MODERN PARENTING 101 : เกราะที่เราสวมตั้งแต่วัยเด็ก: รู้จัก Defense Mechanism ที่ก่อตัวจากการเลี้ยงดู

พ่อแม่จำนวนมากมักรีบแปลความหมายพฤติกรรมของลูกว่าเป็น “นิสัย”
ลูกทำตัวน่ารัก หมายถึง เขาเป็นเด็กดี 

ลูกชอบเถียง หมายถึง เขาเป็นเด็กดื้อ

ลูกเก็บตัวเงียบ หมายถึง เขาเป็นเด็กไม่กล้าแสดงออก

แต่สิ่งที่เราเรียกว่า “นิสัย” นั้น อาจไม่ใช่นิสัยเลย แท้จริงแล้วมันคือ คำตอบ ที่เด็กสร้างขึ้นจากการเรียนรู้ซ้ำ ๆ ว่าแบบไหนทำให้เขาปลอดภัย แบบไหนทำให้เขาถูกปฏิเสธ และแบบไหนทำให้เขายังได้รับความรักจากพ่อแม่

เด็กที่ทำตัวน่ารักตลอดเวลา อาจไม่ได้เกิดมาเป็น “เด็กอัธยาศัยดีโดยธรรมชาติ” แต่คือเด็กที่เรียนรู้แล้วว่า ความอบอุ่นจะมาเมื่อเขาทำให้ทุกคนสบายใจ เด็กที่เถียงทุกครั้งเวลาโดนตำหนิ อาจไม่ใช่เพียงเด็กหัวแข็ง หากคือเด็กที่พยายามป้องกันตัวเองไม่ให้จมไปกับความรู้สึกด้อยค่าที่เคยถูกทำให้รู้สึกซ้ำ ๆ หรือแม้แต่เด็กที่เงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา ไม่ตอบโต้ อาจไม่ได้ขี้อายโดยกำเนิด แต่คือเด็กที่รู้ว่าการเงียบคือเกราะที่ปลอดภัยที่สุดในบ้านที่เสียงของเขาไม่เคยได้รับการรับฟัง

นักวิจัยด้านพัฒนาการเด็ก Lindblom และคณะ (2016) พบว่า บรรยากาศในครอบครัวคือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สุดต่อวิธีที่เด็กจะเรียนรู้การปกป้องตัวเอง เด็กจากบ้านที่อบอุ่น ไม่ใช่ไม่มีกลไกป้องกันตัว แต่พวกเขาจะเลือกกลไกที่อ่อนโยนกว่า เช่น การทำตัวน่ารัก ในขระที่เด็กจากบ้านที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งจะโน้มเอียงไปใช้กลไกการปฏิเสธ หลีกเลี่ยง หลบหนี หรือก้าวร้าว เพราะมันคือวิธีที่ทำให้เขาอยู่รอดได้

เมื่อเรามองลูก เราจึงไม่ได้เห็นเพียงว่า “เขาเป็นใคร” แต่เรากำลังเห็น “วิธีที่เขาเคยเอาตัวรอดในโลกใบนี้” และวิธีเหล่านั้นที่กำลังหยั่งรากในตัวลูก 

มาจากการเลี้ยงดูของเราเอง

นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเลี้ยงลูกไม่ใช่เพียงการสอนหรืออบรม แต่ยังคือการสร้าง “ภูมิอากาศทางอารมณ์” ที่ลูกจะหายใจเข้าออกทุกวัน ภูมิอากาศนี้เองจะเป็นตัวหล่อหลอมว่ากลไกปกป้องตัวเอง หรือ Defend Mechanisms ที่เขาสร้างขึ้น จะเป็นเพียงเกราะที่ยกขึ้นใส่ได้ และถอดวางได้เมื่อปลอดภัย หรือจะกลายเป็นกำแพงที่กักขังเขาอยู่ไนนั้นไปตลอดชีวิต

บ้านคือห้องทดลองอารมณ์แรกของเด็ก

ชีวิตของเด็กเล็ก ๆ เต็มไปด้วยการทดลองเล็ก ๆ ที่ผู้ใหญ่แทบไม่ทันสังเกต
เมื่อเขาร้องไห้แล้วมีคนเข้ามากอด เขาเรียนรู้ว่า การแสดงความเปราะบางอาจนำไปสู่การปลอบโยน เมื่อเขาร้องไห้แล้วถูกบอกว่า “อย่าร้องเลย ไม่เห็นมีอะไรต้องร้องไห้” เขาเรียนรู้ว่า การแสดงความรู้สึกอาจนำไปสู่การถูกปฏิเสธ ด้อยค่า และเมื่อเขาโกรธและปาข้าวของแล้วถูกตะคอกกลับ เขาเรียนรู้ว่า การโกรธเป็นสิ่งอันตราย ต้องเก็บซ่อน

บ้านจึงไม่ใช่เพียงสถานที่พักพิง แต่คือห้องทดลองทางอารมณ์ที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ ผลการทดลองซ้ำ ๆ ทุกวัน ค่อย ๆ บันทึกลงไปในตัวเด็กว่า เขาควรจะอยู่รอดในโลกนี้ด้วยวิธีใด

งานวิจัยด้านความสัมพันธ์ครอบครัวของ Lindblom และคณะ (2016) พบว่า คุณภาพของบรรยากาศในบ้านตั้งแต่ช่วงวัยทารก สามารถทำนายได้ว่าเด็กจะใช้กลไกทางอารมณ์แบบใดในวัยต่อมา เด็กจากบ้านที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและการฟัง จะเลือกใช้วิธีจัดการอารมณ์ที่เปิดเผยและอ่อนโยนกว่า ขณะที่เด็กจากบ้านที่มีความขัดแย้งสูง มักหันไปพึ่งพาการปฏิเสธ การกดทับ หรือการหลีกเลี่ยง เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่เขาเรียนรู้ว่าตัวเขาจะปลอดภัย

เรามักมองว่าเด็กยังเล็กเกินไปที่จะ “จดจำ” แต่ความจริงคือสิ่งที่พวกเขาจดจำไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ หากคือ “มวลอารมณ์ “ ว่าที่นี่อบอุ่นหรืออันตราย เสียงของเขาได้รับการรับฟังหรือถูกทำให้หายไป และสิ่งเหล่านี้เองจะหล่อหลอมว่าเขาจะสร้างกลไกป้องกันตนเองแบบไหนในอนาคต

เมื่อพ่อแม่เข้าใจตรงนี้ เราจะเริ่มมองพฤติกรรมลูกด้วยสายตาที่ต่างออกไป ไม่ใช่เพียง “เขาดื้อ” หรือ “เขาน่ารัก” แต่ “เขากำลังทดลองหาวิธีปกป้องตัวเองจากโลกที่ใหญ่เกินกว่าจะควบคุม” และรูปแบบการตอบสนองของเรานี่เอง ที่คอยเขียนผลลัพธ์ของการทดลองซ้ำ ๆ ลงไปในใจลูกทุกวัน

กลไกปกป้องตัวเอง คืออะไร

เมื่อได้ยินคำว่า กลไกป้องปันตัวเอง หรือ defense mechanism หลายคนอาจคิดถึงศัพท์ยาก ๆ ในห้องเรียนจิตวิทยา แต่สำหรับพ่อแม่ สิ่งนี้คือสิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวัน ในรอยยิ้มที่ลูกแสร้งทำ ในการโต้เถียงที่ดูร้อนแรงเกินเหตุ หรือในความเงียบที่ยาวนานจนเราเองก็ใจหาย

Defense mechanism คือกลไกที่จิตใจของบุคคลนั้นสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองจากความรู้สึกที่เจ็บปวดเกินไปที่จะเผชิญตรง ๆ มันคือวิธีการที่เด็กบอกกับโลกว่า “ฉันยังไม่พร้อมเผชิญสิ่งที่ดูเหมือนจะเจ็บปวดมากกว่านี้”

ในทางวิชาการ มันคือการบิด เบี่ยง หรือแปรเปลี่ยนความจริงบางส่วนเพื่อให้ใจเรายังรับไหว แต่ในทางชีวิตประจำวัน มันคือสิ่งที่ทำให้เด็ก “เอาตัวรอดทางอารมณ์” ได้ในบ้านที่เขาไม่มีทางเลือกอื่น ตัวอย่างเช่น เด็กที่ทำตัวน่ารักกับทุกคน อาจกำลังใช้กลไก การเอาใจ เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ถูกทอดทิ้ง เด็กที่เถียงทุกครั้งเวลาโดนตำหนิ อาจกำลังใช้ การโต้กลับ เป็นเกราะป้องกันไม่ให้ความรู้สึกด้อยค่ากัดกินตัวเอง เด็กที่เลือกเงียบ ไม่พูดอะไรเลย อาจกำลังใช้ การถอนตัว เพราะเขารู้สึกว่าการพูดไม่มีค่าและไม่มีใครฟัง และการเลือกที่จะไม่พูดอะไรทำให้ตัวเขาไม่ต้องรับรู้ว่า เสียงของเขาไม่มีความหมาย

Koch (1982) นักจิตวิทยา เคยพบว่า กลไกปกป้องตัวเองของพ่อแม่เองก็มีผลต่อการก่อตัวของกลไกการปกป้องตัวเองของลูกโดยตรง หากพ่อแม่ชอบโยนความผิดหรือปฏิเสธความจริง ลูกมักจะซึมซับกลยุทธ์เดียวกันมาใช้โดยไม่รู้ตัว และงานวิจัยจาก Nevarez และคณะ (2018) ยังยืนยันว่า กลไกปกป้องตัวเองที่ถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่วัยเด็ก มีอิทธิพลยาวนานต่อสุขภาพจิตและความสัมพันธ์ของเราแม้ในวัยผู้ใหญ่

การเข้าใจกลไกทางจิตวิทยาเหล่านี้จึงไม่ใช่เพื่อ “แก้” หรือบอกให้ลูกเลิกใช้มัน แต่เพื่อช่วยให้เรามองเห็นว่าเบื้องหลังพฤติกรรมทุกอย่าง มีความพยายามจะปกป้องความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ

สิ่งที่ทำให้กลไกปกป้องตัวเองซับซ้อนและน่าสนใจคือ มันไม่ใช่เพียงการ “โกหกตัวเอง” อย่างที่บางคนเข้าใจ หากคือการ ปรับสภาพความจริง ให้ใจเรายังอยู่ได้ เด็กที่ยิ้มทั้งที่กำลังเจ็บ ไม่ได้หลอกใคร แต่เขากำลังบอกโลกว่า “ถ้าฉันยังยิ้ม ฉันจะปลอดภัย” เด็กที่โกรธและเถียงทันทีที่ถูกตำหนิ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รักพ่อแม่ แต่เพราะการโต้กลับนั้นช่วยรักษาเศษเสี้ยวศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่ เด็กที่เก็บเงียบ ไม่ตอบโต้อะไรเลย ไม่ได้เป็นเด็กที่ไม่รู้สึกรู้สา แต่อาจจะเป็นเด็กที่รู้สึกมากเกินไปจนการพูดออกมาจะยิ่งทำให้บาดแผลใหญ่กว่าเดิม

Defense mechanisms จึงไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่คือความพยายามอันแยบยลของมนุษย์ทุกคนที่จะรักษาตัวเองเอาไว้ หากพ่อแม่ที่เข้าใจตรงนี้ จะเริ่มมองลูกไม่ใช่ในฐานะ “เด็กดื้อ เด็กเงียบ เด็กเอาใจ” แต่ในฐานะมนุษย์ที่กำลังหาวิธีเอาตัวรอดด้วยเครื่องมือเล็ก ๆ ที่เขามี

และความจริงที่ยิ่งทำให้เรื่องนี้น่าสนใจก็คือ เด็กไม่ได้สร้าง defense mechanisms ขึ้นมาจากศูนย์ พวกเขามักเรียนรู้วิธีใช้มันจากที่บ้าน

จากพ่อแม่เอง

พ่อแม่ก็มีกลไกปกป้องตัวเองเหมือนกัน

หนึ่งในสิ่งที่พ่อแม่หลายคนไม่อยากยอมรับก็คือ เราเองก็เป็นมนุษย์ที่ยัง “ปกป้องตัวเอง” อยู่ตลอดเวลา แม้ในวัยผู้ใหญ่ เราก็ยังหอบเอากลไกปกป้องตัวเองที่ก่อตัวตั้งแต่วัยเด็กติดตัวมาด้วย เพียงแต่เราอาจชินจนไม่รู้ตัว

เวลาที่ลูกถามคำถามยาก ๆ เช่น “แม่เคยผิดพลาดไหม?” หรือ “พ่อเคยเสียใจบ้างหรือเปล่า?” เรามักเผลอปฏิเสธ หรือรีบเปลี่ยนเรื่อง ทั้งที่จริง ๆ เราเองก็เจ็บและพลาดได้ แต่เพราะกลัวภาพลักษณ์ของ “ผู้ใหญ่ที่มั่นคง” จะสั่นคลอน เราจึงใช้ การปฏิเสธ (denial) เป็นเกราะเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง

เวลาที่เรารู้สึกเหนื่อยเกินไป แต่กลับดุลูกเสียงดังว่า “ทำไมไม่ตั้งใจเรียน” เราอาจไม่ได้โกรธเขาจริง ๆ หากแต่กำลัง โยนความรู้สึกไร้พลังของเรา ไปที่ลูก (projection) เพราะมันง่ายกว่าที่จะเผชิญหน้ากับความจริงว่าเรากำลังจัดการชีวิตตัวเองไม่ไหว

บางครั้งเราหายไปในงานทั้งวันทั้งคืน แล้วบอกกับลูกว่า “ก็ทำงานหนักเพื่ออนาคตของลูก” ทั้งที่ความจริงคือเรากำลังใช้ การหาเหตุผลเข้าข้าง (rationalization) เพื่อกลบความรู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา การพูดแบบนี้ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ได้เยียวยาช่องว่างที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างเรากับลูก

แม้แต่พ่อแม่ที่ชอบทำให้เรื่องซีเรียสกลายเป็นเรื่องตลก เวลาเจอลูกถามเรื่องตาย หรือเรื่องการหย่าร้าง อาจกำลังใช้อารมณ์ขันเป็นเกราะเพื่อซ่อนความกลัวของตัวเอง เราหัวเราะทั้งที่ใจหดเล็กลง เพราะมันง่ายกว่าการยอมรับว่าความจริงนั้นเจ็บเกินทน

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พ่อแม่เป็นคนไม่ดี แต่มันสะท้อนว่าพ่อแม่เองก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีบาดแผล มีความกลัว และมีวิธีเอาตัวรอดที่เรียนรู้มาตั้งแต่เล็กเช่นเดียวกับลูก

งานวิจัยจาก Yorulmaz (2022) แสดงให้เห็นว่า “รูปแบบการเลี้ยงดูที่ผู้ใหญ่จำได้จากวัยเด็ก” ส่งผลต่อกลไกปกป้องตัวเองที่พวกเขาใช้เมื่อโตขึ้นอย่างชัดเจน กล่าวคือ ถ้าเราเคยโตมากับบ้านที่เต็มไปด้วยการปฏิเสธ เรามักจะสวมเกราะแบบเดียวกันเมื่อโตขึ้น และไม่รู้ตัวว่าส่งต่อมันให้ลูก

เมื่อเข้าใจตรงนี้ พ่อแม่จึงไม่ควรมองกลไกปกป้องตัวเองของลูกแยกขาดจากตัวเอง แต่ควรเห็นว่า “นี่คือกระจก” ที่สะท้อนวิธีที่เราเองก็ใช้ในการเอาตัวรอด และหากเราอยากให้ลูกได้เรียนรู้วิธีที่อ่อนโยนกว่านี้ เราเองต้องเริ่มฝึกวางเกราะที่หนักเกินไปของตัวเองลงก่อน

ประเภทของ Defense Mechanism ที่พ่อแม่มักเห็น

เมื่อมนุษย์เผชิญความกลัว สมองส่วนสัญชาตญานจะลั่นสัญญาณเตือนภัย เรามักรู้จักกันดีว่า “Fight or Flight”  “สู้หรือหนี” แต่ในความจริงของชีวิตประจำวัน ยังมีอีกสองกลไกที่มักถูกมองข้ามคือ “Freeze” (นิ่งชา) และ “Fawn” (ยอมทุกอย่างเพื่ออยู่รอด)

ในเด็ก พฤติกรรมเหล่านี้อาจแปลออกมาเป็น “งอแง ดื้อ เงียบ หรือดีเกินไป” ส่วนในผู้ใหญ่ มันคือ “การกลบเกลื่อน ยอมจำนน หรือระเบิดใส่คนที่เรารัก”

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จิตใจสร้างขึ้นเพื่อ ปกป้องตัวเองจากความรู้สึกที่เจ็บเกินจะรับรู้โดยตรง  และนั่นคือจุดกำเนิดของสิ่งที่จิตวิเคราะห์เรียกว่ากลไกปกป้องตัวเอง

Denial : การปฏิเสธ

บ่อยครั้งที่ลูกบอกว่า “ไม่เจ็บหรอก” ทั้งที่เพิ่งถูกเพื่อนล้อแรง ๆ หรือมีน้ำตาคลออยู่เต็มขอบตา นั่นไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้สึก แต่เพราะการยอมรับความเจ็บปวดตรง ๆ มันมากเกินไป การปฏิเสธคือวิธีบอกตัวเองว่า “ฉันยังปลอดภัย” พ่อแม่เองก็ใช้วิธีนี้เหมือนกัน เวลาที่เหนื่อยล้าแต่ยังบอกกับทุกคนว่า “แม่ไม่เหนื่อยเลย” ทั้งที่ร่างกายแทบจะยืนไม่ไหว

Projection : การโยนความรู้สึกไปที่คนอื่น

เด็กที่รู้สึกอิจฉาน้อง มักพูดว่า “น้องไม่รักแม่” ทั้งที่ความจริงคือเขาเองต่างหากที่กลัวจะถูกแม่รักน้อยลง เช่นเดียวกับพ่อแม่ที่บางครั้งเมื่อรู้สึกเครียดหรือควบคุมอะไรไม่ได้ เราอาจหันไปตำหนิลูกว่า “ทำไมไม่ตั้งใจเรียน” ทั้งที่จริง ๆ ความรู้สึกไร้พลังนั้นอยู่ในตัวเราเอง

Repression : การกดเก็บ

ลูกบางคนไม่พูดถึงเรื่องที่ทำให้เสียใจเลย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในความเงียบนั้นคือความเจ็บที่ถูกกดไว้ พ่อแม่เองก็มักทำเช่นเดียวกัน เวลาที่ในบ้านมีความขัดแย้ง เราอาจเลือกไม่พูดถึง ไม่เปิดประเด็น ทำเหมือนทุกอย่างสงบสุข ทั้งที่บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความอึดอัด

Displacement : การย้ายอารมณ์

เมื่อโกรธหรืออึดอัดกับใครสักคน แต่ไม่อาจแสดงออกตรง ๆ อารมณ์นั้นมักถูกส่งต่อไปหาคนที่อ่อนแอกว่า เด็กที่ถูกครูว่าอาจกลับบ้านมาตะคอกน้อง พ่อที่โดนเจ้านายตำหนิอาจกลับมาดุลูกเสียงดังเกินกว่าเหตุ Defense แบบนี้ช่วยให้เราหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับต้นตอความโกรธ แต่ก็มักทำร้ายคนใกล้ตัวที่สุด

Rationalization : การหาเหตุผลเข้าข้าง

เมื่อต้องเจอกับความผิดหวัง เด็กที่สอบตกอาจบอกว่า “หนูไม่ได้อยากเรียนวิชานี้อยู่แล้ว” เพื่อรักษาศักดิ์ศรี พ่อแม่เองก็เช่นกัน เวลาที่ไม่ค่อยได้อยู่กับลูก เรามักบอกว่า “ที่ทำงานหนักก็เพื่ออนาคตของลูก” ทั้งที่ความจริงคือความรู้สึกผิดที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา

Reaction Formation : ทำตรงข้ามกับที่รู้สึก

เด็กที่กลัวมาก อาจหัวเราะเยาะเพื่อนที่ร้องไห้ เพื่อซ่อนความกลัวของตัวเอง พ่อแม่ที่โกรธมาก อาจพูดเสียงเรียบว่า “พ่อไม่โกรธหรอก” เพื่อปิดบังความรู้สึกแท้จริง การทำตรงข้ามนี้ช่วยไม่ให้เราถูกมองเปราะบาง แต่ก็ทำให้ความจริงในใจถูกบิดเบือนจนยากจะเข้าใจ

Humor : การใช้ตลกกลบเกลื่อน

เสียงหัวเราะบางครั้งก็ไม่ใช่เพราะตลก แต่เพราะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ความเจ็บปวดกัดกิน ลูกที่ถูกล้อเรื่องรูปร่างอาจหัวเราะตาม ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความอับอาย พ่อแม่ก็ใช้เกราะเดียวกัน เวลาต้องพูดถึงเรื่องยาก เช่น การหย่าร้างหรือการสูญเสีย เราอาจหยิบมุกตลกขึ้นมาใช้ เพื่อให้ใจทนต่อความจริงได้อีกหน่อย

Withdrawal : การถอยหนี

บางครั้งการปกป้องตัวเองมาในรูปแบบของการถอยออกไป เด็กอาจปิดประตูอยู่คนเดียวหลังทะเลาะกับเพื่อน พ่อแม่เองอาจเลือกออกไปนั่งเงียบในรถทุกครั้งที่บรรยากาศในบ้านตึงเครียด มันทำให้เรารอดพ้นจากการถูกกระทบซ้ำ แต่ก็สร้างกำแพงของความโดดเดี่ยวขึ้นมาเช่นกัน

People-pleasing :  ทำตัวน่ารักไว้ก่อน

การทำให้ทุกคนพอใจเพื่อความปลอดภัยคืออีกหนึ่งเกราะที่พบได้บ่อย เด็กที่รีบยิ้ม รีบขอโทษเสมอ แม้ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย พ่อแม่ที่ยอมตามใจทุกคนแม้จะเหนื่อยเกินไป ต่างก็ใช้วิธีเดียวกัน เกราะนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกปฏิเสธ แต่ก็ทำให้เสียงแท้จริงของตัวเองหายไปเรื่อย ๆ

บ้านแบบไหนที่ทำให้ลูกไม่ต้องใส่เกราะตลอดเวลา

กลไกปกป้องตัวเอง ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย มันช่วยให้เด็ก (และตัวเรา) อยู่รอดในวันที่โลกโหดร้ายเกินไป แต่คำถามสำคัญก็คือ เราจะทำอย่างไรให้ลูกไม่จำเป็นต้องสวมเกราะเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา

บ้านไม่จำเป็นต้องเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบ ปราศจากความผิดพลาดหรือความขัดแย้ง เพราะนั่นคือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง สิ่งที่เด็กต้องการไม่ใช่ “บ้านที่ไม่มีความผิดพลาด” แต่คือบ้านที่เขารู้ว่าตัวเองยังคง ปลอดภัยแม้ในวันที่ผิดพลาด

เด็กจะไม่รีบปฏิเสธความเจ็บปวด ถ้าเขารู้ว่าในบ้านนี้ ความเจ็บปวดสามารถถูกฟังได้
เขาจะไม่ต้องโยนความรู้สึกไปที่คนอื่น ถ้าเขาได้รับการยืนยันว่า ความรู้สึกที่อยู่ในใจนั้นมีค่า
เขาจะไม่ต้องเก็บทุกอย่างไว้ใต้พรม ถ้าเขาเห็นพ่อแม่กล้ายอมรับความจริง แม้มันจะไม่สวยงาม
เขาจะไม่ต้องใช้เสียงตะโกนเป็นเกราะป้องกัน ถ้ารู้ว่ามีที่ที่สามารถพูดออกมาโดยไม่ถูกตัดสิน

บ้านที่ทำให้ลูกไม่ต้องใส่เกราะป้องกันตนเอง คือบ้านที่:

  • อารมณ์ถูกยอมรับมากกว่าตัดสิน : การร้องไห้ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นภาษาของความเจ็บปวด การโกรธไม่ใช่ความดื้อ แต่เป็นสัญญาณว่ามีบางอย่างกำลังถูกละเลย
  • ความผิดพลาดถูกมองเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เครื่องหมายล้มเหลว : เมื่อพ่อแม่กล้าพูดว่า “แม่เองก็เคยพลาด” เด็กจะได้เรียนรู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องสร้างเกราะสมบูรณ์แบบเพื่อเอาตัวรอด
  • การสื่อสารเป็นสะพาน ไม่ใช่อาวุธ :บ้านที่เสียงถูกใช้เพื่ออธิบาย ไม่ใช่เพื่อตัดสิน จะทำให้ลูกเชื่อว่าการพูดตรง ๆ คือสิ่งที่ปลอดภัย
  • พ่อแม่ยอมรับเกราะของตัวเอง : เพราะเด็กเรียนรู้จากสิ่งที่พ่อแม่ ทำ มากกว่าสิ่งที่พ่อแม่ สอน การที่พ่อแม่บอกว่า “วันนี้แม่เหนื่อย แม่อยากพักก่อน” ดีกว่าการปฏิเสธว่าไม่เหนื่อยเลย

นักจิตวิทยาพัฒนาการอย่าง Lindblom และคณะ (2016) พบว่า บรรยากาศครอบครัวที่อบอุ่นและปลอดภัย ทำให้เด็กเลือกใช้กลไกปกป้องตัวเอง ที่อ่อนโยนกว่า เช่น การพูดออกมา หรือการหาที่พึ่งทางอารมณ์ มากกว่าการกดเก็บหรือปฏิเสธ และนี่เองที่ทำให้ “สภาพอากาศทางอารมณ์” ของบ้านสำคัญไม่ต่างจากอากาศที่เราใช้หายใจ

สุดท้ายแล้ว เราไม่สามารถป้องกันลูกจากการมีกลไกปกป้องตัวเองได้ เพราะมนุษย์ทุกคนต้องใช้มัน แต่สิ่งที่เราทำได้คือทำให้บ้านเป็นที่ที่ลูก ไม่จำเป็นต้องพึ่งพามันตลอดเวลา เกราะจึงไม่ต้องกลายเป็นกำแพงที่แยกเขาออกจากโลก หากเป็นเพียงเสื้อคลุมที่เขาสามารถถอดวางได้เมื่อกลับถึงบ้าน

บ้านแบบนั้น ไม่ได้หมายถึงบ้านที่ไม่มีความผิดพลาด แต่คือบ้านที่บอกกับลูกได้ว่า “ไม่ว่าลูกจะรู้สึกอย่างไร ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ที่นี่คือที่ที่ปลอดภัย และลูกไม่จำเป็นต้องใช้เกราะกำบัง”

บางทีคำถามที่พ่อแม่ควรถามตัวเอง ไม่ใช่แค่ว่า “ลูกเป็นเด็กแบบไหน” แต่คือ “ลูกกำลังปกป้องตัวเองจากอะไร” เพราะทุกพฤติกรรมที่เราเห็น อาจไม่ใช่ “นิสัยเดิมแท้” ของเขาเสมอไป แต่มันคือเกราะที่จิตใจเล็ก ๆ กำลังสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่บ้านและโลกภายนอกมอบให้

และในขณะเดียวกัน พ่อแม่เองก็กำลังปกป้องตัวเองด้วยวิธีที่ไม่ต่างกัน เราเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ กดเก็บ หรือโยนความรู้สึกมาตั้งแต่ยังเด็ก และวันนี้เราก็อาจกำลังเผลอสวมเกราะเหล่านั้นอยู่ต่อหน้าลูก โดยไม่ทันรู้ว่าเขากำลังจดจำวิธีการเอาตัวรอดแบบเดียวกันนี้

ความจริงจึงไม่ใช่ว่าเราจะทำอย่างไรให้ลูก ไม่มีกลไกปกป้องตัวเอง แต่คือการทำให้บ้านเป็นพื้นที่ที่ลูกไม่จำเป็นต้องใช้มันหนักเกินไป เป็นที่ที่ลูกสามารถถอดวางเกราะออกได้ และเรียนรู้ว่า ความเปราะบางไม่ใช่จุดอ่อน หากคือสัญญาณของความเป็นมนุษย์ที่ควรถูกฟัง

คำถามสำคัญจึงกลับมาที่เรา ในฐานะพ่อแม่ว่า วันนี้บ้านของเรามอบอะไรให้ลูก? เป็นสนามที่บังคับให้เขาสวมเกราะตลอดเวลา หรือเป็นที่ที่เขารู้ว่า ต่อให้ถอดเกราะออก เขาก็ยังปลอดภัย

บางที คำตอบนี้เองที่จะเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดของการเป็นพ่อแม่

อ้างอิง

  • Lindblom, J., Heikkinen, J., & Korkiakangas, T. (2016). Family environment and defense mechanisms in children: Longitudinal associations. Child Psychiatry and Human Development.
  • Koch, R. (1982). Parents’ defense mechanisms and their effects on child adjustment. Journal of Child Psychology.
  • Nevarez, N., et al. (2018). Childhood origins of adult defense mechanisms: Parenting, attachment, and psychological outcomes. Development and Psychopathology.
  • Yorulmaz, O. (2022). Perceived parenting styles and defense mechanisms in adulthood. Current Psychology.
  • Perry, J. C., & Bond, M. (2012). Change in defense mechanisms and psychological health. American Journal of Psychiatry. 


Writer

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts