ตอนที่ 1: เมื่อพ่อแม่เขียนโลกให้ลูก: วรรณกรรมเยาวชนในฐานะของขวัญจากชีวิตจริง
“วรรณกรรมเยาวชนไม่ใช่แค่พื้นที่ให้เด็กได้อ่าน แต่เป็นกระจกที่สะท้อนว่าเรามองเด็กอย่างไร”
เราอาจคุ้นเคยกับวรรณกรรมเด็กในฐานะเครื่องมือที่สอนคุณธรรม สร้างจินตนาการ หรือช่วยพัฒนาไวยากรณ์และภาษา แต่หากสังเกตให้ลึกลงไปกว่านั้น จะพบว่าเรื่องเล่าหลายเรื่องที่จับใจเราและยังคงอยู่แม้เราจะเติบโตไปแล้ว มักถือกำเนิดจากบางจังหวะของชีวิตที่ลึกซึ้งกว่าการนึกสนุกเฉย ๆ

ในหลายกรณี วรรณกรรมเยาวชนไม่ได้เริ่มต้นจากการตั้งใจเป็นนักเขียน หากแต่เกิดจากความเป็นพ่อ เป็นแม่ ที่ต้องการทำความเข้าใจลูกของตนเอง หรือสื่อสารบางอย่างที่คำพูดในชีวิตจริงอาจไม่สามารถถ่ายทอดได้หมด การเขียนจึงกลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก ระหว่างโลกภายในของผู้เล่า กับโลกภายนอกของผู้ฟังที่ยังไม่เติบโตพอจะใช้ภาษาแบบเดียวกัน
พ่อแม่ในฐานะนักเล่า
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่นักเขียนวรรณกรรมเด็กระดับโลกจำนวนไม่น้อย ล้วนเริ่มต้นเขียนจากแรงบันดาลใจที่มีต่อลูกของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น A.A. Milne ที่เขียน “Winnie-the-Pooh” จากของเล่นและเรื่องเล่าที่เขาสร้างขึ้นร่วมกับลูกชาย หรือ Astrid Lindgren ที่ประดิษฐ์เรื่องของเด็กหญิงพลังมหาศาลอย่าง Pippi Longstocking ให้ลูกสาวฟังยามค่ำคืนก่อนนอน

นักเขียนเหล่านี้ไม่ได้เขียนเพื่อตลาด แต่เขียนเพื่อลูก และเพราะเขาเขียนอย่างจริงใจ จึงกลายเป็นเรื่องเล่าที่ลึกและจริงพอจะทะลุทะลวงหัวใจผู้อ่านทุกวัย
ตัวละครเด็กที่ไม่ใช่หุ่นจำลองของผู้ใหญ่
หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของวรรณกรรมเด็กที่เขียนโดยพ่อแม่ คือการมองเด็กอย่างมีความเคารพ ตัวละครเด็กที่ปรากฏในเรื่องเหล่านี้จึงมักมีความคิดเป็นของตนเอง มีคำถามที่ผู้ใหญ่ตอบไม่ได้ มีอารมณ์ที่ซับซ้อน และมีโลกภายในที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะยัดเยียดบทเรียนแบบตรงไปตรงมาให้พวกเขาได้

Shinsuke Yoshitake นักวาดและนักเขียนชาวญี่ปุ่นกล่าวไว้ว่า เขาไม่ได้เขียนนิทานเพื่อให้เด็กเข้าใจโลก แต่เพื่อให้ผู้ใหญ่เข้าใจเด็ก นี่คือการกลับด้านมุมมอง ที่เปลี่ยนจากผู้ใหญ่เป็นผู้มอบความรู้ มาเป็นผู้รับฟังด้วยความอ่อนน้อม
ความสัมพันธ์ที่สร้างศิลปะ
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกไม่เพียงแต่เป็นแรงบันดาลใจ แต่ยังเป็นพื้นที่ทดลองทางศิลปะและการสื่อสาร หลายคนเริ่มวาดภาพเพื่ออธิบายสิ่งที่พูดไม่ได้ เริ่มประดิษฐ์เรื่องเพื่อสร้างสะพานเข้าไปสู่โลกของลูก และเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องเล่าเหล่านี้ก็งอกงามขึ้นเป็นหนังสือ

Oliver Jeffers เขียนหนังสือ “Here We Are” เพื่ออธิบายโลกให้ลูกชายที่เพิ่งลืมตาดูโลก ขณะที่ยังพูดไม่ได้ เขาเลือกใช้ภาพเป็นภาษาหลัก Marianne Dubuc ก็เช่นกัน เธอใช้ความเงียบของภาพในการเล่าเรื่องราวที่พูดน้อยแต่รู้สึกได้ลึก
วรรณกรรมเด็กไม่ใช่แค่สำหรับเด็ก
สิ่งที่น่าสนใจคือ วรรณกรรมที่เกิดจากพ่อแม่เหล่านี้ แม้จะเล่าให้เด็กฟังเป็นหลัก แต่กลับกลายเป็นวรรณกรรมที่ผู้ใหญ่เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง เพราะในนั้นมีความเปราะบาง ความกลัว ความหวัง และความรักที่ซับซ้อนซึ่งไม่ต่างจากประสบการณ์ของผู้ใหญ่เลย เพียงแต่มันถูกเล่าด้วยภาษาและภาพที่เปิดให้ทุกวัยเข้าถึง
เรื่องของเด็ก จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก และเรื่องเล็กในสายตาผู้ใหญ่หลายครั้งก็ซุกซ่อนความใหญ่โตของชีวิตไว้อย่างแนบเนียน
จากตอนหน้า เราจะไปสำรวจนักเขียนแต่ละคนอย่างละเอียด โดยเริ่มจาก Astrid Lindgren คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวชาวสวีเดน ผู้สร้างตัวละครเด็กหญิงขบถแห่งศตวรรษอย่าง Pippi Longstocking และวางรากฐานใหม่ให้กับวรรณกรรมเด็กที่กล้าพูดถึงอิสรภาพ การตั้งคำถาม และพลังของจินตนาการ