ในหลายประเทศ ภาวะเกรดเฟ้อจนกลายเป็นเรื่องน่าวิตก นักวิชาการในสหรัฐอเมริการายงานว่า เกรด A ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของความโดดเด่น บัดนี้กลายเป็นเกรดที่นักศึกษากว่าครึ่งได้รับเป็นเรื่องธรรมดา [Rojstaczer & Healy, 2012] ขณะที่ในนิวซีแลนด์ งานศึกษาของ The New Zealand Initiative พบแนวโน้มเดียวกัน ระหว่างปี 2006 ถึง 2022 สัดส่วนเกรด A เพิ่มขึ้นจาก 22% เป็นมากกว่า 35% [Kierstead, 2024] ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกว่า Grade Inflation หรือ “เกรดเฟ้อ”
โลกการศึกษาในนานาประเทศจึงกังวลว่า หากทุกคนได้ A การวัดผลจะยังทำหน้าที่แยกแยะความรู้และความสามารถได้จริงหรือไม่ แต่สำหรับประเทศไทย ข่าวทำนองนี้อาจไม่ก่อแรงสะเทือนมากนัก เพราะลึก ๆ แล้ว เราต่างรู้ดีว่าเกรดในระบบของเราไม่เคยสะท้อนชีวิตจริงหรือการเรียนรู้ของเด็กตั้งแต่ต้น
ในห้องเรียนไทย เกรด A หรือเกรด 4 ไม่ได้หมายถึงการเข้าใจความรู้หรือสิ่งที่เรียนรู้อยู่อย่างลึกซึ้งเสมอไป สิ่งที่มันสะท้อนบ่อยกว่าคือความสามารถในการท่องจำเนื้อหาปริมาณมหาศาล การตอบคำถามแบบเลือกตอบได้ถูกต้อง หรือทักษะการเดาหรือทำข้อสอบจนได้คะแนนสูง แม้ทักษะเหล่านี้จะมีความสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ทักษะที่สำคัญที่สุดเมื่อเด็กต้องเผชิญโลกจริง เพราะโลกการทำงานไม่ได้มีตัวเลือกให้เลือกตอบ หรือต้องการเพียงคำตอบเดียวที่ถูกต้อง หากแต่ถามหาความคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และความยืดหยุ่นในการเรียนรู้สิ่งใหม่เมื่อเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงไป
เกรดในระบบจึงมักเป็นเพียงการประเมินความสามารถในการเล่นเกมข้อสอบ มากกว่าการบอกว่าคน ๆ หนึ่งพร้อมแค่ไหนที่จะใช้ชีวิตในโลกจริง เด็กจำนวนไม่น้อยสอบผ่านบนกระดาษได้อย่างงดงาม แต่กลับสอบตกทันทีเมื่อชีวิตถามหาทักษะที่ไม่เคยถูกวัดในห้องสอบ ยิ่งไปกว่านั้น ในปัจจุบันบริษัทจำนวนมากในประเทศไทยไม่ได้ตัดสินใจรับเด็กเข้าทำงานจากใบเกรดเป็นหลักอีกต่อไป เกรดอาจยังถูกถามในใบสมัคร แต่สิ่งที่ถูกพิจารณาจริง ๆ คือผลงานที่จับต้องได้ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือแม้แต่ทัศนคติและความยืดหยุ่นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ [World Economic Forum, 2020]
เราอาจต้องยอมรับว่า เกรดที่เด็กถืออยู่ไม่ใช่หลักฐานของการเรียนรู้
แต่เป็นเพียงเศษกระดาษที่สังคมตกลงกันเองว่าจะเชื่อ
ทั้งที่โลกการทำงานตระหนักดีว่าการใช้ “ภาษาเกรด” ไม่ได้สอดคล้องกับทักษะจริงของเด็กคนนั้นไปนานแล้ว
GRADE INFLATION ปรากฎการณ์เกรดเฟ้อ : เมื่อเกรด A ก็กลายเป็นค่าเฉลี่ยทั่ว ๆ ไป ที่ใครๆ เขาก็ได้กัน
ในโลกการศึกษา เกรดเคยเป็นเหมือนภาษากลางที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน ตัวอักษรหนึ่งตัว A, B, หรือ C ทำหน้าที่บอกเล่าความพยายาม ความเข้าใจ และศักยภาพของเด็กคนหนึ่งได้ในสายตาของครู มหาวิทยาลัย และแม้กระทั่งตลาดแรงงาน มันเคยเป็นสัญลักษณ์ที่มีอำนาจในการจัดลำดับ ใครจะได้ทุน ใครจะได้โอกาส ใครจะได้งานแรกในชีวิต
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เกรด “A” ก็เริ่มเสื่อมถอยลงในหลายประเทศ ข้อมูลจากสหรัฐอเมริการะบุว่า ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 สัดส่วนของนักศึกษาที่ได้เกรด A เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเพียง 31% ในปี 1988 เป็นเกือบ 45% ในปี 2013 และยังคงขยายตัวเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน A กลายเป็นเกรดของ “คนส่วนใหญ่” มากกว่าคนที่โดดเด่น (Rojstaczer & Healy, 2012) ขณะที่ในนิวซีแลนด์ รายงานของ The New Zealand Initiative ชี้ว่า ระหว่างปี 2006–2022 สัดส่วนเกรด A เพิ่มขึ้นจาก 22% เป็นกว่า 35% (Kierstead, 2024) ปรากฏการณ์นี้เองที่ถูกเรียกว่า Grade Inflation หรือ “เกรดเฟ้อ”
สิ่งที่เคยเป็นรางวัลสำหรับความเข้าใจลึกซึ้ง กลายเป็นเพียงบัตรผ่านที่แจกให้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “นักเรียนวันนี้เก่งกว่าเดิมหรือไม่” แต่เราควรช่วยกันถามว่า “เรากำลังใช้มาตรวัดความรู้และการเรียนรู้ที่ยังมีความหมายอยู่หรือเปล่า”
ความกังวลนี้สะท้อนถึงสิ่งที่ลึกกว่าตัวเลข เมื่อเกรด A ไม่ได้ทำหน้าที่แยกแยะระหว่างการเรียนรู้ที่แท้จริงกับการเรียนรู้ที่ผิวเผินอีกต่อไป เราอาจกำลังยืนอยู่บนระบบการศึกษาที่ใช้มาตรฐานซึ่งสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ของมันไปแล้ว
และเมื่อมาตรฐานกลางเริ่มพร่าเลือน คำถามใหญ่ก็คือ เรายังเหลือ “ภาษา” อะไรไว้ใช้เล่าเรื่องราวของการเรียนรู้ ที่มากกว่าตัวอักษรบนกระดาษ?
เมืองไทยกระทบกับระบบเกรดเฟ้อไหม? เมื่อหลักสูตรของเราฝึกเด็กให้ท่องจำ ไม่ได้ฝึกให้คิด
ในประเทศที่ระบบการศึกษามุ่งสร้างการเรียนรู้เชิงลึก เกรดเฟ้อคือสัญญาณเตือนใหญ่ เพราะมันทำให้เกรดที่เคยสะท้อน “ความเข้าใจจริง” สูญเสียความหมายไป แต่สำหรับเมืองไทย เหตุผลที่เรานิ่งเฉย อาจเป็นเพราะเกรดไม่เคยสะท้อนความเข้าใจจริงของผู้เรียนอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
Mappa ลองชวนดูว่ามันน่าจะเป็นเพราะอะไร
1. หลักสูตรที่เน้นเนื้อหา มากกว่าทักษะ
หลักสูตรการศึกษาไทยยังคงเชื่อว่า “การเรียนรู้” คือการครอบครองข้อมูล ยิ่งจำได้มาก ยิ่งถือว่าเรียนรู้มาก วิชาหลักถูกออกแบบให้มีปริมาณเนื้อหามหาศาล เด็กต้องเร่งเรียนให้ทันในเวลาอันจำกัด สิ่งที่สำคัญที่สุดจึงไม่ใช่การเข้าใจ แต่คือการจำและตอบให้ตรง
เมื่อหลักสูตรยังคงให้คุณค่ากับ “การจำได้” มากกว่า “การใช้เป็น” เกรดที่ออกมาจึงสะท้อนเพียงปริมาณข้อมูลที่เด็กเก็บได้ในระยะสั้น ไม่ใช่ความเข้าใจที่หยั่งรากลึก เกรดเฟ้อจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะต่อให้เกรดไม่เฟ้อ มันก็ไม่ได้บอกอยู่แล้วว่าเด็กพร้อมจะใช้ชีวิตจริงแค่ไหน
2. การสอนที่ผู้เรียนเป็นผู้ตามเสมอ
ในห้องเรียนไทย ครูคือผู้บอก เด็กคือผู้ฟัง ระบบนี้ทำให้การถาม-ตอบเชิงวิเคราะห์ถูกแทนที่ด้วยการท่องจำตามครู และเมื่อเด็กพยายามคิดต่าง มักถูกมองว่าเป็น “การก่อกวน” หรือ “ไม่ตั้งใจเรียน” จึงไม่แปลกที่สิ่งที่ได้คะแนนสูงสุดคือ “การตอบให้ตรงที่ครูสอน” มากกว่าการคิดกว้างไกลออกไปจากกรอบเนื้อหาที่มี
เกรดจึงไม่เคยสะท้อนศักยภาพของการคิดอิสระหรือความสามารถจริงของเด็ก แต่สะท้อนเพียงความ “ว่าง่าย” และการทำตามกรอบที่ครูกำหนดไว้
3. การวัดผลที่ผูกขาดด้วยข้อสอบ
ข้อสอบแบบปรนัยและคำตอบเดียวถูกใช้เป็นมาตรฐานกลาง เพราะง่ายต่อการตรวจและจัดการ แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็ตัดทิ้งมิติของความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาแบบไม่มีคำตอบเดียว หรือการทำงานร่วมกันไปอย่างสิ้นเชิง ใครที่เก่งการทำข้อสอบจึงได้เกรดสูง ใครที่ถนัดการคิดแบบนอกกรอบมักถูกทำให้เป็น “เด็กกลาง ๆ” หรือ “เด็กเกรดต่ำ”
ผลคือเกรดไทยบอกได้เพียงว่าใครเล่นเกมข้อสอบได้คล่อง ไม่ใช่ว่าใครเรียนรู้ลึก หรือใครมีความสามารถที่แท้จริงต่อการทำงานและการใช้ชีวิต เกรดเฟ้อจึงไม่ใช่ปัญหาที่น่ากลัว เพราะไม่ว่าเกรดจะเฟ้อหรือไม่ เกรดก็ไม่เคยมีความหมายเชิงคุณภาพกับการเรียนรู้ของเด็กเลย
4. วัฒนธรรมการเรียนที่ผูกกับการสอบแข่งขัน
สังคมไทยผูกคุณค่าของการศึกษาเข้ากับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยและการสอบบรรจุงานราชการ การเรียนรู้จึงถูกแปลงสภาพเป็น “การแข่งขันเพื่อผ่านเกณฑ์” มากกว่าการแสวงหาความหมาย เกรดสูงจึงไม่ได้หมายถึงการเรียนรู้อย่างแท้จริง แต่เป็นการสะสมแต้มเพื่ออยู่รอดในสนามสอบ
ในระบบเช่นนี้ เกรดกลายเป็นเพียง “ตั๋วเข้าสู่สนามถัดไป” ไม่ใช่เครื่องมือบอกว่าคนหนึ่งเรียนรู้อะไรจริง ๆ ทั้งหมดนี้ทำให้ “เกรดไทย” ไม่เคยถูกใช้เป็นภาษาแทนการเรียนรู้เชิงลึกเหมือนที่โลกตะวันตกเคยเชื่อถือ มันเป็นเพียงตัวเลขที่บอกว่าใครจำเก่งกว่า ตอบได้ตรงกว่า หรือเชื่อฟังได้มากกว่า แต่ไม่ได้บอกอะไรเลยว่าเด็กคนนั้นจะยืนอยู่ในโลกจริงได้อย่างไร
เพราะเหตุนี้เอง เวลาที่โลกกำลังตื่นตระหนกกับภาวะเกรดเฟ้อ หรือ Grade Inflation จะทำให้เกรดสูญเสียความหมายหรือไม่ เมืองไทยกลับไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่นัก หรือรู้สึกก็แอบเขินๆ เล็กน้อย เพราะความหมายที่แท้จริงนั้น เราไม่เคยมีมาตั้งแต่แรก
เกรดถูกสร้างมาเพื่อจัดลำดับ ไม่ใช่เพื่อเล่าเรื่องการเรียนรู้
ระบบเกรดที่เราคุ้นเคย A, B, C, D หรือเกรด 4, 3, 2, 1 ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน หากแต่ถูกออกแบบขึ้นในศตวรรษที่ 19 ถึง 20 เพื่อแก้โจทย์ของการศึกษาในยุคที่มีผู้เรียนจำนวนมหาศาล ครูไม่สามารถรู้จักเด็กทุกคนได้อย่างใกล้ชิด ระบบจึงต้องสร้าง “มาตรฐานกลาง” เพื่อจัดลำดับและเปรียบเทียบ เกรดจึงทำหน้าที่เหมือนภาษาสากลที่ทำให้ครู มหาวิทยาลัย และตลาดแรงงานสามารถสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายว่าใคร “ได้มาตรฐาน” ใคร “ตกมาตรฐาน” และใคร “เกินมาตรฐาน”
ในเวลานั้น ข้อดีของมันชัดเจน เกรดทำให้การคัดเลือกเป็นธรรมมากขึ้น การสอบแข่งขันมีเกณฑ์ชัดเจน และการมอบทุนการศึกษาสามารถอิงกับหลักฐานที่ทุกคนยอมรับร่วมกัน แต่ในขณะเดียวกัน เกรดก็มีข้อจำกัดที่ถูกฝังมาตั้งแต่ต้น มันลดทอนการเรียนรู้อันซับซ้อนหลากหลายมิติให้เหลือเพียงตัวเลขหรืออักษรหนึ่งตัว สิ่งที่ไม่ถูกวัดหรือไม่อาจวัดได้ด้วยข้อสอบตอบด่วน หรือระบบเกรด เช่น ความคิดสร้างสรรค์ ความกล้าลองผิดลองถูก หรือความสามารถในการทำงานร่วมกับคนอื่น มักถูกทำให้หายไปจากสายตาของระบบ ทั้งที่สิ่งเหล่านี้คือทักษะสำคัญไม่แพ้การตอบข้อสอบให้ถูกเลย
ปัญหาคือ โลกในวันนี้ไม่ใช่โลกแบบวันที่ระบบเกรด (grading system) ถูกคิดค้นขึ้นอีกต่อไป ตลาดแรงงานจำนวนมากไม่ได้สนใจใบทรานสคริปต์เท่าเดิมแล้ว แต่หันไปมองผลงานจริง การแก้ปัญหาที่จับต้องได้ หรือแม้แต่ทัศนคติและความยืดหยุ่นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ขณะเดียวกัน โลกการเรียนรู้เองก็เปลี่ยนจากการท่องจำข้อมูล ไปสู่การประยุกต์ใช้ สร้างสรรค์ และเรียนรู้ต่อเนื่อง ความรู้บางอย่างหมดอายุเร็วกว่าที่หลักสูตรจะทันปรับ เกรดที่เคยบอกว่า “คุณเคยจำอะไรได้เมื่อปีที่แล้ว” จึงแทบไม่มีน้ำหนักกับชีวิตปัจจุบัน
คำถามใหญ่จึงไม่ใช่ว่าเกรดกำลังเฟ้อหรือไม่ แต่คือเกรดยังเป็นเครื่องมือที่เพียงพอในการเล่าเรื่องการเรียนรู้ของเด็กในศตวรรษที่ 21 อยู่หรือเปล่า
เมื่อภาวะเกรดเฟ้อ ทำให้เราตั้งคำถามว่า “การศึกษา” ที่เราควรมอบให้กับเด็กๆ ไม่ใช่แค่คำตอบ แต่คือวิธีใช้ชีวิตกับคำถาม
การที่สังคมไทยไม่ตื่นกลัวหรือสั่นสะเทือนกับภาวะเกรดเฟ้อ ไม่ได้แปลว่าเราไม่มีปัญหา แต่ตรงกันข้าม มันสะท้อนบางอย่างที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวของระบบการศึกษา ว่าสิ่งที่เราเรียกว่า “การเรียนรู้” ถูกออกแบบมาตั้งแต่ต้นเพียงเพื่อท่องจำและสอบให้ผ่าน มากกว่าจะเชื่อมโยงกับทักษะที่ใช้ในชีวิตจริง
หลักสูตรที่ยังเน้นเนื้อหามากกว่าทักษะ วิธีสอนที่ทำให้เด็กเป็นเพียงผู้ตาม และการประเมินที่ผูกขาดอยู่กับข้อสอบแบบคำตอบเดียว ทั้งหมดนี้ทำให้เกรดไม่เคยบอกเล่าเรื่องการเรียนรู้ที่แท้จริงได้เลย เกรดอาจบอกได้ว่าใครท่องได้แม่น หรือใครเล่นเกมข้อสอบเก่ง แต่ไม่เคยบอกได้ว่าใครจะอยู่รอด เติบโต หรือทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดีเพียงใดในโลกจริง
ดังนั้น การศึกษาในศตวรรษที่ 21 จึงควรพาเด็กไปไกลกว่าเกรด และส่งมอบอย่างน้อยสามสิ่งนี้ให้กับเด็กๆ
- ความรู้ที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive Knowledge)
ไม่ใช่แค่การจำสูตรหรือทฤษฎี เพียงอย่างเดียวแต่คือการเข้าใจหลักการลึก ๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ในสถานการณ์ใหม่ได้ สามารถตั้งคำถามกับความรู้เดิม เพื่อให้เด็กมีทักษะและความเข้าใจว่าความรู้ที่ไม่หยุดอยู่กับที่ แต่ยืดหยุ่นและต่อยอดได้เสมอ - ทักษะชีวิตและความสัมพันธ์
โลกแห่งการทำงานและชีวิตจริงคือพื้นที่ที่ต้องทำงานร่วมกับคนอื่น ต้องฟัง ต้องสื่อสาร ต้องแก้ปัญหาที่ซับซ้อนร่วมกัน ไม่มีใครถามว่าคุณเคยสอบได้คะแนนเท่าไหร่ หรือเกรดอะไร แต่การประเมินว่าทำงานร่วมกันได้หรือไม่ ทุกคนจะมองเห็นจากการที่คุณอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความสัมพันธ์แบบไหน - การเรียนรู้ที่จะเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ (Learnability)
ทักษะที่สำคัญที่สุดของศตวรรษนี้คือการเรียนรู้สิ่งใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะโลกหมุนเร็วกว่าที่ระบบการศึกษาจะอัปเดตทัน เด็กที่พร้อมจะเรียนรู้ใหม่เสมอจึงได้เปรียบที่สุด
นี่ต่างหากคือสิ่งที่ระบบการศึกษาควรส่งมอบ ไม่ใช่เพียงเนื้อหาที่สอบแล้วลืม หรือจัดใช้ระบบเกรดในการจัดลำดับของเด็ก แต่คือการให้คุณค่ากับความหลากหลาย คุณค่ากับทักษะภายในที่จะทำให้เด็กเดินต่อได้แม้เมื่อคำตอบเปลี่ยนไปทุกวัน
ตลาดงานยังดูเกรดอยู่ไหม
หากย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ใบเกรดแทบจะเป็นบัตรผ่านใบแรกของชีวิต ใครที่มี GPA สูงก็มีสิทธิ์มากกว่าในตลาดงาน ไม่ว่าจะเป็นการสมัครบริษัทใหญ่ การสอบเข้าหน่วยงานรัฐ หรือแม้แต่การหาทุนเรียนต่อ แต่ภาพนั้นค่อย ๆ เลือนหายไปอย่างช้า ๆ และวันนี้เราคงต้องถามให้ตรงว่า “ตลาดแรงงานยังดูเกรดกันอยู่จริงหรือไม่”
ในประเทศไทย บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งยังใช้เกรดเป็น “เกณฑ์ขั้นต่ำ” ในใบสมัคร เช่น กำหนดว่า GPA ต้องไม่ต่ำกว่า 2.75 หรือ 3.00 ขึ้นไป แต่นั่นเป็นเพียงด่านกรองขั้นแรกเท่านั้น หลังจากนั้น การคัดเลือกแทบไม่ได้พิจารณาจากตัวเลขบนกระดาษอีกต่อไป สิ่งที่ถูกมองจริง ๆ คือการสัมภาษณ์ การทำงานเป็นทีม การสื่อสาร หรือแม้แต่การสอบทักษะเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานโดยตรง
สำหรับบริษัทข้ามชาติหรือองค์กรที่ต้องการคนรุ่นใหม่ที่พร้อมเผชิญโลกซับซ้อน เกรดถูกลดความสำคัญลงไปมาก บางแห่งขอดูผลงานจริง หรือให้ผู้สมัครทำโจทย์แก้ปัญหาตรงหน้า เพื่อทำให้เห็นชัดเจนว่าผู้สมัครสามารถคิด วิเคราะห์ และลงมือทำได้จริงหรือไม่
ในแวดวงสตาร์ทอัพ และธุรกิจสร้างสรรค์ เกรดยิ่งแทบไร้ความหมาย สิ่งที่ชี้ขาดคือความสามารถในการสร้างสรรค์งาน ความยืดหยุ่น และทัศนคติที่พร้อมเรียนรู้ใหม่ตลอดเวลา เด็กที่มีไอเดียสดใหม่แต่ GPA ปานกลางมักได้รับโอกาสมากกว่าเด็กที่ทรานสคริปต์สวยหรูแต่ทำอะไรจริงไม่เป็น
โลกการทำงานกำลังเปลี่ยนภาษาไปแล้ว ในขณะที่ระบบการศึกษาไทยยังคงยืนอยู่กับภาษาเก่าซึ่งก็คือภาษาเกรดที่ไม่เคยบอกเล่าความสามารถแท้จริงของใครได้เลย คำถามจึงย้อนกลับมาหาเราอย่างเจ็บแสบว่า หากแม้แต่ตลาดแรงงานเองยังไม่เชื่อในเกรด แล้วเหตุใดระบบการศึกษายังใช้มันเป็นเส้นเลือดหลักของการประเมินเด็กอยู่ และเพราะเหตุนั้นเอง ปัญหาหลักของประเทศไทยจึงไม่ใช่เกรดเฟ้อ แต่คือเกรดไร้ค่า เพราะถ้าไม่ปรับวิธีการสอน เกรดก็คือบัตรผ่านบนกระดาษ แต่ไม่เคยเป็นบัตรผ่านชีวิตจริง
เกรดเฟ้อ: บัตรผ่านชั้นต้นที่กลายเป็นบัตรตายชั้นต่อไป
เกรดเฟ้อในมหาวิทยาลัยไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่สัมพันธ์กับแรงกดดันที่ซ่อนอยู่
มหาวิทยาลัยจำนวนมากต้องการแสดงให้เห็นว่า “บัณฑิตมีงานทำ” จึงปล่อยให้เกรดสูงกลายเป็นบัตรผ่านชั้นแรกของตลาดแรงงาน เด็กที่ถือทรานสคริปต์ที่เต็มไปด้วยเกรด A ย่อมผ่านด่านคัดกรองเบื้องต้นของการสมัครงานได้ง่ายขึ้น และทำให้อัตราการมีงานทำหลังเรียนจบดูสวยงามในรายงานประจำปี
แต่ในความจริง อัตราการมีงานทำคือมาตรวัดผิวเผิน มันไม่ได้สะท้อนว่าบัณฑิตจะอยู่รอดได้จริงในโลกการทำงาน เด็กจำนวนไม่น้อยที่ได้เกรดดีเลิศกลับสะดุดเมื่อต้องเจอกับโจทย์ที่ไม่มีคำตอบเดียว หรือการทำงานร่วมกับคนที่คิดไม่เหมือนกัน และอาจไม่ผ่านช่วงทดลองงาน หรือมีผลตามมาที่เห็นชัดในปัจจุบัน คืออัตรการลาออก ย้ายงานบ่อย หรือมีเสียงบ่นจากผู้ประกอบการมากมายที่พูดถึงคุณภาพของเด็กในโลกจริง เพราะสิ่งที่โลกการทำงานต้องการไม่ใช่เกรด แต่คือทักษะที่มหาวิทยาลัย หรือระบบการศึกษาไม่เคยให้ความสำคัญอย่างแท้จริง
นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องเกรดเฟ้อ แต่คือปัญหาการขาด ความรับผิดรับชอบ (Accountability) ของมหาวิทยาลัยต่อคุณภาพการเรียนรู้จริงของบัณฑิต การแก้ปัญหาแบบผักชีโรยหน้า ที่ปล่อยเกรดสูง ๆ ทำทีเป็นว่า “เด็กเราเก่ง” ซึ่งอาจช่วยสร้างภาพลักษณ์ได้ระยะสั้น แต่ไม่ต่างจากการส่งเด็กไปล้มเหลวไม่เป็นท่าในชีวิตการทำงานจริง โดยตัวเด็กเองก็อาจไม่เข้าใจถึงรากเหง้าของปัญหานี้ด้วยซ้ำ
มหาวิทยาลัย ระบบการศึกษาและพัฒนากำลังคนของประเทศ ควรต้องรับผิดชอบมากกว่านั้น ไม่ใช่เพียงผลิตบัณฑิตที่ “มีงานทำ” ในสถิติที่งดงามของมหาวิทยาลัย แต่ควรต้องมั่นใจได้ว่าเมื่อพวกเขาพ้นจากมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาของเราไป เขาจะ “ทำงานได้” และ “ใช้ชีวิตได้” ในโลกที่ซับซ้อนกว่าข้อสอบใด ๆ
อ้างอิง (References)
- Hechinger Report. (2020). Is Everyone Getting A’s? Grade Inflation and What It Means.
- Kierstead, J. (2024). Grade Inflation in New Zealand Universities. The New Zealand Initiative.
- LinkedIn. (2023). Skills-First Hiring: The Future of Recruitment.
- Rojstaczer, S., & Healy, C. (2012). Where A Is Ordinary: The Evolution of American College and University Grading, 1940–2009. Teachers College Record.
- World Economic Forum. (2020). Why Skills, Not Degrees, Will Shape the Future of Work.
- GradeInflation.com (2023). National Trends in Grade Inflation.