เมื่อเด็กใช้ความรุนแรง : ก่อนลงมือแก้ปัญหาเขา ชวนทบทวนว่าเรากำลังซ่อนปัญหาที่แท้จริงไว้ใต้พรมหรือเปล่า

ความรุนแรงจากมือเด็กเป็นสิ่งที่ต้องหยุดและต้องรับผิดชอบ 

แต่บ่อยครั้งเรามักเริ่มต้นจากการหาคนผิด มากกว่าการหาสาเหตุ เรารีบพูดถึงการลงโทษ การ “สั่งสอน” หรือการส่งต่อไปให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยไม่ตั้งคำถามว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งที่ความจริง ความรุนแรงแทบไม่เคยเกิดขึ้นลอย ๆ แต่มักงอกมาจากประสบการณ์ซ้ำ ๆ ที่ถูกสะสมตั้งแต่ในบ้าน ในโรงเรียน และในพื้นที่สาธารณะที่เด็กใช้ชีวิต 

บ้านบางหลังสอนเด็กให้เงียบเพื่อเอาตัวรอด สภาพแวดล้อมในโรงเรียนบางแห่งสอนให้แข็งกร้าวเพื่อความอยู่รอด และสังคมโดยรวมก็เรียนรู้ที่จะตื่นตระหนกเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ในข่าว แต่กลับเฉยเมยต่อเรื่องราวและเหตุผลเบื้องหลัง โครงสร้างที่หล่อเลี้ยงพฤติกรรมแบบนั้นมานานพอที่จะทำให้เด็กเชื่อว่า การทำให้คนอื่นเจ็บอาจเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ตัวเองถูกรับรู้ และก่อนที่เราจะตัดสินหรือสั่งลงโทษ อาจต้องถามให้ชัดว่าสิ่งที่เด็กทำในวันนี้กำลังสะท้อนอะไรที่เราในฐานะผู้ใหญ่ยังไม่กล้ามองตรง ๆ

ความรุนแรงไม่ใช่สุญญากาศ

แน่นอน เมื่อเด็กทำความผิดเด็กควรได้รับโทษ และได้รับรู้ว่าการกระทำของเขาทำให้คนอื่นเจ็บปวดและเสียใจ ความรุนแรงต้องถูกหยุด และผู้ที่ก่อความรุนแรงต้องเผชิญกับผลลัพธ์ของการกระทำนั้น แต่ถ้าเราหยุดอยู่เพียงแค่การลงโทษ เราจะพลาดโอกาสเข้าใจว่าเหตุใดมันจึงเกิดขึ้นตั้งแต่แรก ไม่มีหมัดไหนเกิดขึ้นเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ และไม่มีเด็กคนไหนตื่นขึ้นมาแล้วตัดสินใจจะทำร้ายใครโดยปราศจากสิ่งที่มาก่อนหน้า ความรุนแรงมักเป็นปลายทางของกระบวนการยาวนานที่เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ แต่ซ้ำ ๆ คำพูดประชดที่เด็กได้รับ การถูกเมินเมื่อพยายามบอกความรู้สึก การเห็นตัวอย่างของการใช้กำลังในบ้าน หรือแม้แต่การเรียนรู้ว่าการอยู่รอดในสังคมบางแบบต้องทำให้อีกฝ่ายถอย ความรุนแรงจึงเป็นเหมือนต้นไม้ที่งอกจากเมล็ดพันธุ์ของความรู้สึกไร้ค่า ความไม่ปลอดภัย และการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

งานวิจัยด้านพัฒนาการเด็กชี้ว่าประสบการณ์เชิงลบซ้ำ ๆ (Adverse Childhood Experiences – ACEs) ไม่เพียงทำลายความรู้สึกมั่นคงในตัวเอง แต่ยังกระทบต่อการพัฒนาโครงสร้างสมองส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์และการตัดสินใจ ในภาษาของผู้ใหญ่ เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่า “ขาดวุฒิภาวะ” แต่ในภาษาของเด็ก มันคือการที่ระบบภายในยังไม่เคยถูกสอนวิธีจัดการกับความโกรธหรือความกลัวโดยไม่ต้องทำร้ายคนอื่น

และในหลายกรณี เด็กเรียนรู้จากสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำกับเขามากกว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่สอนด้วยปาก บ้านที่ใช้ความรุนแรงเป็นคำตอบ โรงเรียนที่ใช้ความอับอายเป็นเครื่องมือ และสังคมที่ยอมให้การกดคนที่อ่อนแอกว่าเป็นเรื่องปกติ ล้วนทำให้ความรุนแรงดูเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลในสายตาของเด็ก ความจริงนี้อาจไม่สบายใจนัก เพราะมันบอกเราว่า “ตัวเรา” และ “ระบบของเรา” ไม่ได้ยืนอยู่นอกเหตุการณ์นี้ แต่เป็นส่วนหนึ่งของดิน น้ำ และปุ๋ยที่ทำให้มันเติบโต

ความรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้นจากสุญญากาศ และไม่ใช่แค่บาดแผลทางกาย : ชวนผู้ใหญ่มองว่าเราอาจสร้างความรุนแรงต่อจิตใจเด็กได้แม้แค่การเมินเฉยต่อความรู้สึก

เมื่อพูดถึงความรุนแรง ภาพที่ผู้ใหญ่จำนวนมากนึกถึงคือรอยช้ำบนผิวหนัง หรือเสียงตะโกนด่าที่ดังจนเพื่อนบ้านได้ยิน แต่นั่นเป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็ง ความจริงคือ ใต้ผิวน้ำนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลที่มองไม่เห็น และบาดแผลเหล่านี้อาจสร้างร่องรอยลึกกว่าการถูกผลักหรือชกเสียอีก

ความรุนแรงต่อจิตใจอาจเกิดขึ้นได้แม้เพียงการเมินเฉยต่อความรู้สึกของเด็ก อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ๆ เพียงครั้งเดียว แต่เป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อย ๆ จนกลายเป็นบรรยากาศปกติที่เด็กใช้หายใจเข้าออกทุกวัน เช่น วันที่เขาร้องไห้เพราะเพื่อนแย่งของเล่น แต่ผู้ใหญ่กลับพูดว่า “เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องร้อง” หรือวันที่เขาพยายามเล่าเรื่องที่ภูมิใจ แต่คนฟังไม่เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ ประสบการณ์เหล่านี้สอนให้เด็กเชื่อว่าความรู้สึกของตัวเองไม่สำคัญ และโลกอาจไม่มีพื้นที่สำหรับเสียงของเขา

งานวิจัยของ Felitti และคณะ (1998) เกี่ยวกับ Adverse Childhood Experiences (ACEs) พบว่าประสบการณ์เชิงลบในวัยเด็ก เช่น การถูกทอดทิ้งหรือการอยู่ในครอบครัวที่มีความรุนแรง ส่งผลระยะยาวต่อทั้งสุขภาพกายและจิต รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อพฤติกรรมก้าวร้าวในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ ข้อมูลจาก Harvard Center on the Developing Child (2010) ยังระบุว่าความเครียดเรื้อรัง (toxic stress) สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมอง โดยเฉพาะในส่วนที่ควบคุมการตัดสินใจและการควบคุมอารมณ์

เมื่อบาดแผลเหล่านี้สะสม เด็กบางคนเลือกที่จะถอยออกจากผู้คนและเก็บเสียงของตัวเองไว้จนเงียบสนิท ขณะที่เด็กบางคนเลือกใช้ความรุนแรงเพื่อให้โลกรับรู้ว่าเขามีตัวตน เพราะในประสบการณ์ของเขา การใช้เหตุผลไม่เคยทำให้ใครหยุดฟัง 

ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อตัวเด็กที่ได้รับความรุนแรงจึงไม่ได้อยู่แค่ในความสัมพันธ์ แต่ลึกลงไปถึงระดับการทำงานของสมอง ลดทอนความสามารถในการควบคุมอารมณ์ (self-regulation) และการยับยั้งพฤติกรรม ทำให้การระเบิดอารมณ์กลายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ มากกว่าการตัดสินใจอย่างมีสติ

ยิ่งบาดแผลที่มองไม่เห็นเหล่านี้ไม่ได้รับการยอมรับหรือเยียวยา เด็กก็ยิ่งพยายามสื่อสารมันด้วยวิธีที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีใครสักคนหยุดและฟังอย่างจริงจัง การมองไม่เห็นบาดแผลจึงไม่ใช่เพียงการละเลย แต่คือการปล่อยให้วงจรความรุนแรงหมุนซ้ำไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีใครหยุดมันได้ทันเวลา

บ้านและโรงเรียน: โรงละครของบทบาทซ้ำ ๆ

บ้านและโรงเรียนคือเวทีใหญ่สองแห่งที่เด็กใช้ชีวิตอยู่เกือบทั้งหมด แต่ละแห่งมีบทบาทที่มองไม่เห็นในการเขียน “บทซ้ำ” ให้เด็กแสดงโดยไม่รู้ตัว บ้านบางหลังสอนให้เด็กเงียบเพื่อเอาตัวรอดจากโลกที่ใจร้าย สภาพแวดล้อมในโรงเรียนบางแห่งสอนให้เด็กแข็งกร้าวเพื่อความอยู่รอดในระบบที่ไม่ยอมให้ความแตกต่างมีที่ยืน เด็กจึงซึมซับวิธีแก้ปัญหาที่ผู้ใหญ่ใช้กับเขา แล้วส่งต่อกลับไปยังโลก ไม่ว่าจะเป็นการเงียบถอยหรือการใช้ความรุนแรง

งานวิจัยของ Bandura (1977) เรื่อง Social Learning Theory ชี้ว่าพฤติกรรมของเด็กส่วนใหญ่เกิดจากการเรียนรู้ผ่านการสังเกตและเลียนแบบ โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เห็นว่าได้ผลในบริบทนั้น ๆ ถ้าการใช้อำนาจหรือความรุนแรงทำให้ผู้ใหญ่ได้สิ่งที่ต้องการ เด็กก็เรียนรู้ว่านี่คือ “เครื่องมือ” ที่ใช้ได้จริง ขณะที่งานศึกษาของ Gregory & Fergus (2017) เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในโรงเรียน พบว่าบรรยากาศการเรียนรู้ที่เน้นการควบคุมมากเกินไปและใช้การลงโทษเชิงอับอาย สามารถกระตุ้นพฤติกรรมต่อต้านและก้าวร้าวในนักเรียนได้

เมื่อบ้านและโรงเรียนร่วมกันหล่อเลี้ยงบทบาทซ้ำเหล่านี้ เด็กจึงโตมากับ “สคริปต์” ที่บอกว่า ถ้าอยากอยู่รอด ต้องแข็งกร้าว หรือถ้าอยากปลอดภัย ต้องเงียบ ไม่มีใครได้เรียนรู้ว่าความขัดแย้งสามารถแก้ได้ด้วยการสนทนาที่เท่าเทียม หรือว่าการปกป้องตัวเองไม่จำเป็นต้องทำร้ายคนอื่น และนี่คือเหตุผลว่าทำไม ความรุนแรงจึงไม่ใช่เพียงการตัดสินใจชั่วขณะ แต่คือการแสดงฉากหนึ่งในบทละครที่ระบบทั้งสองช่วยกันเขียน

สังคมที่ลงโทษผลลัพธ์ แทนที่จะตั้งคำถามกับสาเหตุ

เมื่อความรุนแรงเกิดขึ้น สิ่งแรกที่สังคมมักทำคือหาคนผิด แล้วลงโทษให้จบเรื่อง เราตื่นตระหนกกับภาพเด็กทำร้ายเพื่อนในคลิป แต่กลับเฉยเมยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่าทุกวัน เราสบายใจกับการระบุว่า “นี่คือเด็กไม่ดี” มากกว่าที่จะถามว่า “เขาเจ็บตรงไหน” เพราะการถามแบบนั้นหมายถึงเราต้องยอมรับว่าปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากเขาคนเดียว

งานวิจัยของ Zehr (2002) ในแนวคิด Restorative Justice ชี้ว่าการมุ่งเน้นลงโทษเพียงอย่างเดียวมักทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำและผู้ถูกกระทำยิ่งห่างออกจากกัน และไม่แก้รากของพฤติกรรม ขณะที่การตั้งคำถามถึงสาเหตุและสร้างกระบวนการเยียวยาร่วมกัน สามารถลดโอกาสการกระทำซ้ำและสร้างความรับผิดชอบเชิงบวกได้มากกว่า นอกจากนี้ งานของ Masten & Cicchetti (2016) ยังชี้ว่าการรับมือกับพฤติกรรมก้าวร้าวต้องผสานทั้งการแก้ไขรายบุคคลและการปรับระบบรอบตัวเด็ก ไม่เช่นนั้น ความรุนแรงจะเป็นเพียง “อาการ” ที่เราพยายามปิดบัง โดยที่โรคยังคงอยู่

การลงโทษโดยไม่มองสาเหตุจึงเหมือนการซ่อมเพดานที่รั่วด้วยการทาสีทับ มันอาจดูเรียบร้อยในระยะสั้น แต่ปัญหาจะกลับมาอีกเสมอ และทุกครั้งที่กลับมา มันมักใหญ่กว่าเดิม

ความรุนแรงคือจดหมายที่ส่งมาถึงสังคมเพื่อให้เราตั้งคำถามร่วมกัน

ถ้าลองมองความรุนแรงของเด็กไม่ใช่เพียงการกระทำ แต่เป็น “จดหมาย” ที่ส่งมาถึงสังคม เราอาจพบว่ามันเต็มไปด้วยข้อความที่ไม่เคยถูกอ่าน บางครั้งข้อความนั้นคือ “ผมกลัวจะถูกลืม” หรือ “ผมไม่รู้วิธีอยู่รอดโดยไม่ต้องสู้” เพียงแต่ภาษาที่ใช้ถ่ายทอดมันคือการผลัก การตะโกน หรือการทำร้าย จนคนรับจดหมายปฏิเสธจะเปิดอ่าน เพราะรู้สึกว่าน่าเกลียดเกินไป

นักจิตวิทยาอย่าง Marshall Rosenberg (2003) ผู้พัฒนาแนวคิด Nonviolent Communication อธิบายว่าพฤติกรรมที่ทำร้ายผู้อื่นมักเป็นการพยายามตอบสนองความต้องการบางอย่างที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม แม้จะใช้วิธีที่ผิดและสร้างความเสียหายก็ตาม ขณะที่งานศึกษาของ Garbarino (1999) เรื่องความรุนแรงในวัยรุ่น พบว่าการช่วยให้เด็กถอดรหัสความรู้สึกและความต้องการของตัวเองได้ เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะเปลี่ยนจากการใช้หมัดเป็นการใช้คำพูด

แต่ปัญหาคือ สังคมของเรามักขยำจดหมายเหล่านี้ทิ้งทันทีที่เห็นว่ามีรอยขีดเขียนเลอะเทอะของความโกรธและความก้าวร้าว ทั้งที่ในหมึกเปื้อนนั้นมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องซ่อมแซมในชีวิตของเด็ก และบางครั้งในชีวิตของเราเองด้วย

หนทางคืนความเป็นมนุษย์ให้กัน

การรับผิดชอบต่อความรุนแรงไม่เท่ากับการทำให้ผู้กระทำหมดสิทธิ์เป็นมนุษย์ การลงโทษเพียงอย่างเดียวอาจหยุดเหตุการณ์ชั่วคราว แต่ไม่แตะรากของปัญหาที่ทำให้มันเกิดซ้ำ การแก้ไขให้ได้ผลระยะยาวจึงต้องมองเกินกว่าผลลัพธ์ที่เห็นในวันนี้ แนวทางอย่าง Restorative Justice ที่ Zehr (2002) และ Morrison (2007) อธิบาย คือการสร้างพื้นที่ให้ผู้กระทำและผู้ถูกกระทำได้พบกันในบริบทที่ปลอดภัย เพื่อฟังกัน เข้าใจกัน เยียวยาความเสียหาย และร่วมกันกำหนดเงื่อนไขใหม่ในการอยู่ร่วมกัน แนวทางนี้ไม่ได้ลบความผิดหรือทำให้ความเสียหายหายไปทันที แต่ช่วยลดโอกาสการใช้ความรุนแรงซ้ำ และเพิ่มความรู้สึกเป็นเจ้าของต่อความสัมพันธ์และชุมชน เพราะทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้ไข

ในระดับครอบครัวและโรงเรียน การคืนความเป็นมนุษย์ให้เด็ก หมายถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เขาได้เรียนรู้ว่าความเจ็บปวดไม่จำเป็นต้องแปรเป็นการทำร้ายผู้อื่น งานวิจัยของ Shonkoff & Garner (2012) เกี่ยวกับ Trauma-Informed Care ระบุว่าการจัดพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีความสม่ำเสมอ พร้อมการตอบสนองที่เข้าใจต่อพฤติกรรมที่มีรากจากบาดแผล สามารถช่วยให้สมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ การตัดสินใจ และการยับยั้งพฤติกรรมฟื้นตัวได้จริง

บทบาทของแต่ละฝ่ายในกระบวนการนี้

  • พ่อแม่:  ต้องแยกให้ชัดระหว่างการหยุดพฤติกรรมกับการตัดสินคุณค่าของลูก พ่อแม่ที่ตั้งขอบเขตอย่างมั่นคง แต่ยังคงฟังเหตุผลและความรู้สึกของลูก จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ว่าการรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำไม่ได้แปลว่าถูกตัดออกจากความรัก
  • ครู : จำเป็นต้องมีเครื่องมือและการสนับสนุนเพื่อจัดการเหตุรุนแรงในห้องเรียนแบบไม่ซ้ำเติมบาดแผล ครูที่ใช้การซ่อมและฟื้นฟูควบคู่กับการตั้งขอบเขต จะช่วยสร้างวัฒนธรรมโรงเรียนที่ปลอดภัยและเป็นธรรม
  • ผู้ใหญ่ในชุมชน : เพื่อนบ้าน ญาติ หรือผู้นำชุมชนมีบทบาทสำคัญในการเป็น “วงล้อมปลอดภัย” ที่ช่วยกันสังเกตและดูแล ไม่ปล่อยให้ครอบครัวหรือโรงเรียนต้องแก้ปัญหาเพียงลำพัง
  • สื่อ :  ต้องระมัดระวังไม่ทำให้เด็กกลายเป็น “ตัวร้าย” ในเรื่องราวเพียงเพราะพฤติกรรมที่เขาทำผิดพลาด การรายงานอย่างรอบด้าน และชวนตั้งคำถามกับรากของปัญหา จะช่วยให้สังคมมองเห็นมากกว่าผลลัพธ์ที่ปรากฏในคลิป

นี่ไม่ได้หมายความว่าเราควรปล่อยผ่านหรือแก้ตัวให้กับพฤติกรรมรุนแรง ตรงกันข้าม เราต้องมีระบบที่ทำสองอย่างควบคู่กัน คือหยุดพฤติกรรมทันทีเพื่อปกป้องผู้ถูกกระทำ และในขณะเดียวกันต้องฟื้นฟู “มนุษย์” ที่อยู่ข้างใต้พฤติกรรมนั้น เพื่อให้เขามีทางเลือกอื่นในการอยู่รอดโดยไม่ต้องทำร้ายใครอีก

เพราะการคืนความเป็นมนุษย์ไม่ใช่การลดความผิดให้เบาบางลง แต่คือการยอมรับว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ใหม่ได้ และสังคมต้องสร้างเงื่อนไขให้การเรียนรู้นั้นเกิดขึ้นจริง

เรายังคงมีความหวังและเรายังสามารถสร้างสังคมที่ทุกคนช่วยกันทำให้ทุกคนเป็นมนุษย์ที่ดีต่อกันได้

เรายังมีความหวัง และเรายังสามารถสร้างสังคมที่ทุกคนช่วยกันทำให้ทุกคนเป็นมนุษย์ที่ดีต่อกันได้ ความหวังนี้ไม่ได้เกิดจากการหลอกตัวเองว่าเหตุการณ์เลวร้ายจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่เกิดจากการที่เราเรียนรู้จะไม่ปล่อยให้มันเกิดซ้ำด้วยเหตุผลเดิม ๆ ครั้งหนึ่ง เขาเคยต่อยเพื่อนจนล้ม เพราะเชื่อว่านั่นเป็นวิธีเดียวที่จะปกป้องตัวเอง วันนี้ ภาพที่เห็นคือเด็กคนเดิมนั่งอยู่ข้างจักรยานที่ล้มลง ขันน็อตให้เพื่อนคนนั้นอย่างตั้งใจ บทสนทนาระหว่างพวกเขาไม่ใช่คำขอโทษใหญ่โตหรือคำสัญญาว่าจะไม่ทำอีก แต่เป็นการช่วยกันซ่อมโซ่ที่หลุดและหมุนล้อที่ฝืด เสียงหัวเราะเล็ก ๆ แทรกอยู่ระหว่างมือที่ทำงาน

ความหวังในสังคมที่มีบาดแผล ไม่ได้อยู่ที่การลืม แต่การจำอย่างมีความหมาย จำเพื่อรู้ว่าต้องเปลี่ยนอะไร และสร้างเงื่อนไขใหม่อย่างไรให้มันไม่ต้องเกิดซ้ำ เงื่อนไขนั้นเริ่มจากคนที่เลือกฟัง มากกว่าตัดสิน ฟังเพื่อเข้าใจว่าความรุนแรงสื่อสารอะไร ฟังจนได้ยินทั้งความโกรธ ความกลัว และความหวังที่ยังซ่อนอยู่ลึก ๆ และต้องมีกล้าที่จะซ่อมมากกว่าทำลาย ซ่อมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างคน ซ่อมวิธีที่เราอยู่ร่วมกันในโรงเรียนและชุมชน และซ่อมโครงสร้างใหญ่ที่เคยปล่อยให้ความรุนแรงเติบโตโดยไม่มีใครขัดขวาง

เพราะในท้ายที่สุด สังคมที่น่าอยู่ไม่ใช่เพียงสังคมที่ “ไม่มีความรุนแรง” แต่คือสังคมที่ทำให้เรามั่นใจว่า ต่อให้ใครสักคนพลาด เขาก็ยังมีพื้นที่ที่จะกลับมาเรียนรู้และเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้งในฐานะมนุษย์ที่มีค่า ไม่ใช่ตัวปัญหาที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

อ้างอิง

  1. Felitti, V. J., Anda, R. F., Nordenberg, D., et al. (1998). Relationship of Childhood Abuse and Household Dysfunction to Many of the Leading Causes of Death in Adults: The Adverse Childhood Experiences (ACE) Study. American Journal of Preventive Medicine, 14(4), 245–258.
  2. Harvard University, Center on the Developing Child. (2010). The Foundations of Lifelong Health Are Built in Early Childhood. Cambridge, MA: Harvard University.
  3. Bandura, A. (1977). Social Learning Theory. Englewood Cliffs, NJ: Prentice Hall.
  4. Gregory, A., & Fergus, E. (2017). Social and emotional learning and equity in school discipline. The Future of Children, 27(1), 117–136.
  5. Zehr, H. (2002). The Little Book of Restorative Justice. Intercourse, PA: Good Books.
  6. Masten, A. S., & Cicchetti, D. (2016). Resilience in development: Progress and transformation. Developmental Psychopathology, 1-63.
  7. Rosenberg, M. B. (2003). Nonviolent Communication: A Language of Life. Encinitas, CA: PuddleDancer Press.
  8. Garbarino, J. (1999). Lost Boys: Why Our Sons Turn Violent and How We Can Save Them. New York, NY: Free Press.
  9. Morrison, B. (2007). Restoring Safe School Communities: A Whole School Response to Bullying, Violence and Alienation. Sydney: Federation Press.
  10. Shonkoff, J. P., & Garner, A. S. (2012). The lifelong effects of early childhood adversity and toxic stress. Pediatrics, 129(1), e232–e246.


Writer

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts