ความรุนแรงจากมือเด็กเป็นสิ่งที่ต้องหยุดและต้องรับผิดชอบ
แต่บ่อยครั้งเรามักเริ่มต้นจากการหาคนผิด มากกว่าการหาสาเหตุ เรารีบพูดถึงการลงโทษ การ “สั่งสอน” หรือการส่งต่อไปให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยไม่ตั้งคำถามว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งที่ความจริง ความรุนแรงแทบไม่เคยเกิดขึ้นลอย ๆ แต่มักงอกมาจากประสบการณ์ซ้ำ ๆ ที่ถูกสะสมตั้งแต่ในบ้าน ในโรงเรียน และในพื้นที่สาธารณะที่เด็กใช้ชีวิต
บ้านบางหลังสอนเด็กให้เงียบเพื่อเอาตัวรอด สภาพแวดล้อมในโรงเรียนบางแห่งสอนให้แข็งกร้าวเพื่อความอยู่รอด และสังคมโดยรวมก็เรียนรู้ที่จะตื่นตระหนกเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ในข่าว แต่กลับเฉยเมยต่อเรื่องราวและเหตุผลเบื้องหลัง โครงสร้างที่หล่อเลี้ยงพฤติกรรมแบบนั้นมานานพอที่จะทำให้เด็กเชื่อว่า การทำให้คนอื่นเจ็บอาจเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ตัวเองถูกรับรู้ และก่อนที่เราจะตัดสินหรือสั่งลงโทษ อาจต้องถามให้ชัดว่าสิ่งที่เด็กทำในวันนี้กำลังสะท้อนอะไรที่เราในฐานะผู้ใหญ่ยังไม่กล้ามองตรง ๆ
ความรุนแรงไม่ใช่สุญญากาศ
แน่นอน เมื่อเด็กทำความผิดเด็กควรได้รับโทษ และได้รับรู้ว่าการกระทำของเขาทำให้คนอื่นเจ็บปวดและเสียใจ ความรุนแรงต้องถูกหยุด และผู้ที่ก่อความรุนแรงต้องเผชิญกับผลลัพธ์ของการกระทำนั้น แต่ถ้าเราหยุดอยู่เพียงแค่การลงโทษ เราจะพลาดโอกาสเข้าใจว่าเหตุใดมันจึงเกิดขึ้นตั้งแต่แรก ไม่มีหมัดไหนเกิดขึ้นเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ และไม่มีเด็กคนไหนตื่นขึ้นมาแล้วตัดสินใจจะทำร้ายใครโดยปราศจากสิ่งที่มาก่อนหน้า ความรุนแรงมักเป็นปลายทางของกระบวนการยาวนานที่เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ แต่ซ้ำ ๆ คำพูดประชดที่เด็กได้รับ การถูกเมินเมื่อพยายามบอกความรู้สึก การเห็นตัวอย่างของการใช้กำลังในบ้าน หรือแม้แต่การเรียนรู้ว่าการอยู่รอดในสังคมบางแบบต้องทำให้อีกฝ่ายถอย ความรุนแรงจึงเป็นเหมือนต้นไม้ที่งอกจากเมล็ดพันธุ์ของความรู้สึกไร้ค่า ความไม่ปลอดภัย และการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
งานวิจัยด้านพัฒนาการเด็กชี้ว่าประสบการณ์เชิงลบซ้ำ ๆ (Adverse Childhood Experiences – ACEs) ไม่เพียงทำลายความรู้สึกมั่นคงในตัวเอง แต่ยังกระทบต่อการพัฒนาโครงสร้างสมองส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์และการตัดสินใจ ในภาษาของผู้ใหญ่ เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่า “ขาดวุฒิภาวะ” แต่ในภาษาของเด็ก มันคือการที่ระบบภายในยังไม่เคยถูกสอนวิธีจัดการกับความโกรธหรือความกลัวโดยไม่ต้องทำร้ายคนอื่น
และในหลายกรณี เด็กเรียนรู้จากสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำกับเขามากกว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่สอนด้วยปาก บ้านที่ใช้ความรุนแรงเป็นคำตอบ โรงเรียนที่ใช้ความอับอายเป็นเครื่องมือ และสังคมที่ยอมให้การกดคนที่อ่อนแอกว่าเป็นเรื่องปกติ ล้วนทำให้ความรุนแรงดูเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลในสายตาของเด็ก ความจริงนี้อาจไม่สบายใจนัก เพราะมันบอกเราว่า “ตัวเรา” และ “ระบบของเรา” ไม่ได้ยืนอยู่นอกเหตุการณ์นี้ แต่เป็นส่วนหนึ่งของดิน น้ำ และปุ๋ยที่ทำให้มันเติบโต
ความรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้นจากสุญญากาศ และไม่ใช่แค่บาดแผลทางกาย : ชวนผู้ใหญ่มองว่าเราอาจสร้างความรุนแรงต่อจิตใจเด็กได้แม้แค่การเมินเฉยต่อความรู้สึก
เมื่อพูดถึงความรุนแรง ภาพที่ผู้ใหญ่จำนวนมากนึกถึงคือรอยช้ำบนผิวหนัง หรือเสียงตะโกนด่าที่ดังจนเพื่อนบ้านได้ยิน แต่นั่นเป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็ง ความจริงคือ ใต้ผิวน้ำนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลที่มองไม่เห็น และบาดแผลเหล่านี้อาจสร้างร่องรอยลึกกว่าการถูกผลักหรือชกเสียอีก
ความรุนแรงต่อจิตใจอาจเกิดขึ้นได้แม้เพียงการเมินเฉยต่อความรู้สึกของเด็ก อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ๆ เพียงครั้งเดียว แต่เป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อย ๆ จนกลายเป็นบรรยากาศปกติที่เด็กใช้หายใจเข้าออกทุกวัน เช่น วันที่เขาร้องไห้เพราะเพื่อนแย่งของเล่น แต่ผู้ใหญ่กลับพูดว่า “เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องร้อง” หรือวันที่เขาพยายามเล่าเรื่องที่ภูมิใจ แต่คนฟังไม่เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ ประสบการณ์เหล่านี้สอนให้เด็กเชื่อว่าความรู้สึกของตัวเองไม่สำคัญ และโลกอาจไม่มีพื้นที่สำหรับเสียงของเขา
งานวิจัยของ Felitti และคณะ (1998) เกี่ยวกับ Adverse Childhood Experiences (ACEs) พบว่าประสบการณ์เชิงลบในวัยเด็ก เช่น การถูกทอดทิ้งหรือการอยู่ในครอบครัวที่มีความรุนแรง ส่งผลระยะยาวต่อทั้งสุขภาพกายและจิต รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อพฤติกรรมก้าวร้าวในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ ข้อมูลจาก Harvard Center on the Developing Child (2010) ยังระบุว่าความเครียดเรื้อรัง (toxic stress) สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมอง โดยเฉพาะในส่วนที่ควบคุมการตัดสินใจและการควบคุมอารมณ์
เมื่อบาดแผลเหล่านี้สะสม เด็กบางคนเลือกที่จะถอยออกจากผู้คนและเก็บเสียงของตัวเองไว้จนเงียบสนิท ขณะที่เด็กบางคนเลือกใช้ความรุนแรงเพื่อให้โลกรับรู้ว่าเขามีตัวตน เพราะในประสบการณ์ของเขา การใช้เหตุผลไม่เคยทำให้ใครหยุดฟัง
ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อตัวเด็กที่ได้รับความรุนแรงจึงไม่ได้อยู่แค่ในความสัมพันธ์ แต่ลึกลงไปถึงระดับการทำงานของสมอง ลดทอนความสามารถในการควบคุมอารมณ์ (self-regulation) และการยับยั้งพฤติกรรม ทำให้การระเบิดอารมณ์กลายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติ มากกว่าการตัดสินใจอย่างมีสติ
ยิ่งบาดแผลที่มองไม่เห็นเหล่านี้ไม่ได้รับการยอมรับหรือเยียวยา เด็กก็ยิ่งพยายามสื่อสารมันด้วยวิธีที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีใครสักคนหยุดและฟังอย่างจริงจัง การมองไม่เห็นบาดแผลจึงไม่ใช่เพียงการละเลย แต่คือการปล่อยให้วงจรความรุนแรงหมุนซ้ำไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีใครหยุดมันได้ทันเวลา
บ้านและโรงเรียน: โรงละครของบทบาทซ้ำ ๆ
บ้านและโรงเรียนคือเวทีใหญ่สองแห่งที่เด็กใช้ชีวิตอยู่เกือบทั้งหมด แต่ละแห่งมีบทบาทที่มองไม่เห็นในการเขียน “บทซ้ำ” ให้เด็กแสดงโดยไม่รู้ตัว บ้านบางหลังสอนให้เด็กเงียบเพื่อเอาตัวรอดจากโลกที่ใจร้าย สภาพแวดล้อมในโรงเรียนบางแห่งสอนให้เด็กแข็งกร้าวเพื่อความอยู่รอดในระบบที่ไม่ยอมให้ความแตกต่างมีที่ยืน เด็กจึงซึมซับวิธีแก้ปัญหาที่ผู้ใหญ่ใช้กับเขา แล้วส่งต่อกลับไปยังโลก ไม่ว่าจะเป็นการเงียบถอยหรือการใช้ความรุนแรง
งานวิจัยของ Bandura (1977) เรื่อง Social Learning Theory ชี้ว่าพฤติกรรมของเด็กส่วนใหญ่เกิดจากการเรียนรู้ผ่านการสังเกตและเลียนแบบ โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เห็นว่าได้ผลในบริบทนั้น ๆ ถ้าการใช้อำนาจหรือความรุนแรงทำให้ผู้ใหญ่ได้สิ่งที่ต้องการ เด็กก็เรียนรู้ว่านี่คือ “เครื่องมือ” ที่ใช้ได้จริง ขณะที่งานศึกษาของ Gregory & Fergus (2017) เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในโรงเรียน พบว่าบรรยากาศการเรียนรู้ที่เน้นการควบคุมมากเกินไปและใช้การลงโทษเชิงอับอาย สามารถกระตุ้นพฤติกรรมต่อต้านและก้าวร้าวในนักเรียนได้
เมื่อบ้านและโรงเรียนร่วมกันหล่อเลี้ยงบทบาทซ้ำเหล่านี้ เด็กจึงโตมากับ “สคริปต์” ที่บอกว่า ถ้าอยากอยู่รอด ต้องแข็งกร้าว หรือถ้าอยากปลอดภัย ต้องเงียบ ไม่มีใครได้เรียนรู้ว่าความขัดแย้งสามารถแก้ได้ด้วยการสนทนาที่เท่าเทียม หรือว่าการปกป้องตัวเองไม่จำเป็นต้องทำร้ายคนอื่น และนี่คือเหตุผลว่าทำไม ความรุนแรงจึงไม่ใช่เพียงการตัดสินใจชั่วขณะ แต่คือการแสดงฉากหนึ่งในบทละครที่ระบบทั้งสองช่วยกันเขียน
สังคมที่ลงโทษผลลัพธ์ แทนที่จะตั้งคำถามกับสาเหตุ
เมื่อความรุนแรงเกิดขึ้น สิ่งแรกที่สังคมมักทำคือหาคนผิด แล้วลงโทษให้จบเรื่อง เราตื่นตระหนกกับภาพเด็กทำร้ายเพื่อนในคลิป แต่กลับเฉยเมยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่าทุกวัน เราสบายใจกับการระบุว่า “นี่คือเด็กไม่ดี” มากกว่าที่จะถามว่า “เขาเจ็บตรงไหน” เพราะการถามแบบนั้นหมายถึงเราต้องยอมรับว่าปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากเขาคนเดียว
งานวิจัยของ Zehr (2002) ในแนวคิด Restorative Justice ชี้ว่าการมุ่งเน้นลงโทษเพียงอย่างเดียวมักทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำและผู้ถูกกระทำยิ่งห่างออกจากกัน และไม่แก้รากของพฤติกรรม ขณะที่การตั้งคำถามถึงสาเหตุและสร้างกระบวนการเยียวยาร่วมกัน สามารถลดโอกาสการกระทำซ้ำและสร้างความรับผิดชอบเชิงบวกได้มากกว่า นอกจากนี้ งานของ Masten & Cicchetti (2016) ยังชี้ว่าการรับมือกับพฤติกรรมก้าวร้าวต้องผสานทั้งการแก้ไขรายบุคคลและการปรับระบบรอบตัวเด็ก ไม่เช่นนั้น ความรุนแรงจะเป็นเพียง “อาการ” ที่เราพยายามปิดบัง โดยที่โรคยังคงอยู่
การลงโทษโดยไม่มองสาเหตุจึงเหมือนการซ่อมเพดานที่รั่วด้วยการทาสีทับ มันอาจดูเรียบร้อยในระยะสั้น แต่ปัญหาจะกลับมาอีกเสมอ และทุกครั้งที่กลับมา มันมักใหญ่กว่าเดิม
ความรุนแรงคือจดหมายที่ส่งมาถึงสังคมเพื่อให้เราตั้งคำถามร่วมกัน
ถ้าลองมองความรุนแรงของเด็กไม่ใช่เพียงการกระทำ แต่เป็น “จดหมาย” ที่ส่งมาถึงสังคม เราอาจพบว่ามันเต็มไปด้วยข้อความที่ไม่เคยถูกอ่าน บางครั้งข้อความนั้นคือ “ผมกลัวจะถูกลืม” หรือ “ผมไม่รู้วิธีอยู่รอดโดยไม่ต้องสู้” เพียงแต่ภาษาที่ใช้ถ่ายทอดมันคือการผลัก การตะโกน หรือการทำร้าย จนคนรับจดหมายปฏิเสธจะเปิดอ่าน เพราะรู้สึกว่าน่าเกลียดเกินไป
นักจิตวิทยาอย่าง Marshall Rosenberg (2003) ผู้พัฒนาแนวคิด Nonviolent Communication อธิบายว่าพฤติกรรมที่ทำร้ายผู้อื่นมักเป็นการพยายามตอบสนองความต้องการบางอย่างที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม แม้จะใช้วิธีที่ผิดและสร้างความเสียหายก็ตาม ขณะที่งานศึกษาของ Garbarino (1999) เรื่องความรุนแรงในวัยรุ่น พบว่าการช่วยให้เด็กถอดรหัสความรู้สึกและความต้องการของตัวเองได้ เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะเปลี่ยนจากการใช้หมัดเป็นการใช้คำพูด
แต่ปัญหาคือ สังคมของเรามักขยำจดหมายเหล่านี้ทิ้งทันทีที่เห็นว่ามีรอยขีดเขียนเลอะเทอะของความโกรธและความก้าวร้าว ทั้งที่ในหมึกเปื้อนนั้นมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องซ่อมแซมในชีวิตของเด็ก และบางครั้งในชีวิตของเราเองด้วย
หนทางคืนความเป็นมนุษย์ให้กัน
การรับผิดชอบต่อความรุนแรงไม่เท่ากับการทำให้ผู้กระทำหมดสิทธิ์เป็นมนุษย์ การลงโทษเพียงอย่างเดียวอาจหยุดเหตุการณ์ชั่วคราว แต่ไม่แตะรากของปัญหาที่ทำให้มันเกิดซ้ำ การแก้ไขให้ได้ผลระยะยาวจึงต้องมองเกินกว่าผลลัพธ์ที่เห็นในวันนี้ แนวทางอย่าง Restorative Justice ที่ Zehr (2002) และ Morrison (2007) อธิบาย คือการสร้างพื้นที่ให้ผู้กระทำและผู้ถูกกระทำได้พบกันในบริบทที่ปลอดภัย เพื่อฟังกัน เข้าใจกัน เยียวยาความเสียหาย และร่วมกันกำหนดเงื่อนไขใหม่ในการอยู่ร่วมกัน แนวทางนี้ไม่ได้ลบความผิดหรือทำให้ความเสียหายหายไปทันที แต่ช่วยลดโอกาสการใช้ความรุนแรงซ้ำ และเพิ่มความรู้สึกเป็นเจ้าของต่อความสัมพันธ์และชุมชน เพราะทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้ไข
ในระดับครอบครัวและโรงเรียน การคืนความเป็นมนุษย์ให้เด็ก หมายถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เขาได้เรียนรู้ว่าความเจ็บปวดไม่จำเป็นต้องแปรเป็นการทำร้ายผู้อื่น งานวิจัยของ Shonkoff & Garner (2012) เกี่ยวกับ Trauma-Informed Care ระบุว่าการจัดพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีความสม่ำเสมอ พร้อมการตอบสนองที่เข้าใจต่อพฤติกรรมที่มีรากจากบาดแผล สามารถช่วยให้สมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ การตัดสินใจ และการยับยั้งพฤติกรรมฟื้นตัวได้จริง
บทบาทของแต่ละฝ่ายในกระบวนการนี้
- พ่อแม่: ต้องแยกให้ชัดระหว่างการหยุดพฤติกรรมกับการตัดสินคุณค่าของลูก พ่อแม่ที่ตั้งขอบเขตอย่างมั่นคง แต่ยังคงฟังเหตุผลและความรู้สึกของลูก จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ว่าการรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำไม่ได้แปลว่าถูกตัดออกจากความรัก
- ครู : จำเป็นต้องมีเครื่องมือและการสนับสนุนเพื่อจัดการเหตุรุนแรงในห้องเรียนแบบไม่ซ้ำเติมบาดแผล ครูที่ใช้การซ่อมและฟื้นฟูควบคู่กับการตั้งขอบเขต จะช่วยสร้างวัฒนธรรมโรงเรียนที่ปลอดภัยและเป็นธรรม
- ผู้ใหญ่ในชุมชน : เพื่อนบ้าน ญาติ หรือผู้นำชุมชนมีบทบาทสำคัญในการเป็น “วงล้อมปลอดภัย” ที่ช่วยกันสังเกตและดูแล ไม่ปล่อยให้ครอบครัวหรือโรงเรียนต้องแก้ปัญหาเพียงลำพัง
- สื่อ : ต้องระมัดระวังไม่ทำให้เด็กกลายเป็น “ตัวร้าย” ในเรื่องราวเพียงเพราะพฤติกรรมที่เขาทำผิดพลาด การรายงานอย่างรอบด้าน และชวนตั้งคำถามกับรากของปัญหา จะช่วยให้สังคมมองเห็นมากกว่าผลลัพธ์ที่ปรากฏในคลิป
นี่ไม่ได้หมายความว่าเราควรปล่อยผ่านหรือแก้ตัวให้กับพฤติกรรมรุนแรง ตรงกันข้าม เราต้องมีระบบที่ทำสองอย่างควบคู่กัน คือหยุดพฤติกรรมทันทีเพื่อปกป้องผู้ถูกกระทำ และในขณะเดียวกันต้องฟื้นฟู “มนุษย์” ที่อยู่ข้างใต้พฤติกรรมนั้น เพื่อให้เขามีทางเลือกอื่นในการอยู่รอดโดยไม่ต้องทำร้ายใครอีก
เพราะการคืนความเป็นมนุษย์ไม่ใช่การลดความผิดให้เบาบางลง แต่คือการยอมรับว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ใหม่ได้ และสังคมต้องสร้างเงื่อนไขให้การเรียนรู้นั้นเกิดขึ้นจริง
เรายังคงมีความหวังและเรายังสามารถสร้างสังคมที่ทุกคนช่วยกันทำให้ทุกคนเป็นมนุษย์ที่ดีต่อกันได้
เรายังมีความหวัง และเรายังสามารถสร้างสังคมที่ทุกคนช่วยกันทำให้ทุกคนเป็นมนุษย์ที่ดีต่อกันได้ ความหวังนี้ไม่ได้เกิดจากการหลอกตัวเองว่าเหตุการณ์เลวร้ายจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่เกิดจากการที่เราเรียนรู้จะไม่ปล่อยให้มันเกิดซ้ำด้วยเหตุผลเดิม ๆ ครั้งหนึ่ง เขาเคยต่อยเพื่อนจนล้ม เพราะเชื่อว่านั่นเป็นวิธีเดียวที่จะปกป้องตัวเอง วันนี้ ภาพที่เห็นคือเด็กคนเดิมนั่งอยู่ข้างจักรยานที่ล้มลง ขันน็อตให้เพื่อนคนนั้นอย่างตั้งใจ บทสนทนาระหว่างพวกเขาไม่ใช่คำขอโทษใหญ่โตหรือคำสัญญาว่าจะไม่ทำอีก แต่เป็นการช่วยกันซ่อมโซ่ที่หลุดและหมุนล้อที่ฝืด เสียงหัวเราะเล็ก ๆ แทรกอยู่ระหว่างมือที่ทำงาน
ความหวังในสังคมที่มีบาดแผล ไม่ได้อยู่ที่การลืม แต่การจำอย่างมีความหมาย จำเพื่อรู้ว่าต้องเปลี่ยนอะไร และสร้างเงื่อนไขใหม่อย่างไรให้มันไม่ต้องเกิดซ้ำ เงื่อนไขนั้นเริ่มจากคนที่เลือกฟัง มากกว่าตัดสิน ฟังเพื่อเข้าใจว่าความรุนแรงสื่อสารอะไร ฟังจนได้ยินทั้งความโกรธ ความกลัว และความหวังที่ยังซ่อนอยู่ลึก ๆ และต้องมีกล้าที่จะซ่อมมากกว่าทำลาย ซ่อมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างคน ซ่อมวิธีที่เราอยู่ร่วมกันในโรงเรียนและชุมชน และซ่อมโครงสร้างใหญ่ที่เคยปล่อยให้ความรุนแรงเติบโตโดยไม่มีใครขัดขวาง
เพราะในท้ายที่สุด สังคมที่น่าอยู่ไม่ใช่เพียงสังคมที่ “ไม่มีความรุนแรง” แต่คือสังคมที่ทำให้เรามั่นใจว่า ต่อให้ใครสักคนพลาด เขาก็ยังมีพื้นที่ที่จะกลับมาเรียนรู้และเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้งในฐานะมนุษย์ที่มีค่า ไม่ใช่ตัวปัญหาที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
อ้างอิง
- Felitti, V. J., Anda, R. F., Nordenberg, D., et al. (1998). Relationship of Childhood Abuse and Household Dysfunction to Many of the Leading Causes of Death in Adults: The Adverse Childhood Experiences (ACE) Study. American Journal of Preventive Medicine, 14(4), 245–258.
- Harvard University, Center on the Developing Child. (2010). The Foundations of Lifelong Health Are Built in Early Childhood. Cambridge, MA: Harvard University.
- Bandura, A. (1977). Social Learning Theory. Englewood Cliffs, NJ: Prentice Hall.
- Gregory, A., & Fergus, E. (2017). Social and emotional learning and equity in school discipline. The Future of Children, 27(1), 117–136.
- Zehr, H. (2002). The Little Book of Restorative Justice. Intercourse, PA: Good Books.
- Masten, A. S., & Cicchetti, D. (2016). Resilience in development: Progress and transformation. Developmental Psychopathology, 1-63.
- Rosenberg, M. B. (2003). Nonviolent Communication: A Language of Life. Encinitas, CA: PuddleDancer Press.
- Garbarino, J. (1999). Lost Boys: Why Our Sons Turn Violent and How We Can Save Them. New York, NY: Free Press.
- Morrison, B. (2007). Restoring Safe School Communities: A Whole School Response to Bullying, Violence and Alienation. Sydney: Federation Press.
- Shonkoff, J. P., & Garner, A. S. (2012). The lifelong effects of early childhood adversity and toxic stress. Pediatrics, 129(1), e232–e246.