It’s a Wonderful Life : ทุกชีวิตมีความหมาย เมื่อได้สัมผัสชีวิตอื่น ๆ

  • It’s a Wonderful Life คือหนังสุดคลาสสิกที่กำกับโดยแฟรงก์ คาปรา ออกฉายในปี 1946 และถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดตลอดกาล
  • หนังว่าด้วยเรื่องของจอร์จ เบลีย์ ชายผู้คิดจะฆ่าตัวตายด้วยการโดดสะพานในคืนคริสต์มาสอีฟ แต่แล้วทูตสวรรค์ก็ปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยชีวิตเขา และทำให้เขาได้รู้ว่า “โลกที่ไม่มีจอร์จ” จะกลายเป็นโลกแบบไหน
  • หนังอบอุ่นหัวใจที่เหมาะแก่การดูในวันคริสต์มาสเรื่องนี้คือหนังที่บอกเราว่า ทุกชีวิตมีความหมาย และการมีอยู่หรือหายไปของใครสักคนต่างก็ส่งผลกับชีวิตอื่น ๆ ไม่ต่างกัน

วันหนึ่ง ฟิลิป ฟาน ดอเรน สเติร์น ผู้เป็นทั้งนักเขียนและนักประวัติศาสตร์ ก็เกิดนึกถึงเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่กำลังจะฆ่าตัวตาย แต่เขาได้พบกับเทวดาประจำตัว ที่จะทำให้เขารู้ว่าโลกที่ไม่มีเขาจะเป็นอย่างไร แต่หลังจากลองส่งเรื่องนี้ไปที่สำนักพิมพ์ ก็ถูกปฏิเสธ ฟิลิปจึงตัดสินใจตีพิมพ์เรื่องนี้ด้วยตัวเองในรูปแบบของหนังสือเล่มบางเพียง 24 หน้า จำนวน 200 เล่ม เขาตั้งชื่อมันว่า The Greatest Gift (ของขวัญที่ดีที่สุด) และส่งให้คนอื่น ๆ ในฐานะ “การ์ดอวยพรวันคริสต์มาส” รวมถึงเอเย่นต์หนังสือของเขา ที่ส่งต่อหนังสือเล่มนี้ให้กับค่ายหนังต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือค่าย RKO ที่ตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์นวนิยายขนาดสั้นเรื่องนี้ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของหนึ่งในภาพยนตร์ที่ว่ากันว่าดีที่สุดตลอดกาลอย่าง It’s a Wonderful Life

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย แฟรงก์ คาปรา และออกฉายในปี 1946 เพียง 1 ปีหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง แม้ว่าไฟสงครามจะดับลงแล้ว แต่แน่นอนว่าทุกสงครามทิ้งรอยแผลไว้เสมอ ยังมีอีกหลายครอบครัวที่ต้องสูญเสียผู้คนที่พวกเขารักไปเพราะสงคราม มีทหารหลายนายที่ถูกเกณฑ์ไปรบท่ามกลางสถานการณ์ที่โหดร้าย เห็นผู้คนล้มตายต่อหน้า และบางครั้งก็ต้องคร่าชีวิตคนอื่นด้วยมือของพวกเขาเอง สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นภาพจำฝังใจที่ทำให้คนเหล่านี้ไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ สื่อบันเทิงที่ผลิตออกมาในช่วงหลังสงครามโลกจึงมักจะเป็นเรื่องราวให้กำลังใจ ที่พยายามจะส่งสารให้ผู้คนรู้สึกว่า “ชีวิตยังสวยงามเสมอ”

It’s a Wonderful Life ก็เป็นหนึ่งในนั้น และแม้แต่เรื่องราวการประสบความสำเร็จของตัวภาพยนตร์เองก็น่าอัศจรรย์ใจไม่แพ้เนื้อหา เพราะนอกจากจะดัดแปลงมาจากหนังสือที่โดนสำนักพิมพ์ปฏิเสธแล้ว ขณะที่เข้าฉายปี 1946 นั้น It’s a Wonderful Life ก็เป็นหนังไม่ทำเงินและแทบจะไม่มีใครรู้จักภาพยนตร์เรื่องนี้ หากแต่ปาฏิหาริย์ยังเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะในปี 1974 National Telefilm Associates ผู้ถือลิขสิทธิ์ กลับลืมต่ออายุลิขสิทธิ์ หนังจึงกลายเป็นสมบัติสาธารณะ และถูกนำไปฉายโดยสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นอยู่บ่อย ๆ จนทำให้ It’s a Wonderful Life ได้รับโอกาสครั้งที่สอง หลังจากผ่านการเข้าฉายครั้งแรกมาแล้วถึง 28 ปี กลายเป็นหนังเรื่องโปรดของใครหลาย ๆ คน และขึ้นแท่นหนึ่งในหนังที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่งของโลก

จอร์จผู้ละเลยคุณค่าของตัวเอง

It’s a Wonderful Life เปิดเรื่องด้วยเสียงคำอธิษฐานจากผู้คนมากมาย เพื่อขอให้พระเจ้าช่วยเหลือชายคนหนึ่งที่ชื่อ จอร์จ เบลีย์ โดยที่ยังไม่เฉลยว่าเพราะเหตุใดผู้คนถึงต้องอธิษฐานเพื่อจอร์จ แต่หนังกลับตัดฉากไปที่ชีวิตจอร์จตั้งแต่ยังเด็กเพื่อให้เราได้รู้จักกับจอร์จมากยิ่งขึ้น

เราได้รู้ว่าจอร์จเคยช่วยชีวิตน้องชายของเขาไว้จากการจมน้ำ จนตัวของเขาเองติดเชื้อ ซึ่งทำให้หูข้างหนึ่งดับมาตั้งแต่นั้น เราได้รู้ว่าจอร์จเคยทำงานในร้านขายยาของคุณกาวเวอร์ ที่เพิ่งสูญเสียลูกชายไปจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วเผลอเอายาพิษกรอกแคปซูลให้ลูกค้า จอร์จสังเกตเห็นและได้เตือนคุณกาวเวอร์ แต่เขาก็ใจดีมากพอที่จะเก็บงำความผิดพลาดของคุณกาวเวอร์ไปตลอด เพื่อไม่ให้เจ้าของร้านยาผู้น่าสงสารตกงาน เราได้รู้ด้วยว่าความฝันของจอร์จคือการออกไปผจญภัยในโลกกว้าง สร้างสรรค์บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ทิ้งเมืองเล็ก ๆ เมืองนี้ และไปมีชีวิตแสนสุขของตัวเอง แต่แล้วเมื่อพ่อของเขาที่ทำกิจการอาคารและสินเชื่อเล็ก ๆ เสียชีวิตกะทันหัน จอร์จก็ยอมรับช่วงต่อธุรกิจของพ่อ และปล่อยให้น้องชายของเขาได้ไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยแทน และในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่หลายคนหมดความเชื่อมั่นในสถาบันการเงินและต้องการจะถอนเงินออก จอร์จก็ยังยอมยกเลิกทริปฮันนีมูนกับแมรี ภรรยาของเขา และเอาเงินส่วนนั้นมาจ่ายเพื่อให้กิจการของเขาอยู่รอด

จอร์จคือผู้ที่เสียสละทั้งเงินทอง ความใฝ่ฝัน และตัวตนเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่น ๆ มาโดยตลอด เขาเก่งมากพอที่จะประคับประคองกิจการอาคารและสินเชื่อเล็ก ๆ ที่ไม่หวังกำไรให้อยู่รอดมาได้ต่อจากพ่อ และยังมีครอบครัวอบอุ่นกับภรรยาที่คอยสนับสนุนเขาอยู่เสมอ แต่จอร์จก็ยังคงไม่พอใจในตัวเองและมักจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

เขาคิดว่าเขาไม่รวยพอเท่าแซม เวนไรท์ เพื่อนนักธุรกิจผู้ร่ำรวยของเขาที่ได้ “สร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่” ด้วยการเปิดธุรกิจต่าง ๆ ที่เขาใฝ่ฝันว่าจะได้ทำมาตลอด เขาคิดว่าเขาไม่มีดีพอเท่าแฮร์รี่ ผู้เป็นน้องชาย ที่ได้เรียนหนังสือและกลายเป็นวีรบุรุษในสงครามโลกครั้งที่ 2 และจอร์จก็ยังคงโทษตัวเองอยู่บ่อย ๆ ว่าเขาทำให้ภรรยาและลูกต้องลำบาก

ความคิดเช่นนี้จึงทำให้จอร์จกลายเป็นเหมือนภูเขาไฟที่ยังไม่มอดดับ แม้ฉากหน้าเขาจะยิ้มแย้มแจ่มใส ทุ่มเทพลังกายพลังใจเพื่องาน เป็นคุณพ่อที่ดีและสามีที่น่ารักของลูก ๆ มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ แต่ในตัวของจอร์จเต็มไปด้วยความผิดหวังที่ไม่สามารถทำตามฝันได้ และยังเต็มไปด้วยการกดทับตัวเองด้วยการนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ จนมองไม่เห็นคุณค่าที่ตัวเขามี สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนลาวาร้อนที่ไหลวนเวียนอยู่ในตัวจอร์จและรอวันที่จะปะทุออกมา

ทุนนิยม : ผู้ร้ายที่ฉกฉวยและกัดกินชีวิตของทุกคน

“คุณพูดว่าพวกเขาต้องรอและเก็บสะสมเงินก่อนถึงคิดจะมีบ้านสักหลังได้ แต่รออะไรล่ะ รอให้ลูก ๆ ย้ายออกไป รอให้พวกเขาแก่แล้วไร้ประสิทธิภาพเหรอ คุณรู้ไหมว่านานแค่ไหนกว่าคนทำงานจะเก็บเงินได้ 5,000 ดอลลาร์ จำไว้นะว่าคนกระจอก ๆ ที่คุณพูดถึงคือคนที่ทำงาน ใช้จ่าย อาศัย และแก่ตายในชุมชนนี้ มันมากไปเหรอที่จะให้พวกเขาทำงาน ใช้จ่าย อาศัย และตายในบ้านของตัวเอง”

จอร์จ เบลีย์ กล่าวกับ เฮนรีย์ พอตเตอร์ ตัวร้ายหลักในเรื่อง หากจะบอกว่าพอตเตอร์คือ “ทุนนิยมเดินได้” ก็คงไม่ผิดนัก พอตเตอร์คือนายทุนที่รวยที่สุด เขาแทบจะครอบครองกิจการทุกอย่างในเมือง และยังมีความเชื่อว่าชาวเมืองแสนขี้เกียจที่ไม่รู้จักเก็บเงินไม่ควรจะมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากหรือมีบ้านเป็นของตัวเอง

ในขณะที่บริษัทอาคารและสินเชื่อที่จอร์จต้องรับช่วงต่อมาจากพ่อของเขานั้นเป็นบริษัทเล็ก ๆ ไม่เน้นกำไร พวกเขาคิดดอกเบี้ยในราคาถูกแสนถูก และคนที่กู้ยืมไปก็สามารถผ่อนผันได้ หากไม่มีจ่ายในบางเดือน นโยบายนี้ทำให้ชาวเมืองสามารถลืมตาอ้าปากได้ ไม่ต้องพึ่งพาอำนาจเงินของพอตเตอร์ มีเงินเก็บมากพอที่จะปลูกบ้านเป็นของตัวเองแล้วย้ายออกจากห้องเช่าในสลัมบนที่ดินของพอตเตอร์ และการบริหารของจอร์จยังทำให้เขาสามารถเปิด “เบลีย์ พาร์ก” โครงการบ้านจัดสรรราคาถูกให้คนได้มีบ้าน พอตเตอร์จึงมองจอร์จเป็นภัยคุกคาม เขาพยายามจะปิดบริษัทของครอบครัวเบลีย์หลายหนแต่ไม่สำเร็จ พยายามจะใช้อำนาจเงินเสนอเงื่อนไข “ชีวิตที่ดีกว่า” ให้กับจอร์จเพื่อให้จอร์จทิ้งบริษัทไปแต่ก็ไม่สำเร็จ

อย่างไรก็ดี แม้ผู้คนจะรู้ว่าพอตเตอร์เป็นนายทุนไร้หัวใจ แต่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ชาวเมืองบางคนก็ยังต้องสยบยอมต่ออำนาจเงินของพอตเตอร์ เพราะไม่มีตัวเลือกอื่น แถมพอตเตอร์ยังไม่ใช่ตัวร้ายที่ใช้ความรุนแรงเพื่อก้าวขึ้นสู่อำนาจ แต่เขามักจะโผล่มาเสนอทางเลือกในเวลาที่เกิดปัญหา เขาคือภาพแทนทุนนิยมที่แม้เราต่างรู้ดีว่ามันคือระบอบที่ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำ แต่เราก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ It’s a Wonderful Life ออกฉายในปีที่ฮอลลีวูดมีข้อปฏิบัติสำหรับคนทำหนังที่มีชื่อว่า Hays Code ซึ่งหนึ่งในข้อปฏิบัติคือ การกระทำผิดกฎหมายทุกอย่างที่ปรากฏบนภาพยนตร์ต้องแสดงให้เห็นว่ามีโทษตามมา ทว่าแม้พอตเตอร์จะทำผิดกฎหมายในบางจุด เขากลับไม่ได้รับโทษใด ๆ ในหนังเลย พอตเตอร์ยังคงเป็นคนรวยผู้สุขสบายอยู่เหมือนเดิม แต่แทนที่หนังจะถูกลงโทษเพราะไม่มีบทลงโทษให้ผู้ร้ายนายทุนอย่างพอตเตอร์ หนังกลับถูกเจ้าหน้าที่ FBI รายงานว่ามีเนื้อหาที่อาจเป็นการโฆษณาชวนเชื่อให้กับระบอบคอมมิวนิสต์ เพราะหนังทำให้นายทุนอย่างพอตเตอร์ดูเป็นคนโหดร้าย นี่จึงยิ่งตอกย้ำอำนาจของทุนนิยมที่ใครต่างก็ต้องก้มหัวให้แม้แต่ในชีวิตจริง  

ทุกชีวิตต่างสัมผัสชีวิตอื่น

ความกดดันที่จอร์จแบกรับมาตลอดชีวิตระเบิดขึ้น เมื่อพบว่าคุณอาผู้เป็นหุ้นส่วนบริษัทของเขาทำเงิน 8,000 เหรียญ ที่ต้องเอามาใช้ต่อชีวิตบริษัทหลังจากสงครามสิ้นสุดหายไปในคืนคริสต์มาสอีฟ  

แม้จะโกรธอา แต่จอร์จก็คือจอร์จ เขาแบกรับความรู้สึกผิดไว้มากพอ ๆ กับอาและอาจจะมากกว่า ความรู้สึกนี้ทำให้เขาแสดงความชิงชังและโกรธเคืองโลกทั้งโลกออกมา เขาด่าทอต่อว่าทุกคนที่ขวางหน้าไม่เว้นแม้แต่ภรรยาและลูก ๆ ทั้งที่เป็นคืนคริสต์มาสอีฟ ที่ภรรยาและลูกต่างรอคอยเขากลับมาบ้าน เพื่อจะได้ฉลองกันอย่างพร้อมหน้า และท้ายที่สุดคนที่จอร์จวกกลับมากล่าวโทษก็คือตัวเอง ความคิด “ถ้าไม่มีฉัน ทุกคนคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้” ผุดขึ้นมาในหัวจอร์จ เขาจ้องมองผืนน้ำดำมืดและคิดที่จะฆ่าตัวตาย

นั่นเป็นตอนที่ แคลเรนซ์ ทูตสวรรค์ชั้นสอง ปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้ แคลเรนซ์ทำให้คำขอของจอร์จสมหวังด้วยการทำให้จอร์จได้เจอกับโลกที่เขาไม่เคยเกิดมา

ในโลกที่ไม่มีจอร์จ พอตเตอร์สามารถฮุบเมืองทั้งเมืองได้สำเร็จ ที่ดินของเขาที่เคยเป็นบ้านจัดสรรราคาถูกให้คนได้มีบ้านเป็นของตัวเอง กลายเป็นเพียงสุสานชวนเศร้าสร้อย บ้านแสนสุขที่มีลูกและภรรยาเป็นเพียงบ้านร้างเงียบงัน แฮร์รี น้องชายของจอร์จก็ไม่ได้เป็นวีรบุรุษสงคราม เพราะเขาเสียชีวิตไปจากการจมน้ำตั้งแต่เด็ก กิจการอาคารและสินเชื่อปิดตัวลง คุณกาวเวอร์ตกงานและกลายเป็นเพียงคนเสียสติที่ทุกคนรังเกียจ  

“นายได้รับของขวัญล้ำค่านะจอร์จ นั่นคือโอกาสที่ได้เห็นว่าโลกนี้จะเป็นยังไงถ้าไม่มีนาย แปลกใช่ไหม ชีวิตเราแต่ละคนสัมผัสกับชีวิตคนอื่นมากมาย พอเขาไม่อยู่แล้ว เขาก็ทิ้งช่องโหว่ไว้ใช่ไหม”

แคลเรนซ์กล่าวกับจอร์จ จอร์จจึงได้รู้ว่าชีวิตของเขานั้นมีค่าเพียงใด จอร์จคือคนที่เสียสละและทำดีโดยไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำคือการทำดี แต่คือเรื่องง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ควรจะหยิบยื่นให้กัน เขาจึงมองข้ามคุณค่าที่ตัวเองมี และไม่ทันได้สังเกตว่ามันมีคุณค่ามากมายเพียงใด อย่างน้อยก็มากพอที่จะทำให้คนอื่น ๆ อธิษฐานวิงวอนให้พระเจ้าช่วยเขา จนเสียงอธิษฐานนั้นดังไปถึงสวรรค์ ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคนที่เขาเคยช่วยเหลือไว้ยังมาร่วมฉลองคริสต์มาสไปกับเขาพร้อมกับออกเงินกันคนละเล็กละน้อยจนจอร์จได้เงิน 8,000 เหรียญที่ทำหายไปกลับคืนมา

It’s a Wonderful Life ออกฉายหลังจากที่โลกผ่านพ้นสงครามครั้งใหญ่มาได้ไม่นาน มันคือช่วงที่โลกถูกบอกให้แบ่งเขาแบ่งเราโดยคนไม่กี่คน และทำให้หลายคนลืมไปว่าชีวิตเราแต่ละคนล้วนสัมผัสข้องเกี่ยวกับมนุษย์คนอื่นบนโลก แต่เราต่างก็มีบทเรียนแล้วว่า ชีวิตนั้นเปราะบางเพียงใด เราต่างได้รู้ว่าการมีอยู่ของคนคนหนึ่งส่งผลต่อครอบครัว เพื่อนฝูง และสังคมอย่างไร และการจากไปของคนคนหนึ่งสร้างผลกระทบมากเพียงไหน สารที่สำคัญที่สุดของ It’s a Wonderful Life จึงไม่ใช่การสรรเสริญความดีของจอร์จ หากแต่หนังกำลังบอกเราว่า เราประกอบร่างสร้างตัวตนและคุณค่าของชีวิตขึ้นมาได้ด้วยความสัมพันธ์ที่เรามีต่อคนอื่น ๆ ด้วยการฉายภาพชีวิตของผู้ชายธรรมดา ๆ ผู้มีจิตใจเอื้อเฟื้อ และรายล้อมไปด้วยผู้คนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อคนอื่น ๆ ที่ต่างประคับประคองดูแลกันและกัน จอร์จจึงได้มีช่วงเวลาแสนดีไปพร้อม ๆ กับทุกคนในวันคริสต์มาสอีฟ แม้จะต้องเผชิญกับเรื่องราวเลวร้ายเท่าใดก็ตาม

อ้างอิง :

https://www.smithsonianmag.com/smart-news/weird-story-fbi-and-its-wonderful-life-180967587/

https://en.wikipedia.org/wiki/Pre-Code_Hollywood

https://www.todayifoundout.com/index.php/2011/12/its-a-wonderful-life-was-based-on-a-christmas-card-short-story-by-philip-van-doren-stern/

https://www.life.com/arts-entertainment/its-a-wonderful-life-tribute-to-a-masterpiece/


Writer

Avatar photo

ปัญญาพร แจ่มวุฒิปรีชา

อย่ารู้จักเราเลย รู้จักแมวเราดีกว่า

Writer

Avatar photo

พรภวิษย์ เพ็งเอียด

ชอบกินเนื้อต้มและตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือให้ได้ปีละสามเล่ม

Related Posts