การเลือกหนังสือนิทานให้ลูก มักถูกเข้าใจว่าเป็นเรื่องง่าย เหมือนการหยิบเล่มที่ปกสดใส ตัวละครดูน่ารัก หรือมีคำสอนชัดเจน แต่ทุกเล่มที่เราวางลงในมือลูกไม่ได้เป็นเพียงวัตถุเล็ก ๆ หากคือ “โลก” ที่เรากำลังชวนเขาเข้าไปเดินเล่นและใช้ชีวิตในนั้นสักครู่หนึ่ง
เด็กเล็กยังไม่อ่านตัวอักษร แต่พวกเขาอ่านอารมณ์ของภาพได้ อ่านเสียงขึ้น ๆ ลง ๆ ราวกับเสียงดนตรีของถ้อยคำได้ และอ่านความเงียบที่เปิดพื้นที่ให้เขาคิดต่อเองได้ งานวิจัยด้านพัฒนาการอ่านปฐมวัยชี้ว่า เด็กจดจำ “บรรยากาศของการอ่านร่วมกัน” ได้มากกว่าตัวอักษรที่ถูกถอดเสียง (Whitehurst & Lonigan, 1998)
หนังสือภาพจึงเป็นศิลปะแรกที่เด็กเข้าถึงได้โดยไม่ต้องอาศัยภาษา เป็นเครื่องมือที่ปลุกทั้งความคิดและความรู้สึกให้ตื่นขึ้นพร้อมกัน Daniel Stern นักจิตวิเคราะห์ยังอธิบายว่า “ช่วงขณะปัจจุบัน” (present moment) ระหว่างพ่อแม่และลูก เช่น เวลาที่อ่านหนังสือด้วยกัน คือพื้นที่ที่เด็กเรียนรู้ความหมายของการมีใครสักคนอยู่ตรงหน้า (Stern, 1985) ทว่าผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยยังเลือกหนังสือด้วยกรอบแคบ ๆ ของ “ความน่ารัก” นิทานที่ตัวละครกุ๊กกิ๊ก สีสันสดใส มักถูกมองว่าเหมาะสมกับวัยเด็กที่สุด แต่ในความจริง เด็กต้องการมากกว่านั้น เขาต้องการสัมผัสความหลากหลายของศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นภาพที่เรียบง่าย หรือภาพที่ฝีแปรงจัด ภาพที่สนุกสนานเบิกบาน หรือภาพที่ซ่อนความเศร้า ไม่ว่าลักษณะภาพจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ภาพต้องมีเหมือนกันคือ มีความซับซ้อนพอให้เขาได้ลองทำความเข้าใจ งานวิจัยด้าน visual literacy (การเข้าใจภาพ) ในเด็กปฐมวัยยืนยันว่า เด็กสามารถรับรู้และตีความศิลปะที่ไม่สมบูรณ์หรือซับซ้อนได้เช่นกัน (Nikolajeva & Scott, 2001)
นิทานที่ดีอาจไม่ใช่เล่มที่ให้คำตอบเร็วที่สุด แต่คือเล่มที่เปิดคำถามมากที่สุด เด็กอาจเห็นตัวเองในเรื่องราวนั้นบ้าง อาจได้มองโลกที่ไม่คุ้นตาบ้าง และเหนือสิ่งอื่นใดคือได้ยืนยันว่ามีใครบางคนนั่งอยู่ตรงนี้กับเขา อ่านไปด้วยกัน ค่อย ๆ สร้างความหมายของชีวิตร่วมกัน
“นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า” ถูกใส่มาในเวอร์ชั่นน่ารักกุ๊กกิ๊ก
หลายครั้งเวลาที่ผู้ใหญ่เลือกหนังสือนิทาน เรามักเผลอหันไปถามคำถามที่ฟังดูเหมือนเป็น “เหตุผลอันควร” เช่น เล่มนี้กำลังสอนอะไรลูกเรา เหมือนกับว่าคุณค่าของหนังสือวัดได้จากการให้บทเรียนทางศีลธรรมที่ชัดเจน ยิ่งเนื้อหาสอนใจชัดเท่าไร เรายิ่งรู้สึกอุ่นใจราวกับได้ทำหน้าที่พ่อแม่ครบถ้วน ทั้ง ๆ ที่ในความจริง เด็กไม่ได้ต้องการตำราในคราบนิทาน เขาต้องการพื้นที่ที่จะได้ “มีชีวิต” ในหน้ากระดาษ
เด็กเล็กยังไม่มีกลไกที่จะเข้าใจคำสั่งสอนอย่างตรงไปตรงมา แต่เขาเข้าใจ “อารมณ์มวลรวม” ที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งจากเสียงอ่าน น้ำเสียง จังหวะการเว้นวรรค การสบตา หรือแม้แต่กลิ่นผิวกายของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ขณะเปิดหน้าหนังสือ การอ่านนิทานที่ดีจึงไม่ใช่การให้คำตอบ หากเป็นการพาเขาเดินเข้าสู่ประสบการณ์บางอย่าง ประสบการณ์ที่อาจไม่เคยมีคำอธิบาย แต่จะค่อย ๆ สะสมเป็นการรับรู้ชีวิตในระยะยาว
งานวิจัยด้านการอ่านกับเด็กเล็ก (Whitehurst & Lonigan, 1998) ชี้ว่า เด็กจดจำสิ่งที่เกิดขึ้น “ระหว่างการอ่าน” มากกว่าข้อความที่อยู่ในหนังสือ สิ่งที่หล่อเลี้ยงเขาไม่ใช่บทเรียนที่ชัดเจน แต่คือบรรยากาศร่วมกัน พลังอารมณ์ที่ส่งผ่านจากหนังสือสู่คนอ่าน และจากคนอ่านสู่หัวใจของเด็ก ปฏิสัมพันธ์นั้นเองที่กลายเป็นต้นทุนทางอารมณ์ การตั้งคำถาม การรอฟัง และการไม่เร่งเร้า คือสิ่งที่ทำให้เด็กค่อย ๆ เรียนรู้ว่าการมีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่ตัดสินนั้นเป็นอย่างไร
เมื่อเรามองหนังสือเป็นตำรา เรามักเผลอเร่งให้เด็ก “ได้ข้อสรุป” แต่เมื่อเรามองมันเป็น “พื้นที่ของประสบการณ์ร่วม” เราจะเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งที่กว้างกว่า บางครั้งคือการอยู่กับความเศร้าโดยไม่ต้องรีบหาทางออก บางครั้งคือการหัวเราะกับความไร้สาระโดยไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเวลา บางครั้งคือการตั้งคำถามที่ไม่มีคำตอบทันที นิทานที่ดีจึงไม่ได้บอกให้เด็กเป็นคนอย่างไร แต่ทำให้เด็กได้เอาตัวเองเข้าไปในเรื่อง เพื่อที่จะได้ “ลองเป็นมนุษย์” ในความหมายที่หลากหลาย
และนี่อาจเป็นของขวัญที่สำคัญที่สุดที่นิทานมอบให้ นิทานไม่ได้รีบสร้างคนดีที่ตรงตามแบบแผนของสังคม แต่สร้างมนุษย์ที่รู้จักความงาม ความซับซ้อน และความเปราะบางของชีวิต ซึ่งท้ายที่สุดคือรากฐานของความเป็นมนุษย์ที่จะสามารถเข้าอกเข้าใจความหลากหลายในแบบที่ไม่ต้องถูกสั่งสอน
ศิลปะของการอ่านภาพ มากกว่าการอ่านคำ
เมื่อพูดถึงการอ่าน ผู้ใหญ่มักนึกถึงการถอดรหัสตัวอักษรเป็นอันดับแรก แต่สำหรับเด็กเล็ก ภาพคือภาษาแรกสุดที่พวกเขาเข้าใจ เราเรียนรู้โลกผ่านสี เส้น และรูปทรงก่อนที่สมองจะเชื่อมโยงเสียงกับสัญลักษณ์ การอ่านนิทานในวัยต้นจึงไม่ใช่การฝึกท่องคำ แต่คือการปล่อยให้ภาพและถ้อยคำทำงานร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติ
หนังสือภาพที่ดีมักไม่อธิบายทุกอย่างออกมาตรง ๆ หากปล่อยให้ภาพเล่าเรื่องแทน การที่ภาพกับตัวอักษรมาบรรจบกันสร้างสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า “ภาษาที่สาม” ซึ่งคือ ความหมายใหม่ที่เกิดจากช่องว่างระหว่างคำและภาพ (Nikolajeva & Scott, 2001) ตัวอย่างเช่น คำบรรยายอาจดูสดใส แต่ภาพกลับเผยให้เห็นร่องรอยของความเศร้า ช่องว่างนี้ทำให้เด็กมีพื้นที่สำหรับจินตนาการและการตีความด้วยตนเอง ซึ่งเป็นรากฐานของการคิดเชิงวิพากษ์ในอนาคต
ความสามารถของเด็กในการอ่านภาพยังสัมพันธ์กับสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า visual literacy หรือการรู้เท่าทันและสร้างความหมายจากสิ่งที่มองเห็น งานศึกษาหลายชิ้นยืนยันว่า เด็กสามารถตีความศิลปะที่ซับซ้อนกว่าที่ผู้ใหญ่คาดได้ พวกเขาเหมือนเครื่องตรวจจับ “บรรยากาศ” ที่แม่นยำ เขาสามารถสัมผัสสิ่งที่งานศิลปะการแสดงออกมาได้อย่างดีเยี่ยม สามารถเชื่อมโยงสีกับอารมณ์ สังเกตเห็นสีหน้าท่าทางต่างๆที่ซ่อนอยู่ในตัวละครรอง หรือเห็นเรื่องราวในหน้ากระดาษว่าง ๆ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่อง ไม่ใช่ความว่างเปล่าไร้ค่า
ดังนั้น เวลาที่เราเลือกหนังสือภาพ ไม่ควรหยุดที่การถามว่า “เรื่องนี้สอนอะไร” แต่ควรถามว่า “ภาพเล่มนี้กำลังพาไปสัมผัสความรู้สึกแบบไหน” เพราะในภาพเดียว เด็กอาจได้ฝึกทั้งการจินตนาการ การสังเกต และการรู้จักอารมณ์ที่เกิดขึ้นไปพร้อมกัน
การปล่อยให้ภาพทำงานในใจเด็ก จึงเป็นเหมือนการให้เขาได้ “อ่านโลก” ด้วยตาของตัวเอง ไม่ใช่เพียงฟังคำบอกเล่าของผู้ใหญ่ และนี่คือหัวใจที่ทำให้หนังสือภาพแตกต่างจากตำราอื่น ๆ มันเปิดโลกที่กว้างเกินกว่าจะจำกัดด้วยถ้อยคำเพียงอย่างเดียว
เด็กต้องการความท้าทายที่มากกว่าความน่ารัก
ภาพน่ารักนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ศิลปะมีหลากหลายรูปแบบ
ความน่ารักเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการเข้าถึงศิลปะ แต่ถ้ามีเพียงความน่ารักอย่างเดียว เด็กอาจค่อย ๆ คุ้นชินกับ “ความเข้าใจที่มาง่ายเกินไป” โดยไม่รู้ตัว เมื่อทุกอย่างในโลกของเขาถูกเล่าอย่างชัดแจ้ง เรียบเรียงอย่างเป็นระเบียบ และลงท้ายด้วยคำตอบที่ถูกต้องเสมอ เขาอาจเริ่มสับสนเมื่อเจอสิ่งที่ซับซ้อน หรือไม่กล้าอยู่กับความไม่รู้
งานศึกษาด้านพัฒนาการทางความคิดของเด็กชี้ว่า การตีความสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบคือหนึ่งในกระบวนการฝึก “การคิดเชิงนามธรรม” (abstract thinking) ซึ่งเป็นฐานของจินตนาการและการแก้ปัญหา (Winner, 1997) แต่เมื่อเด็กได้รับสื่อที่ทุกอย่างอธิบายตัวเองได้หมด เขาแทบไม่ต้อง “ทำงานกับความหมาย” อีกต่อไป สิ่งนี้อาจทำให้ระบบคิดของเขาแคบลงทีละน้อย
เวลาผู้ใหญ่เลือกหนังสือนิทาน เรามักถูกดึงดูดด้วยภาพที่สดใส ตัวละครตากลมโตน่ารัก รอยยิ้มพิมพ์ใจ และโทนสีที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัย นิทานลักษณะนี้มีคุณค่าในตัวเอง เพราะมอบความรู้สึกอ่อนโยนและปลอดภัยให้กับเด็กได้อย่างดี แต่หากโลกของลูกถูกจำกัดอยู่เพียงกรอบเดียว เขาอาจค่อย ๆ ซึมซับโดยไม่รู้ตัวว่า “ศิลปะที่ดีต้องน่ารัก” และ “ความหมายที่ควรค่า ต้องง่ายและชัดเจนเสมอ” เพราะมักเข้าใจผิดว่าศิลปะที่ง่ายคือศิลปะที่เหมาะกับเด็ก แต่ในความจริง “ความง่ายที่ไม่มีพื้นที่ให้สงสัย” อาจเป็นกับดักที่ทำให้ปัญญาไม่เติบโต ศิลปะที่น่ารักมากเกินไปจึงไม่เพียงจำกัดจินตนาการ แต่ยังปิดกั้นการฝึกสมองในระดับลึก เพราะเด็กไม่ได้ถูกเชิญให้คิด ถาม หรือรู้สึกต่อในใจ
ในความจริง เด็กเล็กมีศักยภาพสูงกว่าที่เราคิดมาก งานวิจัยด้านพหุปัญญาของ Howard Gardner (1983) ชี้ว่า เด็กมีช่องทางในการเรียนรู้ที่หลากหลาย ศิลปะที่ไม่สวยงามแบบพิมพ์นิยม หรือแม้แต่ภาพที่ดูดิบ ๆ และขรุขระ ก็สามารถกระตุ้นการรับรู้ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ และความเข้าใจทางอารมณ์ได้เช่นกัน เด็กอาจไม่พูดออกมาเป็นทฤษฎี แต่เขาสามารถ “รู้สึก” ได้ว่า เส้นที่ไม่สมบูรณ์สะท้อนความเคลื่อนไหว หรือสีหม่นบอกเล่าความเศร้าได้ดีกว่าคำอธิบายใด ๆ
เมื่อเรามอบหนังสือที่มีภาพดูแปลกตา สีหม่น เส้นไม่สมบูรณ์ หรือเรื่องที่จบลงโดยไม่มีคำสอน เด็กจะได้เรียนรู้สิ่งที่ลึกกว่าความสวยงาม นั่นคือการอยู่กับการไม่รู้อย่างเปิดใจ เขาอาจไม่เข้าใจทุกอย่างในทันที แต่จะเริ่มคุ้นเคยกับการ “คิดต่อ” และ “รู้สึกต่อ” ซึ่งคือการขยับจากการเสพ ไปสู่การตีความ และสร้างความหมาย
การได้เห็นความงามที่หลากหลายจึงไม่ใช่แค่เรื่องของรสนิยม แต่คือการปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความเข้าใจในความจริงของชีวิต ว่าความงามไม่จำเป็นต้องเรียบร้อยเสมอ ความเศร้าก็มีรูปทรงของมัน และความขรุขระเองก็มีเสียงที่น่าฟัง
นักวิชาการด้าน visual literacy ยังอธิบายว่า เด็กเล็กสามารถแยกแยะและตอบสนองต่อรูปแบบศิลปะที่หลากหลายได้เร็วกว่าที่เราคาด เพราะหัวใจของพวกเขายังไม่ถูกตีกรอบด้วยมาตรฐานความงามของผู้ใหญ่ (Kress & van Leeuwen, 2006) การให้เด็กสัมผัสศิลปะหลายแนวตั้งแต่ต้น จึงเป็นการสร้าง “รสนิยมทางความรู้สึก” ที่กว้าง ยืดหยุ่น และเปิดรับความแตกต่างได้มากกว่า
ดังนั้น เมื่อจะเลือกหนังสือนิทานให้ลูก อาจลองเพิ่มเติมวิธีคิดแบบนี้ด้วยก็ได้ว่า “เล่มนี้มีภาพศิลปะแบบไหนที่ลูกยังไม่เคยเห็น?” เพราะบางที คำตอบที่ลึกที่สุดไม่ได้อยู่ในความน่ารักที่ทำให้เรายิ้มทันที แต่อยู่ในภาพที่ชวนให้เราหยุดคิด และอยู่ในประสบการณ์ที่เปิดโลกของลูกให้กว้างกว่าที่เราจินตนาการไว้
ความหลากหลายของโลกและความรู้สึก
หนังสือนิทานสำหรับเด็กมักถูกเข้าใจว่า ควรเต็มไปด้วยเรื่องราวที่สดใสและลงท้ายอย่างมีความสุข โลกที่ปลอดภัยราวกับถูกกรองจนเหลือเพียงสีรุ้งและรอยยิ้ม แต่ความเป็นจริงของชีวิตไม่ได้อ่อนโยนเสมอไป เด็ก ๆ ต้องเผชิญความกลัว ความโกรธ ความอ้างว้าง หรือแม้แต่การสูญเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่ช่วงต้นของวัย เช่น ของเล่นที่หาย เพื่อนที่ไม่เล่นด้วย หรือการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
การให้เด็กได้สัมผัสเรื่องราวที่ครอบคลุมทั้งด้านสว่างและด้านมืดของชีวิต จึงไม่ใช่การทำร้ายเขา หากเป็นการช่วยให้เขาเรียนรู้ว่าอารมณ์ทุกรูปแบบมีที่ทาง และเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นมนุษย์ Bruno Bettelheim อธิบายไว้ใน The Uses of Enchantment (1976) ว่า นิทานพื้นบ้านและนิทานที่มีความมืดหรือความโหดร้ายแฝงอยู่ ช่วยให้เด็กได้เผชิญกับความกลัวในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เพราะเขารู้ว่าท้ายที่สุดยังมีผู้ใหญ่คอยอยู่ข้าง ๆ
เมื่อเด็กได้อ่านเรื่องที่มีความเศร้า หรือเห็นตัวละครผิดพลาดและล้มลง เขากำลัง “ซ้อม” เพื่อเผชิญโลกจริงที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ งานวิจัยด้านการพัฒนาอารมณ์ชี้ว่า การให้เด็กได้เรียนรู้และอยู่กับอารมณ์ที่หลากหลายตั้งแต่ปฐมวัย มีผลต่อการสร้าง emotional resilience หรือความยืดหยุ่นทางใจในระยะยาว (Denham, 1998) เด็กที่เติบโตมากับนิทานที่หลากหลายด้านอารมณ์ มักเรียนรู้ที่จะรับมือกับความซับซ้อนได้ดีกว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงอยู่ในโลกที่ถูกกรองจนขาวสะอาด
แน่นอนว่าเรายังต้องระวังไม่ให้เรื่องราวหนักเกินไป เพราะเด็กไม่ได้ต้องการแบกรับความเศร้าในระดับเดียวกับผู้ใหญ่ สิ่งที่นิทานทำได้ดีที่สุด คือ “แตะ” ความเศร้านั้นอย่างอ่อนโยน แล้วเปิดทางให้เด็กได้รู้จักการคลี่คลายในแบบของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้แต่งและผู้วาดนิทานที่เข้าใจเด็กๆ จะช่วยวางหมุดหมายในเรื่อง ให้เด็กๆ ได้คลี่คลายด้วยตนเอง
และนิทานอาจจะไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยคำว่า “สุขสันต์ตลอดกาล” แต่ควรจบลงด้วยความหวังเล็ก ๆ เช่น แสงแดดที่ลอดเข้ามาหลังฝน หรือการที่ตัวละครได้ยิ้มอีกครั้ง แม้จะยังมีน้ำตาอยู่บนแก้ม นั่นคือความจริงของชีวิตที่พอเหมาะกับวัยเด็ก ไม่ปฏิเสธความเศร้า แต่ไม่ทิ้งให้จมอยู่ในนั้น
ดังนั้น เวลาที่เราหยิบหนังสือให้ลูก ไม่จำเป็นต้องเลือกเพียงเรื่องราวที่จบลงด้วย “ความสุขชั่วนิรันดร์” เพราะชีวิตจริงไม่เคยเป็นเช่นนั้นเสมอไป แต่ควรเลือกเรื่องที่ช่วยให้เด็กเห็นว่า ความเศร้าไม่ได้เป็นสัญญาณของความล้มเหลว ความโกรธไม่ได้ทำให้เราเป็นคนไม่ดี และการสูญเสียก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต นิทานจึงเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่เด็กจะได้เรียนรู้ว่า ความซับซ้อนของอารมณ์คือสิ่งธรรมดา และมนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะรู้สึก
หลักวิธีเลือกนิทานแบบเป็น “กระจก” และเป็น “หน้าต่าง”
หนังสือภาพที่ดี ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงให้ความบันเทิงหรือสอนบทเรียน แต่ยังทำงานในฐานะเครื่องมือสำคัญของการสร้างตัวตนและการเปิดใจ นักวิชาการ Rudine Sims Bishop เคยอธิบายไว้อย่างลึกซึ้งว่า หนังสือสามารถเป็นได้ทั้ง “กระจก” และ “หน้าต่าง” (Bishop, 1990)
เมื่อเป็น “กระจก” หนังสือสะท้อนให้เด็กเห็นตัวเองในเรื่องราว ตัวละครที่กลัวความมืดเหมือนเขา ครอบครัวที่คล้ายคลึงกับครอบครัวของเขา หรือแม้แต่สีผิวและวิถีชีวิตที่ไม่ต่างกันมาก สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้าง sense of self ความรู้สึกต่อตัวตนของตัวเอง และความมั่นคงภายใน เพราะเด็กได้รับการยืนยันว่า ตัวตนและอารมณ์ที่เขามีนั้นเป็นเรื่องจริงและมีคุณค่า
แต่เมื่อหนังสือเป็น “หน้าต่าง” เด็กก็จะได้ก้าวออกไปสู่โลกที่ไม่คุ้นเคย เรื่องราวจากวัฒนธรรมอื่น ผู้คนที่ใช้ชีวิตไม่เหมือนเขา หรือประสบการณ์ที่เขาไม่เคยพบมาก่อน ช่องทางนี้เปิดโอกาสให้เด็กได้พัฒนาความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เพราะการมองผ่านหน้าต่างทำให้เขาเรียนรู้ว่า ความจริงของโลกไม่ได้มีเพียงแบบเดียว
ที่สำคัญ กระจกและหน้าต่างไม่จำเป็นต้องแยกจากกัน และส่วนใหญ่มักจะมาพร้อมกันเสมอ หนังสือหนึ่งเล่มอาจเริ่มต้นด้วยการสะท้อนสิ่งที่เด็กคุ้นเคย แล้วค่อย ๆ เปิดทางไปสู่สิ่งใหม่ หรือบางที การมองผ่านหน้าต่างอาจทำให้เด็กเห็นเงาสะท้อนบางอย่างของตัวเองอยู่ในนั้นด้วย การอ่านจึงกลายเป็นประสบการณ์ที่ทั้งยืนยันตัวตนและขยายขอบเขตภายในไปพร้อมกัน
การเลือกหนังสือภาพที่ทำหน้าที่ทั้งสองแบบจึงเป็นการปลูกทั้ง “ราก” และ “ปีก” รากเพื่อให้เด็กยืนหยัดอย่างมั่นคง ปีกเพื่อให้เขากล้าที่จะโอบรับโลกกว้างและความแตกต่าง การอ่านในลักษณะนี้ไม่ได้เพียงทำให้เด็ก “รู้จักโลก” แต่ทำให้เขา “รู้จักตัวเอง” ในโลกที่หลากหลาย
จับใจและได้ความ : สิ่งที่เกิดขึ้นภายในสมอง เมื่อเด็กอ่านนิทานที่เป็นของเขาจริง ๆ
เวลาที่เด็กเปิดหนังสือที่ “ใช่” สำหรับเขา ไม่ว่าจะเพราะเห็นตัวเองในตัวละคร หรือเพราะมันพาไปเจอโลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคย สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงสะท้อนในรอยยิ้มและสายตา แต่ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงลึก ๆ ภายในสมอง
ภาพที่เขามองเห็นกระตุ้นสมองส่วน occipital lobe ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลการมองเห็น เสียงของถ้อยคำที่พ่อแม่อ่านออกเสียงกระตุ้น auditory cortex การพยายามเข้าใจความหมายและเติมเต็มช่องว่างของเรื่องราวกระตุ้น prefrontal cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวางแผน การคิดเชิงเหตุผล และการควบคุมอารมณ์ กล่าวได้ว่าเพียงการอ่านนิทานหนึ่งเล่ม เด็กได้ใช้สมองหลายส่วนประสานกันในเวลาเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเด็กอินกับตัวละคร สมองส่วนที่เรียกว่า mirror neurons จะทำงาน เซลล์ประสาทที่ถูกกระตุ้นทั้งเวลาที่เราทำสิ่งหนึ่ง และเวลาที่เราเห็นผู้อื่นทำสิ่งเดียวกัน งานของ Rizzolatti และ Craighero (2004) อธิบายว่ากลไกนี้คือรากฐานของ empathy หรือความเข้าอกเข้าใจและ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เด็กสามารถหัวเราะ ร้องไห้ หรือสะเทือนใจไปพร้อมกับตัวละครโดยไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ตรง
งานของ Maryanne Wolf (Proust and the Squid, 2007) ยังชี้ว่า การอ่านนิทานเป็นการสร้าง “วงจรการอ่าน” ที่สมองไม่ได้ถูกกำหนดมาให้มีโดยกำเนิด แต่ถูกสร้างขึ้นผ่านประสบการณ์ เมื่อเด็กได้อ่านซ้ำ ๆ วงจรนี้จะยิ่งแข็งแรง ทำให้การประมวลผลภาษาและอารมณ์เชื่อมโยงกันแน่นแฟ้นขึ้น
และสิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อการอ่านเกิดขึ้นในอ้อมกอดหรือข้าง ๆ ผู้ใหญ่ที่รักเขา สมองของเด็กจะได้รับสัญญาณด้าน attachment ว่าโลกนี้ปลอดภัย การกระตุ้นด้านภาษาและศิลปะจึงผสานกับการสร้างสายสัมพันธ์ทางใจ กลายเป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้เพียงหล่อเลี้ยงความคิด แต่ยังหล่อเลี้ยงความรักและความไว้วางใจ
นี่คือเหตุผลที่หนังสือเล่มหนึ่งอาจกลายเป็น “ของเขาจริง ๆ” เพราะมันไม่เพียงบอกเล่าเรื่องราว หากยังช่วยสร้างเครือข่ายประสาท ความทรงจำ และความรู้สึกที่ประทับลึกลงไปในตัวตนของเขาเอง
ความเป็นวรรณกรรมใน “ภาพ” และ “คำ” นิทานที่จับใจและได้ความ
ในยุคที่หนังสือนิทานจำนวนมากถูกออกแบบเพื่อ “ให้ความรู้” หรือ “ปลูกฝังทัศนคติที่ถูกต้อง” เราอาจเผลอลืมไปว่า หัวใจของวรรณกรรมสำหรับเด็กไม่ใช่การสอน แต่คือการ “จับใจ” ก่อน เด็กจะยอมเปิดใจให้เรื่องราวใด ๆ ก็ต่อเมื่อเขารู้สึกว่า เรื่องนั้น “จริง” สำหรับเขา ไม่ว่าจะจริงในความรู้สึก ในจินตนาการ หรือในโลกเล็ก ๆ ที่เขากำลังสำรวจอยู่
ความเป็นวรรณกรรมจึงไม่ใช่เรื่องของภาษาสละสลวยเท่านั้น แต่คือศิลปะในการสื่อสาร “ความจริงที่เหมาะกับวัย” ด้วยความซื่อสัตย์และละเมียดละไม ผู้เขียนและผู้สร้างหนังสือนิทานที่ดีรู้จักคนอ่านของตนอย่างลึกซึ้ง รู้ว่าเด็กไม่ได้ต้องการคำอธิบาย แต่ต้องการประสบการณ์ที่เขาสามารถรู้สึกและตีความด้วยตัวเอง การสื่อสารจึงไม่ได้อยู่ที่คำพูดอย่างเดียว แต่อยู่ใน “ช่องว่างระหว่างคำและภาพ” ที่เปิดให้เด็กได้คิดต่อ
ในหนังสือภาพที่เป็นวรรณกรรมจริง ๆ ศิลปะของภาพและถ้อยคำทำงานร่วมกันอย่างละเอียด ภาพไม่ได้เป็นเพียงการ “วาดตามคำ” แต่ทำหน้าที่ขยายความ ล้อกัน หรือแม้แต่โต้แย้งสิ่งที่คำบอก เพื่อให้ผู้อ่านตัวเล็ก ๆ ได้สัมผัสความหมายที่ซับซ้อนอย่างเป็นธรรมชาติ บางครั้ง ภาพเพียงภาพเดียวอาจเล่าความรู้สึกได้ลึกกว่าคำอธิบายเป็นร้อยประโยค และบางครั้ง คำเพียงคำเดียวก็อาจปล่อยให้ภาพทำงานในใจเด็กยาวนานหลังปิดหนังสือไปแล้ว
นี่คือสิ่งที่ทำให้นิทานบางเล่ม “จับใจ” เด็กได้ โดยไม่ต้องสอนอะไรตรง ๆ เพราะศิลปะในเรื่องนั้นพูดกับหัวใจของเด็กโดยตรง ผ่านจังหวะของประโยค เงียบงันของช่องว่าง และความจริงที่ถูกเล่าด้วยความอ่อนโยน หนังสือแบบนี้ทำให้เด็กไม่เพียงเข้าใจเรื่อง แต่ “รู้สึกอยู่ในเรื่อง” เหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาเอง
และเมื่อหัวใจถูกจับไว้ก่อน “ความรู้” หรือ “ข้อคิด” จึงค่อย ๆ ซึมเข้ามาทีหลังอย่างไม่รู้ตัว วรรณกรรมที่ดีจึงทำให้เด็กได้ทั้ง “จับใจ” และ “ได้ความ” พร้อมกัน มันไม่เพียงสอนให้รู้ว่าโลกเป็นอย่างไร แต่สอนให้รู้สึกว่าการเป็นมนุษย์นั้นหมายถึงอะไร
เลือกความคิด เลือกความทรงจำ ผ่านนิทาน
การเลือกหนังสือนิทานให้ลูก จึงไม่ใช่การตัดสินใจเล็กน้อยที่ทำเพื่อให้ผ่านไปวันหนึ่ง หากคือการเลือกโลกที่จะค่อย ๆ ก่อรูปความทรงจำ ความคิด และความรู้สึกของมนุษย์ตัวเล็ก หนังสือภาพที่ดีไม่ใช่เล่มที่บอกคำสอนตรง ๆ เสมอไป แต่คือเล่มที่เปิดพื้นที่ให้เด็กได้รู้สึก ลองผิด ลองสงสัย และสร้างความหมายของชีวิตด้วยตัวเอง
เมื่อเราหลุดพ้นจากกรอบเดิม ๆ ที่มองหาความน่ารักกุ๊กกิ๊กหรือบทเรียนชัดเจน เราจะพบว่าศิลปะสำหรับเด็กไม่จำเป็นต้องปลอดภัยเกินจริง มันสามารถเศร้าได้ แปลกได้ และทั้งหมดนั้นต่างก็ทำหน้าที่พาเด็กค่อย ๆ เติบโต หนังสือจึงเป็นทั้งกระจกที่สะท้อนตัวตน และเป็นหน้าต่างที่เปิดออกสู่โลกกว้าง และเมื่อมันกลายเป็น “ของเขาจริง ๆ” สมอง หัวใจ และความทรงจำของเด็กก็จะถูกหล่อเลี้ยงไปพร้อมกัน
ในที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าเราจะหาหนังสือที่สมบูรณ์แบบให้ลูกได้หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเรามอบพื้นที่ให้ลูกได้เป็นผู้อ่านที่แท้จริงหรือเปล่า ผู้อ่านที่ได้ค้นพบว่า โลกนั้นหลากหลายเกินกว่าจะมีคำสอนเดียว และชีวิตงดงามเกินกว่าจะถูกสรุปด้วยบทเรียนสั้น ๆ เด็กที่ได้เติบโตมากับหนังสือเช่นนี้ จะไม่เพียงอ่านออก แต่จะ “อ่านโลก” ได้อย่างลึกซึ้งและเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้นในแบบของเขาเอง
อ้างอิง
- Whitehurst, G. J., & Lonigan, C. J. (1998). Child development and emergent literacy. Child Development, 69(3), 848–872.
- Stern, D. N. (1985). The Interpersonal World of the Infant. New York: Basic Books.
- Nikolajeva, M., & Scott, C. (2001). How Picturebooks Work. Routledge.
- Nodelman, P. (1988). Words About Pictures: The Narrative Art of Children’s Picture Books. University of Georgia Press.
- Gardner, H. (1983). Frames of Mind: The Theory of Multiple Intelligences. Basic Books.
- Fox, M. (2001). Reading Magic: Why Reading Aloud to Our Children Will Change Their Lives Forever. Houghton Mifflin Harcourt.
- Bettelheim, B. (1976). The Uses of Enchantment: The Meaning and Importance of Fairy Tales. Vintage.
- Bishop, R. S. (1990). Mirrors, Windows, and Sliding Glass Doors. Perspectives: Choosing and Using Books for the Classroom, 6(3).
- Denham, S. A. (1998). Emotional Development in Young Children. Guilford Press.
- Rizzolatti, G., & Craighero, L. (2004). The mirror-neuron system. Annual Review of Neuroscience, 27, 169–192.
Wolf, M. (2007). Proust and the Squid: The Story and Science of the Reading Brain. Harper.