เคยสงสัยกันไหมว่าคนเราจะนั่งฟังวงเสวนาเรื่องเนิร์ดๆ อย่างคณิตศาสตร์ได้นานแค่ไหน
วิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์จะรวมอยู่ด้วยกันได้จริงๆ เหรอ?
หรือไอเดียของเราที่คนอื่นมักจะมองว่าไร้สาระ จะกลายมาเป็นงานที่มีคนมานั่งฟังทั้งวันได้จริงๆ ใช่ไหมนะ?
อาจจะฟังดูเหมือนโม้หน่อยๆ
แต่ Creatorsgarten ทำให้สิ่งที่เพิ่งพูดถึงไปนั้นเกิดขึ้นได้จริง
และเกิดขึ้นมาหลายงานแล้วด้วย!
![](https://fkwp.mappamedia.co/wp-content/uploads/2023/11/231121_Creator-Garten-54-of-111-2.jpg)
ภูมิ-ภูมิปรินทร์ มะโน / เฟย์-พิชญา เสรีพัฒนะพล / มีมี่-เขมจิรา คชดี
ทำเรื่องโง่ๆ ให้ออกมาเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ฟังแล้วหงายเงิบ
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 7 ปีก่อน จุดเริ่มต้นของ Creatorsgarten เกิดจากไอเดียของ ‘เด็กมอต้น’ อย่าง ‘ภูมิ-ภูมิปรินทร์ มะโน’ และ ‘ชุน-รพีพัฒน์ แก้วประสิทธิ์’ ที่สนใจเรื่องเทคโนโลยีมากเป็นพิเศษและรักในการเขียนโค้ด
พวกเขาจึงริเริ่มไอเดียอย่างการจัดอีเวนต์เพื่อรวมตัวคนคอเดียวกัน จนเกิดเป็นงาน ‘The Stupid Hackathon’ งาน Hackathon ที่ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อให้คนมาแข่งกันในเชิงธุรกิจ แต่เป็นงานที่เชิญทุกคนมานั่งเล่น เขียนโค้ด แชร์ไอเดียเรื่องโง่ๆ ไร้สาระ และปล่อยของผ่านโปรเจกต์บ้าๆ บอๆ ที่ใครได้ฟังก็ต้องร้อง ห๊ะ แล้วคารวะในไอเดียโง่ๆ นี้
ถึงอาจจะฟังดูเป็นงานแปลกๆ แต่ความแปลกนี้แหละที่ทำให้งาน ‘The Stupid Hackathon’ กลายเป็นที่สนใจของนักสร้างสรรค์ไอเดีย จนจัดขึ้นมายาวนานต่อเนื่องกันถึง 7 ปีแล้ว และยังมีคนสนใจเข้าร่วมงานมากขึ้นในทุกๆ ปี
เมื่อมีคนอยากเข้าร่วม ก็ต้องมีคนที่อยากจัดงาน
ด้วยเหตุนี้ ‘สวนของนักสร้าง’ จึงเกิดขึ้น
![](https://fkwp.mappamedia.co/wp-content/uploads/2023/11/231121_Creator-Garten-26-of-111-2.jpg)
สวนของนักสร้าง
“จริงๆ แล้วชื่อ Creatorsgarten มันมาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า Lifelong Kindergarten: อนุบาลตลอดชีวิต ในเล่มนี้เขาเล่าเรื่องการเรียนรู้ที่เด็กอนุบาลใช้กัน เช่น การเรียนรู้ผ่านการสร้าง (Constructionism) แล้วตอนนั้นผมกับ ปั๊บ (ชยภัทร อาชีวระงับโรค) เพื่อนในองค์กรนี้ เราอินเรื่องนี้กันมากๆ อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกว่ามันเปลี่ยนชีวิต ก็เลยมาตั้งชื่อเป็น Creatorsgarten ก็คือ ‘สวนของนักสร้าง’ เพราะ kinder- = เด็ก แต่พอเป็น creator ก็รู้สึกว่าไม่ต้องเด็กก็ได้ เรามีสมาชิกหลายรุ่น หลายช่วงวัย” ภูมิเล่าที่มาของชื่อ Creatorsgarten ให้เราฟัง
สวนแห่งนี้ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นคนที่เขียนโค้ดเป็น รักในการเป็นโปรแกรมเมอร์ หรือต้องใช้คอมพิวเตอร์เก่งๆ เท่านั้นถึงจะมาร่วมกัน ‘สร้าง’ อะไรบางอย่างได้
แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ขอแค่สนใจอยากมาร่วมสร้างและเรียนรู้อะไรบางอย่างไปด้วยกัน ก็สามารถมาร่วมกับ Creatorsgarten ได้ นี่คือภาพของคอมมูนิตี้ที่ภูมิอยากเห็น และในตอนนี้สวนของนักสร้างแห่งนี้ก็กลายมาเป็นคอมมูนิตี้ในแบบที่ภูมิคิดเอาไว้จริงๆ
‘เฟย์-พิชญา เสรีพัฒนะพล’ และ ‘มีมี่-เขมจิรา คชดี’ คือสองสมาชิกนักสร้างที่ได้มาร่วมงานกับ Creatorsgarten ในเวลาไม่นานมากนัก แต่พวกเธอก็เล่าให้เราฟังว่าคอมมูนิตี้นี้มอบประสบการณ์ที่ดีและสนุกในแบบที่หาจากที่อื่นไม่ได้ และที่สำคัญคือพวกเธอได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ มากมาย ผ่านการร่วมคิดโปรเจกต์ต่างๆ และได้ลงมือทำจริง
![](https://fkwp.mappamedia.co/wp-content/uploads/2023/11/231121_Creator-Garten-96-of-111-2.jpg)
“เราเข้า Creatorsgarten มาได้ประมาณ 2 ปี สิ่งที่เห็นคือองค์กรมันค่อยๆ ขยายขึ้นเรื่อยๆ แต่ Creatorsgarten ก็ยังให้อิสระกับทุกคน อยากเรียนรู้อะไรก็เข้าไปทำโปรเจกต์นั้นได้เลย ตอนหน้างานอยากทำอะไรก็บอก เราก็ได้งานเอาไปลองทำเลย มันเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้เรื่อยๆ” เฟย์เล่า
อีกหนึ่งสิ่งที่เฟย์เล่าให้เราฟังต่อมา คือ Creatorsgarten เป็นคอมมูนิตี้ที่เปิดกว้างให้ทุกคนได้ทำในสิ่งที่ ‘เป็นตัวเอง’
แม้เฟย์จะไม่ได้เขียนโค้ดหรือเขียนโปรแกรม แต่เธอก็สามารถช่วยในส่วนอื่นๆ ที่เธอสนใจได้ เช่น เรื่องของมาร์เก็ตติ้งหรือการจัดการ ทำให้เธอรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้ร่วมทำโปรเจกต์ เพราะได้ทำในสิ่งที่ชอบและได้มีคอนเนกชันใหม่ๆ นอกรั้วมหาวิทยาลัย
![](https://fkwp.mappamedia.co/wp-content/uploads/2023/11/231121_Creator-Garten-80-of-111-2.jpg)
มีมี่ สมาชิกวัย 16 ปี น้องเล็กในกลุ่มที่เราได้มาร่วมพูดคุยในวันนี้ และยังเป็น event director ของงาน How to Learn Almost Anything เล่าให้เราฟังว่าเธอเพิ่งเข้ามาร่วมกับ Creatorsgarten เมื่อช่วงต้นปี 2566 ซึ่งในฐานะเด็ก homeschool มีมี่คิดว่าสวนของนักสร้างแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่ทำให้เธอได้เจอกับคนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน และกลายมาเป็นอีกหนึ่ง safe space ของเธอไปเป็นที่เรียบร้อย
“มันเป็นจุดที่ให้ทุกคนได้มาเจอกัน ได้เห็นว่ามีคนสนใจเรื่องเดียวกันกับเรา เขาศึกษามาอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่เราก็ศึกษามาอีกด้านหนึ่ง เหมือนเจอจิ๊กซอว์ที่ต่อกันติดแล้วเราได้คุยได้ต่อยอดกัน มันสนุกมาก”
![](https://fkwp.mappamedia.co/wp-content/uploads/2023/11/231121_Creator-Garten-41-of-111-2.jpg)
![](https://fkwp.mappamedia.co/wp-content/uploads/2023/11/231121_Creator-Garten-31-of-111-2.jpg)
![](https://fkwp.mappamedia.co/wp-content/uploads/2023/11/231121_Creator-Garten-43-of-111-2.jpg)
สร้างการเรียนรู้ด้วยตัวเอง
เมื่อเดือนกันยายน 2566 ที่เพิ่งผ่านมานี้ ทั้งภูมิ, เฟย์ และ มีมี่ ก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้แสนสนุก ‘How to Learn Almost Anything คู่มือเรียนรู้ (เกือบ) ทุกสิ่ง ฉบับนอกห้องเรียน’ ณ อุทยานการเรียนรู้ TK Park ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
แรกเริ่มเดิมทีคอนเซ็ปต์ของงาน How to Learn Almost Anything นี้ คือการเปิดพื้นที่ให้คนที่สนใจเรื่องต่างกันได้มาเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ทาง Creatorsgarten ก็ได้จัดงาน How to Learn Almost Anything 1 ขึ้นมาจากคำถามตั้งต้นว่าแต่ละคนเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ อย่างไร และในตอนนั้นมีผู้คนหลายช่วงวัย หลายอาชีพ ให้ความสนใจเข้าร่วมงาน ไม่เว้นแม้กระทั่งพระสงฆ์
“ที่จริงแล้วงาน How to Learn Almost Anything ครั้งนี้เป็นงานที่เกือบจะไม่ได้จัด เพราะตอนแรกผมกับปั๊บเราจะมีกฎกันอยู่ว่าจะไม่จัดงานที่เรารู้สึกว่ามันจำเจเป็นครั้งที่สอง แต่กลายเป็นว่าพอได้มีมี่มาให้ไอเดียเรื่อง homeschool ก็รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกตัวเองเหมือนกัน พอมีคนที่อยู่นอกวงตัวเองมาช่วยคิด บางทีมันได้อะไรที่ใหม่กว่าเดิม” ภูมิเล่า
งาน How to Learn Almost Anything 2023 นี้ จึงเกิดเป็นคอนเซ็ปต์การเรียนรู้นอกห้องเรียนที่นำเอาทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructionism) มาใช้ เพราะทาง Creatorsgarten อยากให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมนี้สามารถเป็นเจ้าของการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง และงานนี้ยังมีตั้งแต่ผู้เข้าร่วมวัย 9 ขวบไปจนถึงผู้ใหญ่
“หลายคนเข้าใจผิดว่า Constructionism คือการสร้าง physical sense เช่น ต่อเลโก้ แต่จริงๆ แล้ว Constructionism คือการสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเอง เวลาเราเรียนในโรงเรียน เรารู้สึกว่าสูตรคณิตศาสตร์มันเป็นอะไรที่ลอยมาจากฟ้า มีคนคนหนึ่งให้มา แต่ Constructionism คือการที่เราใช้การสร้างหรือ discover อะไรต่าง ๆ เพื่อค้นพบสิ่งนั้นเอง”
“ผมยกตัวอย่างตัวเองตอนที่อายุประมาณ 15 ปี อาจารย์สอนเรื่องเมทริกซ์บนกระดานอยู่ เพื่อนในห้องก็ยกมือถามว่า ‘อาจารย์คะ เราเรียนเรื่องเมทริกซ์ไปทำไม’ อาจารย์ก็บอกว่าไม่รู้ ไปถามภูมิดู ผมก็เลยสนใจว่าถ้าเราจะเรียนเรื่องเมทริกซ์แบบไม่เรียน ต้องทำยังไง”
“ผมจำได้ว่าเมทริกซ์มันใช้ในเกมก็เลยลองวาดรูปต้นไม้ วาดรูปน้ำทะเลด้วยเมทริกซ์ดู แล้วมันทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคนสร้างองค์ความรู้นั้นเอง ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นคนที่สร้างวิชานั้นขึ้นมา แล้วมันจะดีสำหรับเด็กเพราะเด็กจะไม่ถามสองคำถาม คำถามแรกคือ เรียนไปทำไม คำถามที่สองคือ มันมาได้ยังไง” ภูมิอธิบาย
พื้นที่ปลอดภัยในการเรียนรู้
“ผมรู้สึกว่าสิ่งสำคัญที่สุดของการเรียนรู้ คือ self-expression หรือการได้แสดงความเป็นตัวตนของตัวเองออกมา” ภูมิบอก
สิ่งหนึ่งที่ Creatorsgarten คำนึงถึงเสมอ คือวิธีการออกแบบกิจกรรมที่สร้าง safe space ให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกปลอดภัยและกล้าที่จะแสดงความเป็นตัวเองออกมา เมื่อพื้นที่ตรงหน้าเป็นพื้นที่ปลอดภัย ผู้ร่วมกิจกรรมจะรู้สึกสนุกที่จะเรียนรู้ เปิดรับการเรียนรู้ และเกิดการเรียนรู้กับสิ่งนั้นจริงๆ
มีมี่เล่าว่ากิจกรรมในงาน How to Learn Almost Anything แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือกิจกรรมการเล่นบอร์ดเกมและเลโก้ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมแสดงความเป็นตัวตนออกมาผ่านการเล่น ส่วนที่สองเป็นการดีเบตกันระหว่างผู้เข้าร่วมงานทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ใช้คำถามตั้งต้นสนุกๆ อย่างข้าวมันไก่ใส่ห่อหรือใส่กล่อง และส่วนสุดท้ายคือทำกิจกรรมในโลกต่างๆ ทั้ง 3 ใบที่ทีมงานสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นโลกอิเซไก ดาวอังคาร และโลกของวิญญาณภูตผี โดยจะให้ทุกคนได้เข้าไปอยู่ในโลกที่ตัวเองสนใจแล้วสร้างต่อเติมให้โลกนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
“ทุกกิจกรรมมันมีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือเราปล่อยให้ผู้ร่วมงานทุกคนได้มีอิสระในความคิดของตัวเอง แล้วก็เติมแต่งทุกอย่างเข้าไปในแบบของตัวเอง พร้อมกับรับฟังความคิดของคนอื่นไปด้วย เรารู้สึกว่าเราได้ปูพื้นฐานให้เด็กได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้คือการใช้ชีวิตนอกโรงเรียนจริงๆ เพราะเราต้องเจอคนหลายแบบในสังคม และขณะเดียวกันเราก็ต้องเป็นตัวของตัวเองให้ได้ด้วย” เฟย์ขยายความ
“หรืออย่างกิจกรรมโลกทั้ง 3 ใบ มันก็เป็นมุมมองที่เห็นต่างกันออกไป แล้วตอนสุดท้ายจะมีโลกใบที่ 4 ที่สร้างขึ้นมาด้วยความสมัครใจของเด็กๆ กลุ่มสุดท้ายที่เขาไม่อยากอยู่ใน 3 โลกก่อนหน้า เพราะเขาอยากอยู่ในโลกใบนี้” มีมี่เสริม
งาน How to Learn Almost Anything ครั้งนี้ มีมี่ผู้มีประสบการณ์ในการเรียน homeschool ได้เข้ามามีบทบาทในการออกแบบกิจกรรมและมอบ insight ให้กับทีม ทำให้รูปแบบกิจกรรมภายในงานค่อนข้างตอบโจทย์ผู้เรียนที่มีความสนใจและความถนัดที่หลากหลาย เข้าถึงได้ทั้งเด็กบ้านเรียนและเด็กทั่วไป
นอกจากนี้ยังมีการใช้ทฤษฎี 4P ที่ภูมิถอดบทเรียนมาจาก Mitchel Resnick ผู้เขียนหนังสือ Lifelong Kindergarten: อนุบาลตลอดชีวิต มาช่วยสร้างสีสันให้งานนี้และทำให้กิจกรรมที่มีอยู่สนุกและสร้างเสริมจินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด
“Mitchel Resnick บอกว่าวิธีเล่นของเด็กนั้นมี 4 ข้อ คือ Project, Passion, Peer และ Play ผู้ใหญ่มักจะทำให้ 4 อย่างนี้ดูเป็นเรื่องน่ากลัว จริงจัง แต่พอเด็กๆ ได้เล่น เราจะเห็นว่า 4P มันคือวิธีเล่นธรรมชาติของเด็ก”
“Project คือเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่โปรเจกต์จริงจัง แต่มันคือการที่เด็กคุยกันว่าเราจะล้มยานอวกาศอย่างไร จะสู้กับจอมมารอย่างไร Passion คือเรื่องความสนใจ เด็กแต่ละคนจะสนใจอะไรแปลกๆ เช่น บางคนสนใจช่วยจอมมาร บางคนสนใจเรื่องอวกาศก็มานั่งคุยกันว่ามันจะหลุดวงโคจรหรือเปล่า เด็กๆ คุยกันจริงจังมาก”
“Peer ก็คือเพื่อน ซึ่งเป็นข้อที่สำคัญแทบจะที่สุดเลย เพราะบางทีการเล่นคนเดียวมันจะขาดคนที่จะมาเติมเต็มเรา หรือมองอีกมุมหนึ่งคือเราไม่ได้อยู่บนโลกคนเดียวอยู่แล้ว การจับกลุ่มอยู่ด้วยกันเพื่อทำอะไรแบบนี้ ได้มีคนมาท้าทายความคิดเขา มันเหมือนเราจำลองโลกจริงๆ ให้เด็ก และมันเป็นกิจกรรมที่ได้เปิดโลกจริงๆ”
“และสุดท้ายคือ Play นั่นคือเขาได้เล่น”
“สำหรับผม ผมรู้สึกว่า Play สำคัญ คำว่า playful มันมี element ของการได้เล่น และสิ่งที่มันขาดไปในโลกจริงของการทำโปรเจกต์มันคือ playful เมื่อไรก็ตามที่เรามองโปรเจกต์เป็นเรื่องเครียด จริงจัง ความเป็นเด็กของเราจะหายไป เราจะไม่กล้าทดลอง ไม่กล้าตั้งคำถาม ไม่เหมือนตอนอนุบาลที่เราอยากจะเอาจรวดไปชนอะไรก็ชนได้ ซึ่งเวลาเราทำโปรเจกต์จริง เมื่อไรก็ตามที่เราขาด Play โปรเจกต์นั้นก็จะขาดจิตวิญญาณของมันไป”
และทั้งหมดนี้เองคือสิ่งที่ทำให้งาน How to Learn Almost Anything ประสบความสำเร็จ
![](https://fkwp.mappamedia.co/wp-content/uploads/2023/11/231121_Creator-Garten-106-of-111-2-1024x683.jpg)
ถอดรหัสความสนุกในความเนิร์ด
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในแต่ละงานหรือแต่ละกิจกรรมของ Creatorsgarten จะมีลายเซ็นอะไรบางอย่างอยู่ในรูปแบบของงานนั้นๆ แต่สิ่งที่โดดเด่นมากที่สุด คงจะเป็น ‘ความเนิร์ด’ ในแบบที่ไม่เหมือนใคร เพราะความเนิร์ดในแบบของเหล่านักสร้างในสวนแห่งนี้ คือความเนิร์ดที่มาพร้อมกับ ‘ความสนุก’ ทำให้ทุกกิจกรรมของ Creatorsgarten มีความแปลกใหม่ไม่ซ้ำคนอื่น
ยกตัวอย่างเช่น งาน Sciยศาสตร์ Night: คืนไสยศาสตร์เดือนวิทยาศาสตร์กรุงเทพฯ ที่นำเอาไสยศาสตร์และทฤษฎีวิทยาศาสตร์มารวมกัน เปิดพื้นที่ให้คนได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างสนุกสนาน เอาสูตรคณิตศาสตร์มาใช้ในการคำนวณ
หรือแม้แต่วงเสวนา Maths at Sundown: คณิตศาสตร์พลบค่ำ ที่นำเอาปัญหาคณิตศาสตร์ในหลายมุมมองมาลองพูดคุยกัน ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของการนับและการคำนวณของมนุษย์ ไปจนถึงจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้มนุษย์รู้จักกับ mathematical analysis และการนำคณิตศาสตร์มาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในศาสตร์ต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งและแม่นยำ
“สิ่งหนึ่งที่ผมพูดกับปั๊บมาตั้งแต่วันแรกๆ ที่จัดงานเมื่อ 7 ปีก่อน คือการจัดงานเราแคร์สตาฟก่อนที่จะแคร์คนมาร่วม เพราะเรารู้สึกว่ามันคล้ายๆ กับแอร์โฮสเตสที่ถ้าดูแลแอร์โฮสเตสดี เขาก็จะให้ประสบการณ์ที่ดีกับผู้โดยสาร ดังนั้นคนจัดต้องอินกับสิ่งที่ตัวเองจัดก่อน ไม่ได้มองว่าเป็น organizer อย่างเดียว แต่สามารถเนิร์ดกับเรื่องนั้นได้ด้วย เช่น เรารู้สึกว่าที่เราจัดงานให้กับพวกโปรแกรมเมอร์ พวกงาน tech แล้วคนอิน เพราะมันเป็นสิ่งที่เรารู้สึกอินมากๆ” ภูมิเล่าถึงเคล็ดลับในการจัดงานให้สนุก
“เพราะเราจัดด้วยความสนุก ถ้าคนจัดสนุกมันก็จะไม่เนิร์ดแล้ว”
มีมี่เสริมว่า “อีกเรื่องที่สำคัญคือการสื่อสาร ถ้าสมมติครูเอาป้ายมาบอกว่าให้ไปเข้าร่วมกิจกรรมที่นี่เพื่อเรียนรู้นะ มันก็ไม่น่าไปแล้ว แต่ถ้าสมมติว่าป้ายนี้บอกว่าที่นี่มีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจให้เราเข้าไปดูได้ มันคนละโทนแล้วแม้จะเป็นงานเดียวกัน เราเลยมองว่าการสื่อสารก็สำคัญว่าเราจะสื่อถึงตัวผู้เข้าร่วมงานได้ยังไง”
“เวลาที่เราอยากสร้างอะไรหรืออยากทำอะไรสักอย่าง แต่ละคนใน Creatorsgarten จะมีสิ่งที่อยากทำอยู่แล้ว มันเลยทำให้แต่ละคนมีการเรียนรู้เพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ ได้ ทุกอย่างที่ทำเราก็จะ research เอง เรามีแพสชันไปกับมัน แล้วเราก็เสพติดและสนุกเพราะเราได้เรียนเรื่องใหม่ไปเรื่อยๆ” เฟย์ปิดท้าย
นี่แหละคือความสามารถพิเศษของ Creatorsgarten
ทำเรื่องที่ (ดูเหมือน) เนิร์ด ให้กลายเป็นเรื่องที่สนุก เข้าใจง่าย
แต่ท้ายที่สุด คนที่มาร่วมงานจะได้เรียนรู้อะไรสักอย่างกลับไปไม่มากก็น้อย