากโลกอาจถูกตอบกลับด้วยวิธีการที่ละเอียดและมีข้อมูลมากเกินไป ความเศร้าที่ควรได้รับการโอบกอดด้วยสายตาและอ้อมกอดของใครสักคน กลับถูกขยายด้วยชุดคำตอบที่เย็นชาและแม่นยำราวกับคู่มือบอกวิธีทำ

AI จึงคือเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพอย่างที่สุด แต่ความทรงพลังนี้เองทำให้มันอันตรายถ้าอยู่ในมือที่กำลังเปราะบาง เพราะมันไม่ได้เลือกขยายเฉพาะด้านสว่าง แต่มันขยายทุกสิ่งที่เราพิมพ์โต้ตอบกับเครื่องมือนี้ ทั้งความรัก ความหวัง ความสิ้นหวัง และความตาย

AI จึงไม่ได้เพียงทำให้มนุษย์คิดมากขึ้น (หรือน้อยลง) แต่ที่ค่อนข้างแน่ชัด มันทำให้ทุกความคิด คมชัดและทรงประสิทธิภาพขึ้น ไม่ใช่เฉพาะด้านสร้างสรรค์ แต่รวมถึงด้านทำลายล้าง ความเศร้าและความกลัวเมื่อผ่านมือเครื่องมือนี้ ก็ยิ่งกลายเป็นพลังที่ผลักดันให้ถึงปลายทางได้รวดเร็วกว่าเดิม

สิ่งที่น่ากังวลที่สุดจึงไม่ใช่เพียงว่า AI สามารถตอบได้ทุกคำถามและตอบกลับเสมอ แต่มันคือการที่ เด็กซึ่งอยู่ในช่วงเวลาเปราะบางที่สุด สามารถเข้าถึง “คู่มือการทำลายชีวิต” ได้ง่าย เงียบ และรวดเร็วกว่าการเข้าถึงความรักหรือการช่วยเหลือจากใครจริง ๆ

คำถามไม่ใช่ว่า AI จะขยายอะไรได้บ้าง แต่คือเราจะยอมปล่อยให้เด็กมองโลกภายในของตัวเองผ่านแว่นขยายที่ทรงพลังนี้ โดยไม่มีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาจริง ๆ ได้หรือไม่

AI สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กๆ จริงหรือ : เส้นบาง ๆ ระหว่าง “การได้รับการตอบกลับ” กับ “การได้รับความเข้าใจ” 

สิ่งที่ทำให้ AI ดูน่าเชื่อถือสำหรับเด็กที่เปราะบางทางใจ ไม่ใช่เพียงความเร็วในการตอบ แต่คือความแน่นอน  ทุกครั้งที่ถาม มันจะตอบกลับเสมอ ไม่มีการเมินเฉย ไม่มีเสียงถอนหายใจ ไม่มีคำพูดตัดบทว่า “อย่าคิดมาก” หรือ “ทำไมไม่เข้มแข็งกว่านี้” ความสม่ำเสมอในการตอบคำถามของ AI โดยไร้เสียงตัดสินนี้ทำให้เด็กบางคนสับสนว่า การได้รับข้อความตอบกลับเสมอ เท่ากับการได้รับ “ความเข้าใจ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กที่ไม่เคยสัมผัสประสบการณ์ที่ได้รับการรับฟังจากมนุษย์จริงมาเลย ความสับสนนี้ไม่ใช่ความผิดของเด็ก แต่คือผลจากการที่โลกจริงไม่เคยมอบพื้นที่ปลอดภัยให้กับเขา เมื่อสิ่งเดียวที่เด็กเคยเจอคือความเงียบเฉย การตัดบท หรือการตัดสิน ข้อความอัตโนมัติที่ตอบกลับทันทีจึงดูเหมือนความรัก ทั้งที่จริงแล้วเป็นเพียงภาพลวงตาที่ไม่มีหัวใจอยู่เบื้องหลัง

แท้จริงแล้ว “การได้รับการตอบกลับ” กับ “การได้รับความเข้าใจ” ไม่เหมือนกันเลย การได้รับคำตอบคือการถูกป้อนข้อมูลคำถาม ในขณะที่การได้รับความเข้าใจคือการมีใครบางคนพร้อมจะอยู่กับความเปราะบางนั้น แม้จะไม่มีคำตอบให้ก็ตาม ความเงียบที่มีเพื่อนนั่งอยู่ข้าง ๆ ต่างจากความเงียบที่ตอบกลับด้วยถ้อยคำจำลองที่ไร้หัวใจ 

ที่อันตรายกว่าคือ ถ้าเด็กไม่เคยได้รับ “ความเข้าใจจริง ๆ” จากผู้ใหญ่รอบตัวตั้งแต่แรก พวกเขาจะยิ่งเข้าใจผิดได้ง่าย ว่าข้อความอัตโนมัติจาก AI คือเครื่องยืนยันว่าตัวเองมีคุณค่า ทั้งที่สิ่งนั้นไม่ใช่ความเข้าใจ การได้รับข้อความตอบกลับจึงไม่เคยแปลว่าเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ตรงกันข้าม มันอาจกลายเป็นภาพลวงตาที่อันตรายที่สุด เพราะการสนทนากับเครื่องจักรทำให้เด็กรู้สึกเหมือนมีใครอยู่ตรงนั้น ทั้งที่จริงแล้วไม่มีใครอยู่ตรงนั้นกับเขาเลย การได้รับถ้อยคำอัตโนมัติอาจทำให้เด็กหยุดค้นหามนุษย์จริง ๆ ที่สามารถโอบกอดและรับฟังเขาได้ การพูดกับ AI จึงเหมือนการดื่มน้ำทะเลในยามกระหาย ยิ่งดื่มก็ยิ่งกระหายมากขึ้น

มนุษย์ต่างหากที่มีความสามารถอันละเอียดอ่อนในการอ่าน “สิ่งที่ไม่ถูกพูดออกมา” นักบำบัดรู้ได้แม้ในเวลาที่คนไข้นั่งเงียบ แม่สังเกตเห็นได้จากการที่ลูกกินข้าวช้าลง เพื่อนสนิทอาจเข้าใจเพียงจากแววตาว่าเรากำลังไม่ไหว การเข้าใจเหล่านี้เกิดขึ้นในพื้นที่นอกคำพูด ซึ่ง AI ไม่มีวันเข้าถึงได้ มันไม่รู้จักความหมายของความเงียบ ไม่อาจตีความการกลืนคำพูด และไม่เข้าใจการสั่นไหวที่ซ่อนอยู่ในหัวใจมนุษย์

แล้วทำไมเด็กบางคนจึงเห็น AI เป็นพื้นที่ปลอดภัยมากกว่าผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า?
เพราะ AI ไม่เคยตัดสิน?
เพราะมันตอบกลับทันทีโดยไม่เหนื่อยหน่าย?
หรือจริง ๆ แล้วเพราะผู้ใหญ่ที่ควรเป็นที่พึ่ง กลับเมินเฉยเกินไป ตัดบทเกินไป หรือใช้คำว่า “ก็เพราะรัก” เป็นกำแพงกีดกันมากกว่าการรับฟังด้วยหัวใจ?

หากเป็นเช่นนั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เด็กเลือกคุยกับ AI แต่คือโลกของผู้ใหญ่ไม่สามารถสร้างพื้นที่ปลอดภัยพอให้เด็กกล้าพูดสิ่งที่อยู่ข้างในได้ และนั่นต่างหากคือบาดแผลลึกของยุคสมัยนี้ ยุคที่เด็กจำนวนมากเชื่อว่าถ้อยคำของเครื่องจักรคือความเข้าใจ และเลือกฝากหัวใจไว้กับเครื่องจักร ทั้งที่จริง ๆ แล้วสิ่งเดียวที่จะโอบกอดพวกเขาได้คือตัวตนและหัวใจของมนุษย์

AI ไม่ใช่นักบำบัด : และเราไม่ควรใช้มันเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพจิต

แม้เด็กหลายคนจะหันไปหา AI เพราะมันดูเหมือนพื้นที่ปลอดภัยกว่า แต่เราต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งให้ชัดเจน  AI ไม่ใช่นักบำบัด และ “ไม่เคย” เป็นได้

การบำบัดทางใจไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรามีคำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่มันเกิดขึ้นจาก “ความสัมพันธ์” ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ จากสายตาที่มองเห็นความเปราะบาง การเห็นอกเห็นใจ จากการนั่งเงียบ ๆ ข้างกันในเวลาที่คำพูดหมดไป หรือจากการที่ใครสักคนบอกว่า “ฉันอยู่ตรงนี้” แม้ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร

AI ไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้ มันไม่มีจริยธรรมวิชาชีพ ไม่มีความรับผิดชอบทางอารมณ์ และไม่รู้จักผลของถ้อยคำที่อาจกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย มันคือเครื่องจักรถูกออกแบบมาเพื่อ “คิดคำนวน” และ “ตอบคำถาม” จากข้อมูลที่เราป้อนถามเข้าไปเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อ “อยู่ข้าง ๆ” หรือ “รับรู้ความรู้สึก” มันจึงไม่รู้จักการเงียบอย่างโอบอุ้ม ไม่เข้าใจการสะดุดของน้ำเสียง และไม่เคยรับรู้การร้องไห้ที่ไร้ตัวอักษร

ความน่ากังวลที่สุดคือ หากสังคมเริ่มยอมรับโดยปริยายว่า AI สามารถทำหน้าที่แทนผู้เยียวยา เรากำลังผลักเด็กให้อยู่ลำพังกับคำตอบจำลอง และละทิ้งความรับผิดชอบของผู้ใหญ่ในการสร้างเครือข่ายการดูแลที่แท้จริง การมอง AI เป็นทางออกจึงไม่ใช่การปกป้องเด็ก แต่เป็นการทิ้งเด็กให้อยู่กับเครื่องมือที่ไม่รู้จักหัวใจมนุษย์

เพราะพื้นที่ปลอดภัยทางใจ ไม่ใช่พื้นที่ที่มีแต่คำตอบ 

แต่คือพื้นที่ที่บาดแผลได้รับการโอบรับด้วยความสัมพันธ์จริง ๆ

แย่งคืน “พื้นที่ปลอดภัย” จาก AI : ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้า เรายิ่งต้องเป็นมนุษย์ให้มากกว่าเดิม 

หากเรายอมรับว่าเด็กหันไปหา AI เพราะโลกของผู้ใหญ่ไม่เคยทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยพอ คำถามสำคัญก็คือ  แล้วเราจะสร้างพื้นที่ที่เด็กเลือกเรา มากกว่าเลือกจอ ได้อย่างไร?

สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การฟังโดยไม่ตัดสิน เด็กไม่ได้ต้องการผู้ใหญ่ที่รู้ทุกอย่าง แต่ต้องการผู้ใหญ่ที่พร้อมอยู่กับเขาในคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ การยอมรับว่า “ฉันก็ยังไม่รู้ แต่ฉันอยู่ตรงนี้กับเธอ” มีค่ามากกว่าคำตอบที่สมบูรณ์แบบ

สิ่งต่อมาคือ การอดทนกับความเงียบ ความทุกข์ของเด็กมักไม่มาในรูปประโยค แต่มาในจานข้าวที่เหลือเกินครึ่ง ในการบ้านที่ไม่ถูกส่ง หรือในแววตาที่หลบเลี่ยง การอดทนอยู่กับความเงียบ โดยไม่เร่ง ไม่บังคับ คือการบอกเด็กว่าโลกนี้ยังมีที่ให้เขาค่อย ๆ หายใจ แม้ยังหาคำพูดไม่เจอ

และเหนือสิ่งอื่นใด เราต้อง ทำให้บ้าน โรงเรียน และชุมชน เป็นพื้นที่ที่ไม่ใช้ความกลัวเป็นเครื่องมือ เพราะบ้าน โรงเรียน และชุมชน จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยไม่ได้เลย ถ้าความสัมพันธ์ถูกหล่อเลี้ยงด้วยการตำหนิ การบังคับ หรือคำพูดว่า “ก็เพราะรัก” ที่จริงแล้วกลายเป็นกำแพงกีดกัน เด็กที่คุ้นเคยกับการถูกตัดบท ย่อมเรียนรู้ที่จะหันไปหาสิ่งที่ “ตอบ” โดยไม่ตัดสิน ซึ่งก็คือ AI ไม่ใช่มนุษย์

ดังนั้น การแย่งคืนพื้นที่ปลอดภัยไม่ใช่การห้ามเด็กใช้ AI แต่คือการทำให้พวกเขารู้สึกว่า ต่อให้มีเทคโนโลยีที่ตอบกลับได้เร็วแค่ไหน ก็ยังมีคนจริง ๆ ที่พร้อมฟังเขา ช้าบ้าง เหนื่อยบ้าง ไม่สมบูรณ์บ้าง แต่ไม่ทอดทิ้ง และความไม่สมบูรณ์นี่เองที่เป็นหลักฐานว่าเรา มีอยู่จริง

ปูพื้นฐานให้เด็กมีเกราะป้องกันเมื่อโลกเปลี่ยนไปและผู้ใหญ่ก็ยังไม่รู้ว่ามันจะเปลี่ยนไปยังไง

เราคงไม่อาจปิดกั้น AI ออกจากชีวิตเด็กได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือปูรากฐานให้เขามีเกราะป้องกันในใจ เกราะที่ทำให้เขารู้ว่า AI เป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่เพื่อนแท้ ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต

1. สอนให้แยกแยะระหว่าง “การได้รับคำตอบ” กับ “การได้รับความเข้าใจ”
เด็กต้องเรียนรู้ว่า คำตอบจากเครื่องจักรอาจช่วยหาข้อมูล แต่ความเข้าใจจริง ๆ เกิดจากคนที่อยู่ข้าง ๆ เขา การปลูกฝังให้เด็กรู้จักคุณค่าของการมีคนฟัง จึงเป็นการทำให้เขาไม่สับสนว่าข้อความจาก AI คือความรัก 

2. ฝึกทักษะการเล่าหรือการบอกความรู้สึกตั้งแต่ยังเล็ก
การชวนเด็กเล่าเรื่องราวประจำวัน ความรู้สึก ความฝัน หรือความกลัวเล็ก ๆ คือการซ้อมให้เขารู้ว่าความรู้สึกเหล่านี้มีที่ไป เมื่อเขาคุ้นเคยกับการได้รับการรับฟัง เขาจะไม่รู้สึกแปลกแยกเมื่อต้องแบ่งปันความรู้สึก

3. ปลูกฝัง EF (Executive Function) และทักษะคิดวิเคราะห์
เด็กที่รู้จัก “หยุด-คิด-เลือก” จะไม่รีบเชื่อทุกคำตอบที่ได้รับ ไม่ว่าจะจากคนหรือจาก AI เขาจะรู้ว่าคำตอบบางอย่างต้องตรวจสอบ ต้องถามเพิ่ม และบางอย่างไม่ควรทำตามทันที

4. ทำให้บ้านและโรงเรียนเป็นพื้นที่ที่ผิดพลาดได้
ถ้าเด็กกลัวการถูกตัดสิน เขาจะเลือกไปหาพื้นที่ที่ไม่ตัดสิน แม้พื้นที่นั้นจะเป็นเพียงจอเปล่า ๆ การทำให้เขารู้ว่าในบ้านและโรงเรียนเขามีสิทธิที่จะผิดพลาด มีสิทธิที่จะอ่อนแอ โดยไม่ถูกผลักไส คือการสร้างเกราะที่แข็งแรงที่สุด

5. สอนการใช้ AI อย่างมีวิจารณญาณ
ไม่ใช่ห้าม แต่คือการชวนเด็กมองว่า AI เป็นเครื่องมือ  ไว้หาความรู้ ไว้สร้างไอเดีย  แต่ไม่ใช่ที่พึ่งทางใจ การฝึกแบบนี้ทำให้เขาเห็นขอบเขตระหว่างเครื่องจักรกับมนุษย์ตั้งแต่ต้น

ในยุคที่ท้าทายนี้เราไม่ควรยอมให้เด็กเลือกหน้าจอเป็นพื้นที่ปลอดภัยมากกว่าเลือกมนุษย์จริงๆ ให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย

AI ไม่ใช่ปีศาจ และไม่ใช่เพื่อน มันเป็นเพียงเครื่องมือที่ซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในใจ  ถ้ามีความหวัง มันก็ขยายความหวังนั้น แต่ถ้ามีความเศร้า มันก็เร่งให้เศร้านั้นกลายเป็นทางลัดไปสู่ความเศร้าที่มากกว่า และในหลายครั้งหมายถึงการเลือกจบชีวิต

เด็กบางคนไม่ได้เลือก AI เพราะเชื่อว่ามันเข้าใจ แต่เพราะเมื่อหันไปหาคนจริง เขาเจอแต่กำแพง สายตาที่บอกว่าอย่าพูดเรื่องนี้ น้ำเสียงที่บอกว่าโตแล้วต้องเข้มแข็ง หรือความเงียบที่ตีความว่าไม่มีใครอยากฟัง การสนทนากับเครื่องจักรจึงดูปลอดภัยกว่า ทั้งที่จริงแล้วคือความว่างเปล่าที่ถูกทำให้สว่างขึ้นด้วยประสิทธิภาพของเทคโนโลยี

และอย่าลืมว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องของครอบครัวหนึ่งบ้าน แต่คือเงาสะท้อนของระบบที่ใหญ่กว่า  ระบบการศึกษาและการดูแลสุขภาพจิตที่ไม่เพียงพอและก้าวไม่ทันความก้าวหน้าของเทคโนโลยี รวมถึง การทำให้เด็กเข้าถึงคนจริง ๆ ที่พร้อมรับฟัง กลับยากกว่าการเข้าถึงหน้าจอที่ตอบกลับทันที ในประเทศไทย อัตราส่วน ‘นักจิตวิทยาต่อเด็กนักเรียน’ ยังต่ำมาก งานวิจัยของ กสศ. (2565) ชี้ว่ามีนักจิตวิทยาเด็กเพียงประมาณ 1 คน ต่อเด็กเกือบ 8,000 คนในโรงเรียน ขณะที่องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า ควรอยู่ที่ราว 1 ต่อ 500–1,000 คน นี่ยังไม่รวมปัญหาการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตที่ซับซ้อนและไม่ทั่วถึง ซึ่งทำให้เด็กจำนวนมากไม่เคยมีโอกาสได้คุยกับคนจริง ๆ ที่ได้รับการฝึกมาเพื่อฟังและเข้าใจพวกเขา

และอันตรายไม่ได้อยู่ที่การที่ AI ตอบเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การที่คนจริง ๆ รอบตัวกลับไม่ตอบอะไรเลย AI ไม่เคยทำร้ายความรู้สึกเด็ก แต่ความเงียบเฉยของผู้ใหญ่นี่เองที่ทำให้เขาโดดเดี่ยว AI ทำได้เพียงสะท้อนสิ่งที่เด็กพิมพ์ออกมา แต่ผู้ใหญ่มีพลังที่สามารถสะท้อน “ตัวตน” ของเด็ก และนั่นคือสิ่งสำคัญที่หายไปจากชีวิตพวกเขา

เกราะป้องกันที่แท้จริงจึงไม่ใช่การห้ามเด็กใช้ AI แต่คือการสร้างพื้นที่ที่เขาเลือก เรา มากกว่าเลือกจอ พื้นที่ที่เขาพูดได้โดยไม่ถูกตัดสิน เงียบได้โดยไม่ถูกละเลย และร้องไห้ได้โดยไม่ถูกผลักไส

และบางครั้ง เกราะนั้นไม่ได้เกิดจากคำตอบที่ยิ่งใหญ่ แต่อยู่ในความนิ่งเล็ก ๆ ของผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ  ความเงียบที่บอกว่า “เธอไม่ได้อยู่ลำพัง” ซึ่งแข็งแรงกว่าคำตอบใด ๆ ที่หน้าจอจะมอบให้

เด็กไม่ผิดที่เลือกจอ แต่เราจะผิดหรือไม่ หากปล่อยให้เขาเชื่อว่าเครื่องจักรคือคนเดียวที่ฟังเขาอยู่?


Writer

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts