จากบทความชุด“เมื่อพ่อแม่เขียนโลกให้ลูก”: สำรวจวรรณกรรมผ่านสายตาของ 6 นักเขียนที่เปลี่ยนความเป็นพ่อแม่ให้กลายเป็นเรื่องเล่าอันเป็นนิรันดร์ (ตอนที่ 2/7)
“ให้เด็กได้เป็นเด็ก แล้วคุณจะได้เห็นโลกฃผ่านสายตาที่ซื่อตรงที่สุด” Astrid Lindgren
ในบรรดานักเขียนวรรณกรรมเด็กทั่วโลก ชื่อของ Astrid Lindgren คือสัญลักษณ์ของอิสรภาพ ความกล้าหาญ และการมองเด็กด้วยสายตาแห่งศรัทธา ผลงานของเธอไม่ได้เป็นเพียงหนังสือสำหรับเด็กเท่านั้น แต่เป็นการปฏิวัติวิธีที่ผู้ใหญ่เขียนถึงเด็ก และวิธีที่สังคมควรฟังเสียงของเด็ก
แม่เลี้ยงเดี่ยวผู้จดจำเสียงลูกไว้ในสมุด
Astrid เกิดในครอบครัวเกษตรกรรมที่อบอุ่นในสวีเดนช่วงปลายศตวรรษที่ 19 แต่ชีวิตของเธอกลับไม่ได้เรียบง่ายนัก เธอกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่อายุ 19 ปี ในยุคที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์เลือกชีวิตมากนัก เธอทำงานเป็นนักพิมพ์ดีดและเลขาฯ ด้วยค่าแรงน้อยนิด และในทุกค่ำคืน เธอเล่านิทานให้ลูกสาว “Karen” ฟังเพื่อปลอบประโลมและเป็นเพื่อนในโลกที่ไม่มีพ่ออยู่ด้วย
ในคืนหนึ่ง Karen ขอให้แม่เล่าเรื่องของเด็กหญิงที่ชื่อ “Pippi Longstocking” ชื่อที่ลูกเป็นคนตั้งขึ้นอย่างไร้เหตุผล Lindgren จึงต่อเรื่องขึ้นมาโดยไม่มีบท ไม่มีแผน มีเพียงหัวใจที่อยากเห็นลูกหัวเราะ นั่นคือจุดเริ่มต้นของวรรณกรรมเด็กที่กล้าหัวเราะเยาะอำนาจอย่างไม่เกรงใจใคร
Pippi Longstocking: ตัวละครที่เป็นอิสระจากทุกกฎ
เด็กหญิงถักเปียสองข้าง ผู้แข็งแรงที่สุดในโลก อาศัยอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่กับม้ากับลิง ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีโรงเรียน ไม่มีผู้ใหญ่คอยกำกับ Pippi คือการประท้วงที่มีสีสันที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมเด็ก
เธอใช้พลังในการตั้งคำถามกับสิ่งที่ผู้ใหญ่บอกว่า “ถูกต้อง” เธอแหกกฎโดยไม่ต้องร้าย เธอซนแต่ไม่อันตราย เธอซื่อสัตย์กับความรู้สึก และเธอช่วยให้ผู้อ่านเด็กกล้าถามว่า “ทำไมต้องเป็นแบบนี้?”
Pippi จึงไม่ใช่แค่ตัวละคร แต่เป็นท่าทีของการเลี้ยงดู: การปล่อยให้เด็กค้นหาโลกด้วยตัวเอง โลกที่แม้จะปั่นป่วน แต่ก็มีพื้นที่ให้วิ่งเล่นอย่างอิสระ
เขียนเพื่อเยียวยา เขียนเพื่อตั้งคำถาม
สำหรับ Lindgren การเขียนไม่ใช่การสอน แต่เป็นการฟัง เธอฟังเสียงของลูก ฟังเสียงของเด็กคนอื่น ๆ และฟังเสียงของเด็กในตัวเอง เธอเชื่อว่าเด็กคือมนุษย์เต็มตัวที่มีความคิด ความเจ็บปวด และความหวังไม่ต่างจากผู้ใหญ่ เพียงแต่ยังไม่มีอำนาจในการเปล่งเสียง
นิทานของเธอจึงกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เด็กสามารถเป็นอะไรก็ได้ แม้แต่สิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่อนุญาต และเธอก็ยังใช้เวทีของตัวเองในการวิพากษ์นโยบายรัฐ พูดแทนเด็กที่ถูกลืม และต่อสู้เพื่อสิทธิของเด็กในสังคมสวีเดนมาตลอดชีวิต
นิทานคือชีวิตจริงที่เล่าใหม่
เรื่องเล่าหลักของ Astrid Lindgren นั้นไม่ใช่เรื่องแต่งที่ไกลตัว แต่เชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับประสบการณ์ชีวิตของเธอเอง
ใน “Pippi Longstocking” เด็กหญิงกำพร้าที่ใช้ชีวิตลำพังได้อย่างเข้มแข็ง สนุกสนาน และกล้าตั้งคำถาม คือตัวแทนของ Lindgren เอง ที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว ฝ่าฟันต่อระบบที่ไม่เอื้ออำนวยต่อผู้หญิง เธอบอกเล่าอิสรภาพที่ตนเองปรารถนา และปลูกฝังให้ลูกเข้าใจว่า เด็กผู้หญิงก็สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง
ส่วนใน “The Brothers Lionheart” ที่กล่าวถึงการจากลา ความกล้า และโลกหลังความตาย นักวิจารณ์วรรณกรรมหลายคนวิเคราะห์ว่าเรื่องนี้สะท้อนความกลัวในการสูญเสียลูก หรือแม้แต่ความกลัวของแม่คนหนึ่งที่จิตใจยังบอบบางจากการต้องเลี้ยงลูกโดยลำพังในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต
“Ronia the Robber’s Daughter” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครเด็กหญิงที่หลุดพ้นจากกรอบครอบครัวและเลือกเส้นทางของตัวเอง คล้ายกับ Karen ลูกสาวของเธอที่เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่มีพ่ออยู่ข้าง ๆ แต่มีแม่ที่มองเห็นศักยภาพในการคิดเป็นของลูก
งานเขียนของ Lindgren จึงไม่ใช่เพียงการเล่าเรื่องให้เด็กฟัง แต่เป็นบันทึกอารมณ์ของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากให้ลูกมีอิสระมากกว่าที่เธอเคยมี
แม้ Lindgren จะเริ่มต้นจากแม่ที่เล่านิทานให้ลูก แต่ในเวลาต่อมา เธอได้กลายเป็นนักเขียนระดับโลกที่ตีพิมพ์งานกว่าสิบภาษาทั่วโลก เธอเขียนเรื่องอื่น ๆ ที่พูดถึงการสูญเสีย ความเปราะบาง และความกล้าในหลากหลายรูปแบบ เช่น “The Brothers Lionheart” และ “Ronia the Robber’s Daughter” ที่ต่างก็มาจากจุดเริ่มต้นเดียวกัน ความเข้าใจโลกของเด็ก
ในบั้นปลายชีวิต เธอยังคงเขียนจดหมายถึงนักอ่าน เผยแพร่ความเห็นเรื่องสังคม และยืนยันว่า “การฟังเด็กคือการฟังอนาคต”
Astrid Lindgren จึงไม่ใช่แค่นักเขียน แต่เป็นแม่ ผู้ฟัง และนักปฏิวัติทางการเล่าเรื่องที่ยืนยันว่าเด็กควรได้รับอิสระในการมีเสียงของตัวเอง แม้ในโลกของนิทาน