“รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี”คำพูดติดปากที่กลายเป็นข้ออ้างของการใช้ความรุนแรง มองความรุนแรงในครอบครัวผ่านกฎหมายใหม่ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎ แต่คือการเรียนรู้ของทั้งสังคม

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 กฎหมายใหม่ที่ห้ามตีเด็กมีผลบังคับใช้ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยมีสาระสำคัญคือ การแก้ไขจากกฎหมายเดิมที่ให้พ่อแม่ลงโทษลูก “ตามสมควร” มาเป็นการย้ำชัดว่าพ่อแม่ยังสามารถสั่งสอนลูกได้ แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ และไม่กระทำโดยมิชอบ เพื่อลดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่มักถูกมองว่า “เป็นเรื่องในบ้าน”

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้กฎหมายไทยสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กของสหประชาชาติ ที่มุ่งคุ้มครองเด็กจากการถูกทำร้ายในทุกรูปแบบ ถือเป็นก้าวสำคัญหลังจากใช้กฎหมายเดิมมายาวนานถึง 88 ปี จากเดิมเป็นการกำหนดอย่างกว้าง ๆ ให้พ่อแม่มีสิทธิลงโทษบุตรได้ “ตามสมควร” เพื่อว่ากล่าวสั่งสอน โดยไม่มีหลักประกันว่าวิธีการลงโทษนั้นต้องไม่เป็นการทารุณกรรม ส่งผลให้อำนาจหรือดุลยพินิจในการเลือกวิธีลงโทษอยู่ที่พ่อแม่ ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่ให้สามารถใช้ความรุนแรงต่อเด็กได้

ไม่เพียงแค่ประเทศไทยเท่านั้นที่มีกฎหมายลักษณะนี้ สวีเดนเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎหมายห้ามตีเด็กในปี 2522 โดยห้ามการลงโทษทางร่างกายทั้งในบ้านและโรงเรียน ส่วนฝรั่งเศสและญี่ปุ่นก็ออกกฎหมายห้ามตีเด็กในปี 2562 เช่นกัน

มองรากของปัญหาการใช้ความรุนแรงในการเลี้ยงดูเด็กในประเทศไทยจากอดีตจนถึง “กฎหมายไม่ตีเด็ก”

 เพื่อให้เข้าใจว่ากฎหมายใหม่เกิดขึ้นจากอะไร และจะเปลี่ยนแปลงสังคมไทยได้จริงหรือไม่ เราจำเป็นต้องมองย้อนกลับไปยังรากของปัญหาในวัฒนธรรมและความเชื่อ

รากของปัญหาการใช้ความรุนแรงในการเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทยฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมและค่านิยมที่ถ่ายทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งมองว่าการตีหรือดุด่าเป็น “วิธีสั่งสอน” ที่พ่อแม่มีสิทธิทำได้ เพราะเด็กถูกมองว่าเป็นผู้ด้อยประสบการณ์และอยู่ในความปกครองของผู้ใหญ่ กฎหมายเดิมที่ให้อำนาจพ่อแม่ลงโทษลูก “ตามสมควร” โดยไม่ระบุขอบเขตชัดเจน จึงเป็นการเปิดช่องให้ความรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติในครอบครัว และแม้จะมีกลไกยุติธรรมในการคุ้มครองเด็ก แต่ก็ยากสำหรับเด็กที่จะเข้าถึงหรือใช้สิทธินั้นได้จริง

อย่างไรก็ดี การจะเปลี่ยนแปลงได้จริง ต้องย้อนกลับไปดูที่รากของปัญหา ซึ่งไม่ได้จบแค่การออกกฎหมายและการลงโทษ แต่รวมถึงการให้ความรู้ การยกระดับคุณภาพชีวิต และการเปลี่ยนทัศนคติของผู้ใหญ่ต่อเด็กในฐานะมนุษย์ที่มีสิทธิเท่าเทียม

กองบรรณาธิการ Mappa สำรวจรากของปัญหาความรุนแรงในครอบครัวไว้ดังนี้:

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าความรุนแรงต่อเด็กไม่ได้เกิดจากเจตนาเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากโครงสร้าง ความเชื่อ และเงื่อนไขหลายประการที่ซ้อนทับกัน เราขอชวนมาสำรวจต้นตอใน 5 มิติสำคัญ:

  1. วัฒนธรรมและค่านิยมดั้งเดิม
  • ความเชื่อที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี”: ความเชื่อนี้ฝังรากลึกในสังคมไทย ทำให้การตีเด็กถูกมองว่าเป็นวิธีสั่งสอนที่เหมาะสม
  • การเน้นความเคารพและวินัย: สังคมไทยมักให้ความสำคัญกับการเคารพผู้ใหญ่และวินัย ซึ่งบางครั้งนำไปสู่การใช้ความรุนแรงเพื่อบังคับให้เด็กเชื่อฟัง
  1. การขาดความรู้และทักษะในการเลี้ยงดูเชิงบวก
  • การขาดการอบรมสำหรับผู้ปกครอง: ผู้ปกครองหลายคนไม่เคยได้รับการเรียนรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูโดยไม่ใช้ความรุนแรง
  • การไม่เข้าใจพัฒนาการเด็ก: ผู้ปกครองบางคนไม่รู้ว่าความรุนแรงส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจของเด็กอย่างไร
  1. ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม
  • ความเครียดจากภาวะเศรษฐกิจ: ปัญหาปากท้องและความไม่มั่นคงในชีวิตประจำวันทำให้เกิดความเครียดสะสม ซึ่งอาจถูกระบายออกด้วยความรุนแรงในบ้าน
  • โครงสร้างครอบครัวที่เปลี่ยนไป: ครอบครัวขยายลดลง ครอบครัวเดี่ยวเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ปกครองขาดเครือข่ายสนับสนุน
  1. การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เข้มงวด
  • กฎหมายที่ยังไม่ชัดเจน: ก่อนหน้านี้กฎหมายไทยไม่ได้ระบุชัดเจนว่าการใช้ความรุนแรงในการเลี้ยงดูเด็กเป็นสิ่งผิด
  • การขาดการบังคับใช้: แม้มีกฎหมายใหม่ แต่หากไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง ก็ยากที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางปฏิบัติ
  1. การขาดการให้ความสำคัญกับสิทธิเด็ก
  • การมองเด็กเป็นทรัพย์สิน: บางครั้งเด็กถูกมองว่าเป็นสิ่งที่พ่อแม่เป็นเจ้าของ จึงรู้สึกว่ามีสิทธิ์ตัดสินใจแทนทั้งหมด
  • การขาดการให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิเด็ก: สังคมไทยยังไม่ให้ความสำคัญกับการให้ความรู้เรื่องสิทธิเด็กอย่างทั่วถึง

เมื่อมองเห็นรากและโครงสร้างของปัญหาแล้ว คำถามต่อมาคือ อะไรคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ความรุนแรงในครอบครัวลดลง และการอบรมเลี้ยงดูเด็กเหมาะสมมากขึ้น 

ปรับอย่างไรถึงจะเปลี่ยนได้จริง: ทัศนคติและมุมมองของผู้ใหญ่คือหัวใจ 

กฎหมายนี้ไม่เพียงเปลี่ยนถ้อยคำในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เคยให้ “สิทธิลงโทษตามสมควร” เท่านั้น แต่ยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งกว่าเดิม นั่นคือ การเปลี่ยนทัศนคติของผู้ใหญ่ต่อเด็ก

  1. เด็กคือมนุษย์ที่มีสิทธิ เด็กไม่ใช่ “ของ” ของพ่อแม่ แต่คือมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี มีสิทธิในการเติบโต พัฒนา และเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เด็กมีสิทธิที่จะได้รับการปกป้องจากความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งการตี ดุด่า ข่มขู่ หรือการเมินเฉยต่อความรู้สึก
  2. เรียนรู้วิธีการอบรมเชิงบวก เมื่อกฎหมายห้ามใช้ความรุนแรงในการเลี้ยงดู เด็กไม่ได้ควบคุมยากขึ้นอย่างที่หลายคนกังวล ตรงกันข้าม การอบรมที่ใช้ความเข้าใจและเหตุผลกลับส่งเสริมพัฒนาการได้ดียิ่งขึ้น
  • สื่อสารด้วยความเข้าใจ ให้กำลังใจแทนการดุด่า
  • อธิบายเหตุผลของกฎเกณฑ์ เพื่อให้เด็กเรียนรู้ความรับผิดชอบ
  1. เข้าใจว่าอะไรคือความรุนแรง เพื่อเลี่ยงการใช้ความรุนแรงโดยไม่รู้ตัว ผู้ใหญ่ควรรู้ว่าความรุนแรง ประกอบไปด้วย:
  • ความรุนแรงทางร่างกาย เช่น การผลัก ดึง หรือเฆี่ยนตี
  • ความรุนแรงทางอารมณ์ เช่น การดูถูก ข่มขู่ เพิกเฉย
  • การละเลย เช่น ไม่ดูแลให้เพียงพอ หรือปล่อยให้เด็กเผชิญอันตรายโดยลำพัง
  1. สร้างสภาพแวดล้อมที่เด็กเติบโตได้อย่างมั่นคง การสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กไม่ใช่หน้าที่ของครอบครัวเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมของทั้งสังคม:
  • ในบ้าน: ให้ความอบอุ่น ความเข้าใจ และการยอมรับ
  • ในโรงเรียน: สนับสนุนการเรียนรู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง
  • ในสังคม: สร้างวัฒนธรรมที่เคารพสิทธิเด็ก และสนับสนุนพ่อแม่ให้มีทักษะในการเลี้ยงดูอย่างสร้างสรรค์

กฎหมายอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ถ้าเราจะหยุดความรุนแรงต่อเด็กได้จริง สังคมไทยจำเป็นต้องทำมากกว่าการออกกฎหมาย ต้องกล้ามองลึกลงไปถึงต้นเหตุ และสร้างการเปลี่ยนแปลงจากฐานรากของระบบความคิด ความเชื่อ และโครงสร้างครอบครัว กฎหมายไม่ตีเด็กคือจุดเริ่มต้น แต่การเปลี่ยนทัศนคติของผู้ใหญ่ การเข้าใจการเติบโตของมนุษย์อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริง


Writer

กองบรรณาธิการ Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts