“เมื่ออนาคตเด็กไม่ได้เริ่มที่กระดาน แต่เริ่มที่กลอง ดิน และต้นไม้” : ศูนย์เด็กเล็กที่ไม่ได้สอนให้เชื่อฟัง แต่สอนให้ ‘เป็นมนุษย์’

Mappa สัมภาษณ์คนตัวเล็กเปลี่ยนโลกอย่าง ​“ศน.ปลา” จรรยารักษ์ โพธิ์ทองงาม ศึกษานิเทศก์ เทศบาลนครนครราชสีมา กับการพลิกบทบาทศึกษานิเทศก์ให้เป็น “คนที่อยู่ข้างครู และคนที่อยู่เพื่อเด็ก”


ในสังคมที่ยังวัด “คุณภาพ” ของเด็กเล็กด้วยการนั่งนิ่ง ยกมือพร้อมกัน และท่องตามเสียงครู มีใครสักกี่คนที่กล้าถามกลับว่า นี่คือการเตรียมเด็กสู่ชีวิตจริง หรือแค่การฝึกให้เชื่อฟัง?

นครราชสีมา เมืองใหญ่ที่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมากที่สุดในประเทศ กำลังซ่อนคำตอบที่แตกต่างไว้ตรงกลางลานดินเล็ก ๆ มีเสียงกลองดังขึ้นเป็นจังหวะ เด็กที่เคยนั่งไม่ติดเก้าอี้กลับนิ่งลงอย่างน่าอัศจรรย์ ดวงตาที่เคยลุกลี้ลุกลนเริ่มจับจ้อง เสียงหัวเราะและฝีเท้าเล็ก ๆ กลายเป็นวงเรียนรู้ที่ไม่มีตำราใดลอกเลียนแบบได้

ศูนย์เด็กเล็กในฝันของ “ศน.ปลา”  จรรยารักษ์ โพธิ์ทองงาม ศึกษานิเทศก์ เทศบาลนครนครราชสีมา ไม่ได้เริ่มจากกระดานดำหรือหนังสือ ABC แต่มาจากความเชื่อเรียบง่ายว่า เด็กควรได้โตบนพื้นดินจริง ๆ หายใจในอากาศที่มีลม และเรียนรู้การรอคอยผ่านเสียงกลอง

และนี่คือเหตุผลว่าทำไมพ่อแม่ควรอ่านเรื่องนี้  เพราะความหมายของคำว่า “คุณภาพการศึกษา” ที่ระบบใช้วัด ไม่ได้บอกอะไรเลยเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของลูกเรา เด็กที่นั่งนิ่งอาจไม่ได้หมายถึงเด็กที่มีสมาธิจริง เด็กที่เชื่อฟังทุกอย่างอาจไม่ได้หมายถึงเด็กที่คิดเป็นจริง และเด็กที่ทำตามคำสั่งได้ดี อาจไม่ใช่เด็กที่พร้อมใช้ชีวิตในโลกจริงที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง

บทความนี้คือคำชวนให้เราลองมองการศึกษาใหม่ ผ่านสายตาของคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่าง “นโยบาย” กับ “เด็กจริง ๆ” เธอไม่ได้ร่วมสร้างห้องเรียนที่สวยงามบนกระดาษ แต่สร้างพื้นที่เล็ก ๆ ที่เด็กมีโอกาสยังได้เป็นมนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างแท้จริง พร้อมทั้งครูและพ่อแม่ที่เรียนรู้ไปพร้อมกันว่า “การศึกษาไม่ใช่เรื่องของการเชื่อฟัง แต่คือการเข้าใจจังหวะและพัฒนาการของชีวิต”

Mappa ชวนทำความรู้จัก ‘ศึกษานิเทศก์’ ที่พ่อแม่สงสัยว่าหน้าที่จริง ๆ ของอาชีพนี้คือทำอะไรกันแน่

เบื้องหลังชื่อเล่นสั้น ๆ ว่า “ศน.ปลา” คือ จรรยารักษ์ โพธิ์ทองงาม ศึกษานิเทศก์ เทศบาลนครนครราชสีมา เธอทำงานในจังหวัดที่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมากที่สุดในประเทศ แต่กลับเลือกจะนิยามตัวเองอย่างเรียบง่ายว่า “คนที่อยู่ข้างครู และอยู่เพื่อเด็ก”

หลายคนอาจคุ้นภาพศึกษานิเทศก์ในฐานะ “ผู้ตรวจสอบ” คนที่ถือแฟ้มหนา ๆ เดินเข้าโรงเรียนเพื่อตรวจเอกสารให้ครบตามระเบียบ แต่ศน.ปลากลับเลือกบทบาทอีกแบบหนึ่ง เธอเป็นทั้งโค้ช เพื่อนคู่คิด และในหลายครั้งยังยอมลงแรงลงมือทำไปพร้อมกับครู เพราะเชื่อว่าหน้าที่นี้จะไม่มีความหมายเลย หากสิ่งที่ทำไม่ย้อนกลับไปถึงเด็กเล็กในห้องเรียนจริง ๆ

เมื่อเราถามว่า ทำไมถึงเลือกทำงานกับเด็กเล็ก ศน.ปลาไม่ได้ให้คำตอบยาว เธอพูดเพียงว่า “เพราะเด็กเล็กซื่อสัตย์กับความเป็นมนุษย์ที่สุด เขาร้องไห้เพราะเจ็บจริง หัวเราะเพราะสุขจริง และจะนิ่งไม่ได้เลยถ้าใจไม่พร้อมจริง ๆ”

เธอไม่ได้มองงานนิเทศว่าเป็นแค่ “หน้าที่” หากแต่เป็น “การเลือก”  เลือกที่จะทำให้ครูมีเพื่อนร่วมคิด เลือกที่จะทำให้พ่อแม่รู้สึกว่าโรงเรียนกับบ้านคือพื้นที่เดียวกัน “เวลาเห็นครูเปลี่ยนจากการ ‘สั่งเด็ก’ มา ‘เข้าใจเด็ก’  มันทำให้เรารู้เลยว่างานเล็ก ๆ ที่ทำ มีค่ามากกว่าตัวเลขในรายงาน”

สำหรับเธอ ความสุขของงานนี้ไม่ได้มาจากคำชมของผู้บริหาร แต่มาจากข้อความสั้น ๆ จากครูที่ส่งรูปเด็กมาบอกว่า “วันนี้เขาทำได้แล้วค่ะ” หรือเสียงพ่อแม่ที่เล่าว่า “ลูกกลับบ้านแล้วอยากเล่าให้ฟังเอง” เหตุผลเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ต่างหากที่ทำให้เธอยืนยันจะอยู่กับเด็กเล็ก และยอมเชื่อฟัง “เสียงของเด็ก” มากกว่า “เสียงของระบบ”

นาทีที่รัฐอาจตกหล่นเรื่องคุณภาพ มี “คนกลาง” คือศึกษานิเทศก์

ในระบบการศึกษา เรามักเห็นแค่ “นโยบาย” ที่สั่งลงมา หรือไม่ก็ “ครูในห้องเรียน” ที่ต้องทำตาม แต่ตรงกลางกลับเงียบราวกับไม่มีใครอยู่ ทั้งที่จริง ๆ แล้วมีอาชีพหนึ่งที่ทำงานเงียบ ๆ อยู่ตรงนั้น ศึกษานิเทศก์

ศน.ปลา จรรยารักษ์ โพธิ์ทองงาม บอกเล่าหน้าที่ของตัวเองด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “หน้าที่ของเราคือการเป็นโค้ชของครู เป็นเพื่อนคู่คิดของโรงเรียน เวลาพูดถึงคุณภาพ เรามองไปที่เด็กก่อนเอกสารเสมอ”

เธออธิบายต่อว่า งานนิเทศที่มีความหมายสำหรับเธอ ไม่ใช่การตรวจสอบหรือการเขียนรายงาน แต่คือการลงไปเห็นเด็กจริง ๆ ว่าได้เรียนรู้อะไร ครูจริง ๆ ว่ากำลังเจอปัญหาแบบไหน “เราไม่ได้ไปหาครูเพื่อบอกว่าเขาผิดหรือถูก แต่ไปช่วยคิดว่าเด็กสองขวบควรได้เรียนรู้อะไร เด็กสามขวบควรทำอะไรได้บ้าง แล้วถ้าห้องเรียนตอนนี้ยังไม่ตอบโจทย์ เราจะปรับตรงไหนได้บ้าง”

นี่จึงไม่ใช่แค่การตีกรอบให้ครูทำตาม แต่คือการเปิดพื้นที่ให้ครูรู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ข้าง ๆ ในวันที่นโยบายกดทับ ในวันที่รายงานหนาเตอะ และในวันที่ครูเองก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้ถูกทางหรือเปล่า “เราพยายามให้ครูเห็นว่า หลักสูตรมันดีอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือการเข้าใจพัฒนาการของเด็ก แล้วหยิบหลักสูตรลงมาใช้ให้เหมาะกับวัยนั้น ๆ”

ประโยคเหล่านี้ทำให้เราเห็นว่า สำหรับ ศน.ปลา การนิเทศไม่ใช่เรื่องของระบบเอกสาร แต่คือการคืน “ความหมายของคุณภาพ” ให้กลับมาอยู่กับชีวิตของเด็กเล็กจริง ๆ

โคราช : เมืองที่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมากที่สุด และคำถามว่า “คุณภาพ” ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก​ คืออะไร

นครราชสีมาเป็นจังหวัดที่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมากที่สุดในประเทศไทยจำนวน 700 กว่าแห่ง ตัวเลขนี้ดูเหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่าระบบรองรับเด็กเล็กในเมืองใหญ่แห่งนี้แข็งแรง แต่สำหรับศน.ปลา ตัวเลขกลับกลายเป็นคำถามมากกว่าคำตอบ

เธอเล่าว่า ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลนครนครราชสีมาที่ดูแลอยู่ เดิมมีเด็กประมาณ 500 กว่าคน แต่ไม่กี่ปีต่อมาจำนวนลดลงเหลือเพียง 300 กว่าคน “จำนวนเด็กที่ลดลง มันสะท้อนว่าคนในเมืองมีลูกน้อยลงจริง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงกว่าคือ เด็กที่เรายังอยู่ เขาได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพแค่ไหน”

ศน.ปลามองว่า ปัญหาของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กไม่ได้อยู่ที่ “มากหรือน้อย” แต่คือ มาตรฐานความเข้าใจเรื่องพัฒนาการเด็ก เพราะหลายครั้งครูถูกกำหนดให้ทำกิจกรรมตามแบบฟอร์มเหมือนกันหมด โดยไม่คำนึงว่าเด็กสองขวบกับสามขวบต้องการไม่เหมือนกันเลย “เรามักคิดว่าเด็กทุกคนควรทำได้เหมือนกัน แต่จริง ๆ เด็กสองขวบควรได้เล่น ได้เคลื่อนไหว ได้สำรวจ เด็กสามขวบค่อยเริ่มมีทักษะทางภาษาและสังคมมากขึ้น ถ้าเราไม่เข้าใจตรงนี้ เด็กก็จะถูกเร่งรัดเกินไป หรือไม่ก็ถูกปล่อยให้ขาดสิ่งที่จำเป็นสำหรับวัยนั้น ๆ”

สิ่งที่ศน.ปลาเรียกว่า “คุณภาพ” จึงไม่ใช่การที่เด็กทุกคนยกมือพร้อมกัน ท่องได้เหมือนกัน หรือทำงานใบงานได้ครบ แต่คือการที่ครูเข้าใจ หัวใจของพัฒนาการ และออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับเด็กแต่ละวัย “หลักสูตรจริง ๆ มันดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการตีความหลักสูตรให้สอดคล้องกับพัฒนาการเด็ก ไม่ใช่ทำตามหนังสือหรือแบบฟอร์มอย่างเดียว”

และนี่คือคำถามที่ใหญ่กว่าตัวเลขใด ๆ  เมื่อจำนวนศูนย์ฯ ยังมาก แต่จำนวนเด็กน้อยลงทุกปี เราจะวัด “ความสำเร็จ” ของการดูแลเด็กเล็กจากเก้าอี้ที่ว่างอยู่ หรือจากเด็กแต่ละคนที่ได้เติบโตอย่างสมวัย มีความสุข และพร้อมจะเรียนรู้ต่อไปในชีวิตจริง

ศูนย์เด็กเล็กในฝัน : โล่ง ลม กลอง และดินทราย

ถ้าไม่ต้องติดกรอบระเบียบ ถ้าไม่ต้องยึดติดกับอาคารคอนกรีตและแบบฟอร์ม ศูนย์เด็กเล็กในฝันของศน.ปลาจะไม่ใช่ห้องเรียนสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยโต๊ะเก้าอี้เรียงแถว แต่เป็นพื้นที่ที่เด็กสามารถวิ่งเล่นได้อย่างอิสระ มีลมพัดผ่านหน้าต่าง มีกลองอยู่ตรงกลางห้อง และมีดินทรายให้เด็กสัมผัสได้ด้วยมือเปล่า

เธอพูดด้วยแววตาเป็นประกายว่า “ธรรมชาติจะทำให้เด็กอ่อนโยน เด็กควรได้สัมผัสดิน ได้เหยียบทราย ได้เรียนรู้ด้วยร่างกายจริง ๆ ไม่ใช่แค่ฟังคำสั่งหรือทำแบบฝึกหัด”

สำหรับศน.ปลา การให้เด็กได้เจอโลกจริงคือการสอนความระมัดระวังที่แท้จริง เด็กจะรู้ว่าเดินบนทรายต่างจากเดินบนพื้นซีเมนต์ เด็กจะเรียนรู้ว่าเสียงกลองทำให้เขาต้องรอคอยจังหวะและฟังเพื่อนร่วมวง ทุกอย่างคือบทเรียนที่ไม่มีในตำรา แต่ถูกซ่อนอยู่ในธรรมชาติและการเคลื่อนไหวของชีวิต

เธออธิบายว่า ห้องเรียนที่ดีไม่จำเป็นต้องมีของเล่นราคาแพง แต่ต้องมีพื้นที่ให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดในการเรียนรู้ “เวลาเด็กได้เล่นกับดินกับทราย เขาไม่ได้แค่สนุก แต่กำลังพัฒนา 4 ด้านพร้อมกัน ทั้งด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา ทุกอย่างมันเชื่อมกันหมด”

ศูนย์ฯ ในฝันของเธอจึงไม่ใช่ศูนย์ฯ ที่เด็กต้อง “นั่งนิ่ง” เพื่อจะถูกมองว่ามีระเบียบวินัย แต่เป็นศูนย์ฯ ที่เด็กได้ใช้ร่างกาย ใช้หัวใจ และใช้ความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเป็นเข็มทิศในการเรียนรู้

ที่นี่เด็กนิ่งได้เมื่อได้ตีกลองไม่ใช่นิ่งจากเสียงดุของครู

ในสายตาของครูและพ่อแม่ เด็กบางคนคือ “เด็กไม่นิ่ง” วิ่งทั้งวัน ไม่เคยนั่งอยู่นาน ๆ แต่ในห้องเรียนที่ ศน.ปลา ดูแล สิ่งมหัศจรรย์กลับเกิดขึ้นทุกครั้งที่เสียงกลองดังขึ้นเป็นจังหวะ

เธอเล่าว่า “เด็กที่วิ่งทั้งวันจะหยุดนิ่งได้เมื่อถึงเวลากลอง วงดนตรีเล็ก ๆ ที่เราทำขึ้นมาช่วยให้เขามีสมาธิ รู้จักฟัง และรู้จักรอคอย”

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่สะท้อนหลักการของ Brain-based Learning ที่ย้ำว่าการเรียนรู้ไม่ได้เกิดจากการท่องจำเท่านั้น แต่เกิดจากการเชื่อมโยงของสมองเมื่อร่างกายเคลื่อนไหวและสอดคล้องกับจังหวะสม่ำเสมอ การเล่นกลองจึงเป็นทั้งการฝึกสมาธิและการฝึกการควบคุมตัวเอง หรือทักษะ EF (Executive Functions) ในเวลาเดียวกัน

ศน.ปลายังพบว่า เด็กแต่ละคนแสดงออกต่างกันในวงกลอง บางคนเลือกตีกลองใบใหญ่ บางคนขอเป็นคนนำวง บางคนใช้มือส่งสัญญาณให้เพื่อน ๆ เล่นตาม จังหวะที่เรียบง่ายจึงกลายเป็นเวทีที่เด็กแต่ละคนได้แสดงศักยภาพของตัวเองออกมา “เราจะเห็นเลยว่าเด็กที่เคยถูกมองว่าอยู่ไม่นิ่ง พอได้อยู่ในวงกลอง เขากลายเป็นผู้นำที่เพื่อนยอมรับได้”

เสียงกลองในห้องเรียนจึงไม่ใช่แค่เสียงดนตรี แต่เป็นเสียงที่ปลุกให้เด็กได้รู้จักสมาธิ ความอดทน และความหมายของการอยู่ร่วมกับผู้อื่น

ครูต้องเข้าใจ “แก่นพัฒนาการ” ไม่ใช่แบบฝึกหัด

ในระบบการศึกษาปฐมวัยของไทย ครูจำนวนไม่น้อยยังถูกวัดด้วย “แบบฟอร์มกิจกรรม”  วันนี้มีกี่ชิ้น? ครบทุกสาระหรือยัง?  มากกว่าจะถูกถามว่า “เด็กในห้องเรียนกำลังเติบโตอย่างไร”

ศน.ปลาเลือกจะมองกลับหัว เธอยืนยันเสมอว่า การเรียนรู้ตามพัฒนาการ คือหัวใจสำคัญที่สุด “เราไม่ได้ไปหาครูเพื่อบอกว่าต้องทำกิจกรรมให้ครบหกกิจกรรมหลัก แต่เราไปช่วยครูคิดว่า เด็กสองขวบควรได้อะไร เด็กสามขวบควรทำอะไรได้บ้าง สิ่งนี้ต่างหากที่สำคัญ”

เธอมักย้ำกับครูว่า หลักสูตรที่มีอยู่แล้ว “ดี” เพียงพอ แต่ปัญหาคือครูจำนวนมากยังไม่เข้าใจว่าจะหยิบหลักสูตรนั้นมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับพัฒนาการเด็กแต่ละวัยอย่างไร “ถ้าไม่เข้าใจพัฒนาการ เด็กสองขวบก็จะถูกสอนแบบเด็กสามขวบ หรือบางครั้งเด็กสามขวบก็ถูกปฏิบัติราวกับยังสองขวบอยู่ แบบนี้ทั้งเด็กและครูเหนื่อยหมด”

ห้องเรียนในสายตาของเธอ จึงไม่ใช่พื้นที่ที่ทุกคนต้อง “เรียนเหมือนกัน” แต่เป็นพื้นที่ที่ครูเข้าใจว่าเด็กแต่ละวัยมีเส้นทางการเติบโตที่แตกต่าง และหน้าที่ของครูคือการประคับประคองให้พวกเขาเดินไปตามเส้นทางนั้นอย่างมั่นคง

เช้าของเด็กเล็ก : เริ่มวันให้ “อยากเรียนรู้”

เช้าวันจันทร์ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหลายแห่งมักเริ่มด้วยเสียงเคารพธงชาติ เสียงครูสั่งให้เด็กนั่งเป็นแถว และเสียงเด็กที่ถูกบังคับให้ร้องเพลงตามกันไป แต่ศน.ปลาเชื่อว่าช่วงเวลาเช้าคือ “หัวใจ” ของการปลุกให้เด็กเล็กอยากเรียนรู้  และมันไม่ควรถูกใช้ไปกับการบังคับให้นั่งนิ่ง ๆ ตั้งแต่เริ่มต้นวัน

เธอเล่าว่า “หลังเคารพธงชาติ เด็กควรได้วิ่งลมพัดหน้า ได้เดินทรงตัว ล้างมือ ดื่มนม แล้วค่อยเข้าห้อง นี่คือการเตรียมทั้งกายและใจให้พร้อม”

กิจวัตรเล็ก ๆ แบบนี้ ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่จริง ๆ แล้วคือการออกแบบ “กิจกรรมเปลี่ยนผ่าน” ที่สอดคล้องกับพัฒนาการเด็กปฐมวัย เด็กได้ใช้ร่างกายปลดปล่อยพลังงานสะสม ได้ฝึกการประสานงานของกล้ามเนื้อ ได้เรียนรู้การดูแลตนเองจากการล้างมือ และได้เติมพลังด้วยการดื่มนมก่อนเข้าสู่บทเรียน

สิ่งสำคัญที่สุดคือ เด็กจะไม่รู้สึกว่าการมาโรงเรียนคือการถูก “จับให้อยู่ในกรอบ” แต่คือการได้เริ่มวันด้วยความสุข ความกระฉับกระเฉง และความรู้สึกปลอดภัย

ศน.ปลามักย้ำว่า ความอยากรู้คือเชื้อเพลิงของวัยนี้ ถ้าเช้าถูกใช้ไปกับการบังคับ เด็กจะหมดไฟตั้งแต่ยังไม่เริ่ม แต่ถ้าเช้าเต็มไปด้วยกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายเบิกบาน หัวใจก็จะเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ได้เอง “ความอยากรู้มันจะมาจากข้างใน ถ้าเราไปบังคับให้เขาเรียน เขาก็จะเรียนแบบจำใจ แต่ถ้าเราเริ่มวันด้วยสิ่งที่เขามีความสุข เขาจะพร้อมเรียนรู้อะไรอีกเยอะเลย”

งานวิจัยด้านปฐมวัยก็ชี้ชัดว่า การจัดกิจวัตรตอนเช้าที่เหมาะสมสามารถช่วยให้เด็กมีสมาธิและพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเช้าไม่ได้เป็นเพียงการ “เริ่มต้นวัน” แต่คือการตั้งโทนของการเรียนรู้ทั้งหมดในแต่ละวัน

เด็กที่ได้วิ่งเล่น ได้หัวเราะ ได้หายใจเต็มปอดก่อนเข้าห้องเรียน จะไม่ใช่แค่พร้อมเรียน แต่ยังพร้อมจะ “รักการเรียนรู้” ไปนาน ๆ ด้วย

พ่อแม่ในสมการของการพัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน

บรรยากาศห้องประชุมผู้ปกครองในโรงเรียนมักจะเต็มไปด้วยน้ำเสียงสั่งการ รายงาน และการตัดสิน แต่ศน.ปลาเลือกจะเปลี่ยนบรรยากาศนั้นให้เป็นวงสนทนา ที่เริ่มต้นด้วยประโยคง่าย ๆ ว่า “เรามาช่วยกันดูแล ลูกของเรา

คำว่า “ลูกของเรา” ทำให้ห้องประชุมที่เคยแบ่งเป็น “ครู” กับ “พ่อแม่” ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นทีมเดียวกัน มันคือการดึงผู้ใหญ่สองกลุ่มที่เคยอาจมองกันด้วยความไม่ไว้วางใจ ให้กลับมาอยู่ในวงเดียวกันเพื่อเด็ก

ศน.ปลาเล่าว่า เธอพยายามทำให้การสื่อสารระหว่างครูกับพ่อแม่ไม่ใช่การชี้ผิดหรือโยนความรับผิดชอบ แต่เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน “เราไม่อยากให้ผู้ปกครองรู้สึกว่ามาโรงเรียนแล้วถูกตำหนิว่าเลี้ยงลูกไม่ดี เราอยากให้เขารู้สึกว่า ครูกับพ่อแม่เป็นทีมเดียวกันจริง ๆ”

แนวคิดนี้สอดคล้องกับงานวิจัยนานาชาติที่ชี้ว่า การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง (Parental Involvement) ว่ามีผลโดยตรงต่อพัฒนาการของเด็ก เด็กที่พ่อแม่เข้าใจวิธีการดูแลลูกที่สอดคล้องกับโรงเรียนจะมีพัฒนาการทั้งด้านสังคม อารมณ์ และการเรียนรู้สูงกว่าเด็กที่บ้านกับโรงเรียนขัดแย้งกัน

ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ศน.ปลาดูแล จึงไม่ได้มีแค่โปรแกรมสำหรับเด็ก แต่ยังมีการอบรมและกิจกรรมสำหรับผู้ปกครองด้วย พ่อแม่ถูกเชิญให้มาร่วมสังเกตการเรียนรู้ของลูก และเรียนรู้ภาษาการสื่อสารเชิงบวกที่ครูใช้กับเด็ก “เวลาเด็กทำผิด พ่อแม่บางคนอาจเผลอตะคอกใส่ แต่ถ้าเขาได้ยินครูพูดว่า หนูลองใหม่ได้ แม่เชื่อว่าหนูทำได้ เขาจะเริ่มเห็นว่าการเลี้ยงลูกแบบให้กำลังใจ มันสร้างพลังให้เด็กมากกว่าการดุ”

เมื่อโรงเรียนกับบ้านพูดภาษาเดียวกัน เด็กจะไม่สับสน และจะรู้สึกถึงความปลอดภัยที่รายล้อมอยู่ทั้งสองที่ พ่อแม่เองก็จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายการเลี้ยงดูที่ใหญ่ขึ้น

การเปลี่ยนห้องประชุมจาก “พื้นที่ตัดสิน” มาเป็น “พื้นที่ร่วมมือ” จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แต่มันคือการสร้างสมการใหม่ ที่ครูและพ่อแม่อยู่ข้างเดียวกัน และเด็กคือคำตอบที่ทั้งสองฝ่ายร่วมกันเขียนขึ้น

เมื่อระบบยังไม่พร้อม ยังมีแรงใจที่พร้อมก่อน

โควิดทำให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กปิดลง เด็กเล็กจำนวนมากถูกทิ้งให้อยู่หน้าจอ ทั้งที่วัยนี้ไม่ควรถูกขังอยู่กับเทคโนโลยี แต่ควรได้เรียนรู้ผ่านการเล่นและการมีปฏิสัมพันธ์จริง ๆ

ศน.ปลาเห็นช่องว่างนี้ชัดเจน เธอเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ อย่างการออกแบบ Home-based Learning ที่ไม่ใช่ใบงาน แต่เป็นกิจกรรมง่าย ๆ ให้พ่อแม่ทำกับลูกที่บ้าน เช่น เล่นจังหวะกับเสียง อ่านนิทานให้ลูกฟังแบบมีการเคลื่อนไหว หรือใช้วัสดุธรรมชาติในบ้านเป็นของเล่นเรียนรู้

เธอเล่าว่า “ตอนนั้นนโยบายยังไม่ชัด งบก็ยังไม่มา แต่เรารู้ว่าเด็กหยุดเรียนรู้ไม่ได้ เราก็ต้องหาวิธีทำต่อไป”

แม้ระบบจะยังไม่พร้อม แต่แรงใจของเธอและเครือข่ายครูกลับพร้อมก่อน พวกเขาช่วยกันบันทึกเสียงอ่านนิทาน ทำวิดีโอกิจกรรมเล็ก ๆ ส่งไปให้พ่อแม่ และบางครั้งถึงขั้นรวมเงินกันเองเพื่อซื้อวัสดุอุปกรณ์เล็ก ๆ ส่งถึงบ้านเด็ก ๆ “ถ้าเรารอระบบ เด็กก็จะหยุด แต่ถ้าเราทำทันที อย่างน้อยเด็กก็ยังได้เรียนรู้อะไรต่อเนื่อง”

ท้ายที่สุด ความพยายามเล็ก ๆ นี้กลับได้รับการสนับสนุนมาช่วยขับเคลื่อน แต่ความหมายจริง ๆ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน แต่อยู่ที่การยืนยันว่า การเริ่มจากแรงใจ สามารถปลุกระบบให้ค่อย ๆ ขยับตามได้

สำหรับศน.ปลา สิ่งสำคัญไม่ใช่การมีนโยบายที่สมบูรณ์แบบ แต่คือการมีครูและพ่อแม่ที่เชื่อว่าการเรียนรู้ของเด็กเล็กสำคัญเกินกว่าจะรอ

จากหนึ่งศูนย์ฯ สู่ความฝัน 32 อำเภอ

ศน.ปลาเริ่มต้นด้วยความฝันเล็ก ๆ ที่ฟังดูแทบจะเป็นไปไม่ได้  ขอเพียงมีศูนย์ฯ ต้นแบบสักหนึ่งแห่งที่จะพิสูจน์ว่าแนวคิดที่เราเชื่อมันทำงานได้จริง”

หนึ่งศูนย์ฯ นั้นกลายเป็นจริง และไม่นานต่อมาก็ขยายเป็น สามศูนย์ ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโรงเรียนบ้านหลักร้อย ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเคหะประชาสามัคคี และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสวนหม่อน แต่ละแห่งไม่ได้หรูหราหรือเต็มไปด้วยอุปกรณ์แพง ๆ สิ่งที่เหมือนกันคือ ครูที่เข้าใจพัฒนาการเด็ก และพร้อมเปลี่ยนบทบาทของตัวเอง จาก “ผู้สั่ง” มาเป็น “ผู้ประคับประคอง”

สำหรับศน.ปลา ศูนย์ฯ ต้นแบบไม่ได้เป็นเพียง “โชว์เคส” หรือพื้นที่ให้ใครมาดูงาน แต่คือ พื้นที่ทดลองจริง ที่เด็ก ครู และพ่อแม่ได้เติบโตไปพร้อมกัน “ศูนย์ฯ ต้นแบบต้องไม่ใช่ศูนย์ฯ ที่ทำให้ดู แต่ต้องเป็นศูนย์ฯ ที่ทำให้เด็กมีความสุข ครูมีพลัง และพ่อแม่เห็นว่าลูกของตัวเองโตขึ้นจริง ๆ”

เมื่อสามศูนย์เล็ก ๆ สามารถยืนอยู่ได้ ความฝันของเธอก็ขยายใหญ่ขึ้น  ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสอง แต่คือ อำเภอละหนึ่งศูนย์ต้นแบบ รวมแล้ว 32 ศูนย์ฯ ทั่วโคราช “ถ้าแต่ละอำเภอมีศูนย์ต้นแบบของตัวเอง ครูจะช่วยเหลือกันได้ในพื้นที่ ไม่ต้องรอใครมาชี้นำจากข้างนอก ความรู้และประสบการณ์จะหมุนเวียนอยู่ในระบบจริง ๆ”

สิ่งที่เธอใฝ่ฝันจึงไม่ใช่ “โครงการพิเศษ” ที่เกิดขึ้นชั่วคราว แต่คือการปลูกฝังต้นกล้าเล็ก ๆ ให้ลงรากในทุกอำเภอ เพื่อให้ความดีงามไม่ขึ้นอยู่กับ “ใครมา ใครไป” แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในโครงสร้างของพื้นที่

ศน.ปลามองว่า เมื่อเด็กในอำเภอเล็ก ๆ ได้รับการดูแลด้วยมาตรฐานเดียวกับเด็กในเมืองใหญ่ ความเหลื่อมล้ำจะค่อย ๆ ถูกลดลงอย่างแท้จริง เด็กทุกคนจะเริ่มต้นชีวิตด้วยความรู้สึกว่า “ฉันก็มีคุณค่าไม่ต่างจากใคร”

ความฝัน 32 อำเภอจึงไม่ใช่ความฝันของคน ๆ เดียว แต่คือการเขียนอนาคตใหม่ให้เด็กทั้งจังหวัด และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนทั้งประเทศได้ในที่สุด

ผลลัพธ์ที่มองเห็นได้ : เด็กที่มั่นใจเพราะ “เรียนรู้เป็น”

ศน.ปลาไม่เคยอวดว่าแนวทางของเธอทำให้เด็ก “ว่านอนสอนง่ายขึ้น” ตรงกันข้าม เธอเชื่อว่าเป้าหมายของการศึกษาในวัยเด็กเล็กไม่ใช่การทำให้เด็กเชื่อฟังคำสั่ง แต่คือการทำให้เด็ก เรียนรู้เป็น และ มั่นใจในตัวเอง

เธอเล่าว่า “เด็กที่นี่ไม่ใช่เด็กที่ทำตามทุกอย่างทันที แต่เขากล้าที่จะถาม กล้าที่จะลอง และไม่กลัวถ้าจะผิด เพราะเขาเรียนรู้ที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง”

ผลลัพธ์นี้อาจไม่ใช่สิ่งที่วัดได้ด้วยคะแนนสอบหรือใบงานที่เรียงเป็นตั้ง แต่กลับปรากฏให้เห็นในชีวิตประจำวัน  เด็กที่เคยไม่กล้าพูด เริ่มยกมือถามครู เด็กที่เคยวิ่งวุ่นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ เริ่มรู้จักรอคอยจังหวะของกลอง และเด็กที่เคยร้องไห้ง่าย กลับหัวเราะออกมาเมื่อได้ลองทำสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง

สิ่งเหล่านี้ทำให้พ่อแม่มองเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน “บางคนบอกเราว่า เมื่อก่อนลูกกลับบ้านไม่ค่อยเล่าอะไร แต่ตอนนี้เขาเล่าเอง อยากโชว์สิ่งที่ทำได้เอง”

ศน.ปลามองว่า การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงคือการทำให้เด็ก “มั่นใจว่าเขาเรียนรู้ได้” เมื่อเด็กมั่นใจ ครูก็จะได้เห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ พ่อแม่เองก็จะเชื่อมั่นในวิธีการเลี้ยงดูที่ไม่ใช่การบังคับ แต่คือการร่วมมือสร้างบรรยากาศที่ทำให้เด็กกล้าเติบโต

และนี่คือ “คุณภาพ” ในสายตาของศน.ปลา  ไม่ใช่จำนวนศูนย์ฯ ไม่ใช่ความหนาของแฟ้มเอกสาร แต่คือเด็กที่ก้าวออกจากศูนย์ฯ เล็ก ๆ ด้วยหัวใจที่มั่นใจและสมองที่รู้จักจะเรียนรู้ต่อไปด้วยตัวเอง

ครูที่เปลี่ยนไป : จากผู้สั่งการสู่ผู้เรียนรู้เคียงข้างเด็ก

ระบบการศึกษาของไทยมักผูกคำว่า “คุณภาพครู” เข้ากับเอกสาร รายงาน และการทำตามแบบฟอร์ม ครูจำนวนมากจึงเรียนรู้ที่จะ “ทำตาม” มากกว่าจะ “ทำความเข้าใจ” เด็กจริง ๆ แต่ในพื้นที่ที่ศน.ปลาทำงานอยู่ เธอเลือกจะขยับความหมายของคำว่า ครู ให้เปลี่ยนไป

เธอเล่าว่า “เวลาเห็นครูเปลี่ยนจากการสั่งเด็ก ให้หันมาเข้าใจเด็ก มันทำให้เรารู้เลยว่างานเล็ก ๆ ที่ทำ มีค่ามากกว่าตัวเลขในรายงาน”

นี่คือสิ่งที่ศน.ปลาภูมิใจที่สุด  ไม่ใช่แฟ้มงานที่ส่งครบ แต่คือแววตาของครูที่เริ่มเห็นว่า “เด็กไม่ได้ดื้อ เด็กแค่ยังไม่พร้อม” หรือ “เด็กไม่ได้ไม่ฟัง เขาแค่ต้องการพื้นที่ให้ตัวเองได้ลอง”

การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจึงไม่ได้อยู่ที่เด็กเพียงฝ่ายเดียว แต่เริ่มจากครูที่กล้าลดทอนบทบาท “ผู้สั่งการ” แล้วหันมาเป็น “ผู้เรียนรู้เคียงข้าง” “เราอยากให้ครูรู้ว่า เขาไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง ไม่ต้องตอบได้ทุกคำถาม แต่ต้องฟังเด็กให้เป็น และกล้าที่จะบอกเด็กว่า ครูก็เรียนไปกับหนูเหมือนกัน”

ครูที่เคยใช้เสียงดังเป็นอาวุธ เริ่มหันมาใช้การฟังเป็นเครื่องมือ ครูที่เคยเฝ้าเช็กงานตามใบกิจกรรม เริ่มสังเกตพฤติกรรมเล็ก ๆ ของเด็กแทน เช่น เด็กที่เคยนั่งไม่ติดโต๊ะ วันนี้นั่งฟังเรื่องเล่าได้นานขึ้น หรือเด็กที่ไม่เคยกล้าพูด วันนี้กล้าเล่าเรื่องสั้น ๆ ให้เพื่อนฟัง

การเปลี่ยนนี้ยังสะท้อนกลับไปถึงตัวครูเอง  ครูเริ่มยิ้มมากขึ้น รู้สึกว่าอาชีพของตนไม่ใช่การ “ทำตามคำสั่ง” แต่คือการได้เห็นการเติบโตที่แท้จริงของมนุษย์เล็ก ๆ ตรงหน้า และความสุขเล็ก ๆ นี้คือสิ่งที่เติมพลังให้ครูเดินต่อในวันที่ระบบยังไม่พร้อม

ในสายตาของศน.ปลา “ครูที่เปลี่ยน” ไม่ใช่ครูที่ทำกิจกรรมเก่งขึ้น แต่คือครูที่เริ่มใช้หัวใจและสัญชาตญาณมนุษย์ในการอยู่กับเด็ก ครูที่ยอมรับว่าเด็กไม่ต้องสมบูรณ์แบบ และครูเองก็ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกันทุกวัน “การยอมรับว่าเด็กไม่พร้อม ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือการบอกว่าเรามองเห็นเขาจริง ๆ และเราจะอยู่กับเขาในจังหวะของเขา”

นี่คือบทเรียนที่ศน.ปลาย้ำซ้ำ ๆ  ถ้าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในห้องเรียน เราต้องเริ่มจากครูที่เปลี่ยนวิธีมองเด็กก่อน และเมื่อครูเปลี่ยน เด็กก็จะเปลี่ยน ความสัมพันธ์ในห้องเรียนก็จะเปลี่ยน จากห้องเรียนที่เคยเป็น “บน–ล่าง” กลายเป็นห้องเรียนที่ทุกคน “เคียงข้าง” กันจริง ๆ

ศน.ปลาในบทบาทโค้ช : นิเทศที่ไม่ใช่การตรวจ แต่คือการอยู่ด้วยกัน

ภาพจำของคำว่า “ศึกษานิเทศก์” มักเชื่อมโยงกับการตรวจงาน: คนที่เดินถือแฟ้มหนา ๆ เข้าโรงเรียน เช็กเอกสาร เช็กตัวเลข แล้วออกไป แต่สำหรับศน.ปลา เธอกลับนิยามหน้าที่ของตัวเองใหม่ทั้งหมด “หน้าที่ของเราคือการเป็นโค้ชของครู เป็นเพื่อนคู่คิดของโรงเรียน เวลาพูดถึงคุณภาพ เรามองไปที่เด็กก่อนเอกสารเสมอ”

คำว่า “โค้ช” สำหรับเธอไม่ได้หมายถึงการชี้นิ้วสั่ง แต่คือการ “อยู่เคียงข้าง” ในวันที่ครูไม่มั่นใจหรือเหนื่อยเกินไป เธอไม่ถามว่า “ทำไมยังไม่ทำตามนโยบาย” แต่ถามว่า “ตอนนี้เจอปัญหาอะไร แล้วเราจะช่วยกันคิดได้อย่างไร” “เราไม่ได้ไปเพื่อบอกครูว่าผิดหรือถูก แต่ไปเพื่อช่วยคิดกับเขาว่า เด็กวันนี้ควรได้อะไร และเราจะทำให้เขาได้สิ่งนั้นยังไง”

การนิเทศในแบบของศน.ปลาจึงเต็มไปด้วยการฟังและการลองผิดลองถูกไปพร้อมกับครู เธอมักลงมือทำกิจกรรมกับเด็กจริง ๆ อยู่เคียงข้างครูมากกว่านั่งอยู่หลังโต๊ะประชุม ผลลัพธ์คือครูเริ่มรู้สึกว่า “ไม่ได้ถูกตรวจสอบ แต่ได้รับกำลังใจ”

ในบางครั้ง เธอยอมรับว่า การทำงานแบบนี้อาจไม่ได้สร้าง “หลักฐาน” ให้ระบบพอใจเท่ากับการเขียนรายงาน แต่สิ่งที่ได้กลับมามีค่ามากกว่า ครูที่ยิ้มออกเพราะเจอวิธีใหม่ เด็กที่หัวเราะเพราะได้เรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ และพ่อแม่ที่บอกว่า “ลูกกลับบ้านแล้วเล่าเอง” “สำหรับเรา คุณภาพการศึกษาไม่ได้อยู่ในแฟ้ม แต่สะท้อนอยู่ในแววตาของครูกับเด็ก ถ้าเขามีพลังขึ้นมาจริง ๆ นั่นแหละคือคุณภาพ”

นี่คือการนิเทศที่ไม่ใช่การตรวจสอบ แต่คือการทำให้ครูกับเด็กมั่นใจว่า พวกเขาไม่ได้เดินลำพัง

บทเรียนจากโคราช : การศึกษาไม่ใช่การเชื่อฟัง แต่คือการเป็นมนุษย์

เมื่อมองย้อนกลับไปที่เรื่องราวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเช้าที่เด็กได้วิ่งเล่นแทนการนั่งนิ่ง วงกลองที่ทำให้เด็กมีสมาธิ พ่อแม่ที่กลับมาเป็นทีมเดียวกับครู หรือครูที่กลายเป็นผู้เรียนรู้ไปพร้อมกับเด็ก ทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงกันด้วยความเชื่อเรียบง่ายของศน.ปลา  การศึกษาไม่ใช่การเชื่อฟัง แต่คือการเป็นมนุษย์ “เราไม่ได้อยากให้เด็กทุกคนเหมือนกัน เราอยากให้เขาได้เป็นตัวเอง และมั่นใจในสิ่งที่เขาเป็น”

คำพูดของเธอสะท้อนความหมายที่ใหญ่กว่าห้องเรียนในโคราช มันคือคำถามที่พ่อแม่ทุกคนต้องถามตัวเองว่า เราอยากให้ลูกโตมาเป็น “เด็กที่ทำตาม” หรือ “มนุษย์ที่เรียนรู้และเลือกทางเดินของตัวเอง”

สำหรับศน.ปลา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กคือพื้นที่เริ่มต้นของชีวิต ที่เด็กควรได้สัมผัสธรรมชาติ ได้ลองผิดลองถูก ได้เจอครูที่ไม่ใช่ผู้สั่ง แต่เป็นผู้ฟัง และได้เจอพ่อแม่ที่ไม่ใช่คนตำหนิ แต่เป็นเพื่อนร่วมทีมการเติบโต หากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เด็กก็จะก้าวสู่โลกที่ซับซ้อนด้วยหัวใจที่มั่นคงและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน

นี่คือบทเรียนจากโคราช ที่จริง ๆ แล้วอาจเป็นบทเรียนสำหรับทั้งประเทศ  ว่าการศึกษาที่เราต้องการไม่ใช่การสร้าง “เด็กดี” ที่เชื่อฟังทุกอย่าง แต่คือการสร้าง มนุษย์ ที่รู้จักตัวเอง เคารพผู้อื่น และกล้าที่จะเติบโตไปตามจังหวะชีวิตของตัวเอง

บทสนทนากับศน.ปลาอาจทำให้เราต้องนิยามคำว่า “การศึกษา” ใหม่อีกครั้ง  ไม่ใช่ภาพเด็กนั่งเรียงแถวหน้ากระดานดำ แต่คือภาพเด็กที่หัวเราะกลางลม วิ่งบนสนามดิน เคาะกลองตามจังหวะหัวใจ และเล่าเรื่องที่อยากเล่าด้วยความมั่นใจ

สิ่งเล็ก ๆ ที่เธอทำทุกวันในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก บอกเราว่าอนาคตไม่ได้สร้างขึ้นด้วยกฎระเบียบหรือเอกสารเพียงอย่างเดียว แต่มันถูกหล่อหลอมขึ้นจากความกล้าที่ครูจะเปลี่ยน ความร่วมมือของพ่อแม่ และพื้นที่เล็ก ๆ ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เป็นมนุษย์อย่างเต็มที่

กลองที่ดังขึ้นทุกเช้า ดินที่เปื้อนรองเท้า และต้นไม้ที่โอบอุ้มสนามเด็กเล่น  ทั้งหมดนี้คือคำประกาศเงียบ ๆ จากเมืองโคราช ว่า “อนาคตเริ่มตรงนี้”

และบางที คำถามที่สำคัญที่สุดที่พ่อแม่ ครู และสังคมควรถาม ไม่ใช่ว่า “เด็กเชื่อฟังหรือไม่” แต่คือ “เด็กได้เป็นตัวเองหรือยัง”


Writer

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Illustrator

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Related Posts