คุณไม่ใช่พ่อแม่ของคุณในอดีตและนั่นแปลว่าคุณไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบในอดีตอีกต่อไป : Modern Parenting 101 บทเรียนที่ 1

เราไม่ได้เริ่มต้นที่ศูนย์ เราเริ่มจากประสบการณ์ที่ยังไม่ถูกรักษา

ไม่มีใครเริ่มต้นการเป็นพ่อแม่แบบว่างเปล่า เราทุกคนแบกบางอย่างมาจากบ้านหลังเก่า อาจเป็นคำพูดเฉือนใจที่จำได้จนวันนี้ อาจเป็นความนิ่งเฉยที่ทำให้เราต้องตีความเองตั้งแต่ห้าขวบ หรืออาจเป็นบาดแผลที่ไม่มีใครเคยตั้งชื่อให้มันเลย แล้วเราก็เติบโตขึ้นโดยไม่รู้ว่า “ความปกติ” แบบที่เราเจอในวัยเด็กนั้น จริง ๆ แล้วมันคืออะไร

เราไม่ได้ตื่นขึ้นมาแล้วเป็นพ่อแม่ที่ไร้บริบท ทุกคนมีอดีต และอดีตของหลายคนคือชุดประสบการณ์ที่ยังไม่ถูกแปลความ ยังไม่เคยถูกตั้งคำถาม และไม่เคยได้รับโอกาสคลี่คลาย

เราอาจจำได้ว่าเคยโดนตีเพราะทำกระเป๋าตังค์หาย เคยร้องไห้แล้วไม่มีใครสนใจ เคยตอบคำถามผิดในห้องเรียนแล้วโดนสายตาผู้ใหญ่ตัดสินว่า “ไม่เอาไหน” สิ่งเหล่านี้เราเรียกมันว่า “ความหลัง” ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันเป็น ความรู้สึกที่ยังค้างอยู่ในปัจจุบัน

ในวันที่กลายเป็นพ่อแม่ เราก็ทำในสิ่งที่มนุษย์ทุกคนทำ เอาประสบการณ์ที่มี มาต่อเติมอนาคตที่อยากให้ลูกได้รับ แต่มนุษย์ที่ไม่เคยทบทวนอดีต มักเผลอใช้มันเป็นแบบแปลนโดยไม่รู้ตัว

และเมื่อเรามีลูก เด็กคนหนึ่งที่ตัวเล็กและบอบบางกว่าทุกคนที่เราเคยปกป้อง เขากลับทำให้บางอย่างในเราสั่นคลอน ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยทำอะไรเลย

เราจะเห็นอดีตตัวเองชัดที่สุดในวันที่ลูกทำสิ่งเดียวกับที่เราเคยโดนดุ แล้วหัวใจเรากลับเต้นแรงแบบไม่มีเหตุผล หรือบางครั้งที่เราหงุดหงิดใส่ลูกเพราะเขาร้องไห้ไม่หยุด ทั้งที่จริง ๆ แล้ว มันไม่ใช่เสียงของเขาหรอกที่รบกวนเรา…แต่มันคือเสียงร้องของเราตอนเด็กที่ไม่เคยมีใครฟังเลยต่างหาก

เราไม่ได้ตั้งใจจะกลายเป็นพ่อแม่แบบที่เคยกลัว

แต่ในวันที่เราเหนื่อย เสียงของอดีตก็มักจะดังขึ้นโดยไม่ต้องขออนุญาต

ความรักที่ไม่เคยถูกพูดถึง มักกลายเป็นการส่งต่อความกลัว

“รักลูกมากนะ” ฟังดูเป็นประโยคธรรมดา แต่หลายคนอาจพูดไม่ออก เพราะในวัยเด็ก เราไม่เคยได้ยินมันจากพ่อแม่ของเราเลย เราอาจเรียนรู้ว่าความรักคือการห้ามเรียกร้อง การตั้งความหวังไว้สูง หรือการสอนให้อดทนแบบไม่มีพื้นที่ให้รู้สึก พอเราเป็นคนที่จะพูดจริง ๆ มันกลับเหมือนมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ตรงคอ เหมือนความรู้สึกดี ๆ ที่อยากส่งไป แต่มันดันต้องผ่านด่านของอดีตของเราเสียก่อน เพราะความรักในรุ่นก่อนหน้าคือความรักที่ผ่านการทำงานหนัก ผ่านการสั่งให้ลูกอดทน เพื่อจะเข้มแข็งในโลกที่โหดร้าย มันคือความรักที่แฝงอยู่ในการสั่งห้าม ดุ ตักเตือน และควบคุม เพื่อให้ “เราได้ดี”

และเราโตมากับความรักที่แปลกประหลาด คือรู้ว่ามี แต่ไม่เคยแน่ใจว่าเราสัมผัสมันได้เต็มที่ไหม และเมื่อเรามีลูกเอง เราจึงพยายามจะรักเขาให้มากที่สุด พยายามจะให้เขาได้ทุกอย่างที่ดีที่สุด โดยที่เราไม่รู้เลยว่าความรักของเรากำลังมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่  

ด้านกลับของความกลัวแบบเดียวกับที่เราเคยถูกหล่อเลี้ยงมา

กลัวว่าถ้าเราไม่เข้มงวด เขาจะเสียเปรียบ
กลัวว่าถ้าเราไม่วางแผน เขาจะล้มเหลว
กลัวว่าถ้าเราไม่รีบเตรียมทุกอย่างให้เขา เขาจะไม่มีวัน “ดีพอ”
กลัวว่าเขาจะเจอความเจ็บแบบที่เราเคยเจอ
และกลัวที่สุดว่าเขาจะโกรธเรา ถ้าเราทำไม่ดีพอ

มันง่ายเหลือเกินที่จะหยิบเอารูปแบบนั้นกลับมาใช้อีกครั้งภายใต้หีบห่อความกลัวที่ซ่อนไว้หลังคำว่า “สิ่งที่ดีที่สุด” แล้วส่งต่อให้ลูก โดยไม่ทันถามว่า…

สิ่งที่ดีที่สุดนั้น สำหรับใคร? 

และลูกของเรา ต้องใช้ชีวิตภายใต้ความคาดหวังของใครกันแน่?

เด็กไม่ใช่พื้นที่ให้เราแก้แค้นอดีตของตัวเอง

พ่อแม่ทุกคนมีร่องรอยในใจ บางแผลเก่าอาจเงียบจนเรานึกว่ามันหายแล้ว แต่จริง ๆ มันแค่รอจังหวะจะพูด บางคนเคยเป็นเด็กที่ขออะไรไม่ได้เลย โตขึ้นมาก็เลยบอกตัวเองว่า “ลูกอยากได้อะไรก็ต้องให้” บางคนเคยไม่มีโอกาสเลือก ก็เลยเปิดทุกทางให้ลูกเดิน โดยลืมไปว่าบางที ลูกอาจไม่ได้อยากไปไหนเลย แต่อยากแค่นั่งอยู่ตรงนี้เฉย ๆ กับเรา

เราทุ่มทุกอย่างให้ลูก แต่บางครั้ง สิ่งที่เราให้กับเขามันเต็มไปด้วยเสียงของเรา ไม่ใช่เสียงของเขา เราอยากให้เขาเก่ง เพราะเราเคยถูกมองว่าไม่เก่ง เราอยากให้เขาไม่กลัวใคร เพราะเราเคยถูกกลืนหายไปในห้องเรียน เราอยากให้เขาได้เรียนพิเศษ ดนตรี กีฬา ภาษา เพราะเราเคยไม่มี และมันยังคาอยู่ในใจเราว่า ถ้าเราได้สิ่งนี้ในตอนนั้น ชีวิตคงดีกว่านี้ 

แต่ลูกไม่ได้เกิดมาเพื่อแก้ไขอดีตของเรา 

เขาไม่ใช่บทเรียนที่เรากลับไปเขียนใหม่ได้

เราบอกว่าเราให้เขาทุกอย่าง แต่บางทีสิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุดคือโอกาสได้เติบโตโดยไม่มีอะไรถูกวางไว้ให้ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางเลือก ความหวัง หรือแม้แต่ภาพของความสำเร็จ เราบอกว่าเราฟังเขา แต่ในใจเรามีคำตอบอยู่แล้ว เราบอกว่าเราสนับสนุน แต่เรายังมี “ภาพในหัว” ที่ถ้าเขาไม่เป็นแบบนั้น เราจะเริ่มไม่แน่ใจว่าเขากำลังจะไปทางที่ถูกหรือเปล่า

ความรักที่แบกความคาดหวังไว้มากเกินไปจะกลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง แม้จะถูกหีบห่อด้วยคำว่า “หวังดี” 

ลูกไม่ได้เกิดมาเพื่อช่วยเราชนะอดีต ไม่ได้เป็น “โอกาสครั้งที่สอง” ที่เราจะทำให้สำเร็จในสิ่งที่เคยพลาด ลูกไม่ควรต้องรับบทเป็นคนเยียวยาบาดแผลของพ่อแม่ และเราก็ไม่ควรเอาความรู้สึกผิดหรือความคาดหวังต่อตัวเองว่าควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้มาตีกรอบการเติบโตของเขา

เพราะการเติบโตที่แท้จริง ไม่ใช่การที่ลูกได้สิ่งที่เราขาด แต่เป็นการที่เขาได้เรียนรู้ว่าเขาอยากเป็นใครโดยมีพ่อแม่ที่พร้อมฟัง และไม่ทำให้ความรู้สึกตัวเองกลายเป็นภาระของใครอีก

บางครั้ง “การไม่เหมือนพ่อแม่เรา” ก็ไม่พอ

มีพ่อแม่จำนวนมากตั้งใจจะไม่ทำในสิ่งที่พ่อแม่ตัวเองเคยทำกับเขาในอดีต แต่พอถึงเวลาจริง เราแค่เปลี่ยนรูปแบบการควบคุม เป็นเวอร์ชันที่ดูอ่อนโยนกว่า ฉลาดกว่า และปรับตัวกับยุคสมัยมากขึ้น แต่ไม่ได้ใกล้ชิดกับใจลูกจริง ๆ ขึ้นเลย

บางครั้ง “การไม่เหมือนพ่อแม่เรา” ก็ไม่พอ เพราะความเจ็บปวดบางอย่างมันลึกเกินกว่าจะหายไปได้ด้วยคำว่า “ไม่ทำซ้ำ” พ่อแม่ยุคเราโตมากับความเงียบ ความอึดอัด และความรักที่พูดไม่เป็น เราโตมาในบ้านที่ไม่ได้ผิดอะไรเป็นพิเศษ แค่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครบอกว่าเรารู้สึกได้ ไม่มีใครถามว่าเราต้องการอะไร ไม่มีใครสนใจว่าเรากลัวตอนโดนทิ้งไว้คนเดียว หรือรู้สึกผิดอะไรบ้างเวลาทำอะไรผิด เราเรียนรู้จะทน เรียนรู้จะเข้มแข็ง และเมื่อโตมาก็เรียนรู้จะให้อภัยทุกอย่างที่ไม่มีใครเคยขอโทษ

พอถึงวันที่เรามีลูก เราบอกตัวเองว่าจะไม่ทำแบบเดิม จะไม่ตะคอก จะไม่ตี จะไม่สั่งห้าม จะไม่ทำร้ายด้วยความเมินเฉย เราตั้งใจจะฟัง จะเข้าใจ จะเป็นแม่แบบที่เราควรจะได้เจอในวัยเด็ก แต่สิ่งที่เราไม่รู้คือ ความกลัวในใจเรานั้นไม่ได้หายไปไหน มันแค่เปลี่ยนชุด เปลี่ยนผ้าพันคอ และเปลี่ยนหน้าตานิดหน่อย 

เราไม่สั่งลูกตรง ๆ แต่เราหวังว่าเขาจะเข้าใจ “เหตุผล” เรา
เราไม่ตีลูก แต่เรายังควบคุมเขาผ่านคำว่า “อนาคตที่ดี”
เราไม่ดุเสียงดัง แต่เราก็รีบหาคำอธิบายใส่ปากเขาก่อนเขาจะพูดจบ

บางที เราไม่ได้เลิกส่งต่อความเจ็บปวด
เราแค่ห่อมันด้วยภาษาที่นุ่มขึ้น และกล่องที่ดูดีกว่าเดิม

การไม่เหมือนพ่อแม่เราไม่เพียงพอ ถ้าเรายังไม่ได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่พ่อแม่เราก็ไม่เคยเผชิญ ถ้าเรายังกลัวความว่างเปล่าเวลาถามแล้วลูกไม่ตอบ ถ้าเรายังกลัวการที่ลูกจะโตเป็นคนที่เราไม่เข้าใจ ถ้าเรายังใช้ความรู้เพื่อกลบเสียงที่ไม่มั่นคงในใจตัวเองแต่ไม่เข้าไปดูแลความไม่มั่นใจตรงนั้น 

เพราะสุดท้ายแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่ใช่แค่เปลี่ยนวิธีเลี้ยงลูก แต่คือการยอมรับว่ามีบางอย่างในตัวเราที่ยังต้องได้รับการเยียวยา และกล้าหยุดวงจรที่มันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เราเองยังเป็นเด็กคนนั้น ที่ไม่เคยถูกฟังเลยสักครั้ง

การเลี้ยงลูกแบบใหม่จึงไม่ใช่แค่ “ไม่เหมือนเดิม” แต่มันคือการกล้าทบทวนสิ่งที่เราเคยเชื่อว่าถูก
กล้ายอมรับว่าเราเองก็มีด้านที่ยังไม่เติบโต
กล้าเปิดใจฟังลูก โดยไม่รีบแปลความรู้สึกเขาด้วยประสบการณ์ของเราเอง

และกล้าจะหยุดส่งต่อสิ่งที่เราเองยังไม่เคยเข้าใจมันเลย

การเริ่มใหม่อาจไม่ได้เริ่มที่ลูก แต่อยู่ที่ตัวรา

และการเริ่มใหม่ในที่นี้ ไม่ใช่การลุกขึ้นมาเปลี่ยนพฤติกรรมทันที ไม่ใช่การพูดกับตัวเองว่า “ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว” หรือ “คราวหน้าฉันจะใจเย็นกว่านี้” แต่มันเริ่มจากการยอมรับว่าเราเป็นคนที่ทำแบบนั้นไปแล้วต่างหาก เริ่มจากการไม่หันหน้าหนีความรู้สึกผิด เริ่มจากการมองตัวเองในเวอร์ชันที่พลาด ด้วยสายตาแบบเดียวกับที่เราอยากใช้มองลูกในวันที่เขาทำผิด

เราจะเผลอหลุดเสียงดังอีกแน่ ๆ เราจะยังเผลอพูดประชด หงุดหงิด ฟังไม่จบ ตัดบท รีบบอกวิธีแก้ หรือทำท่าไม่สนใจทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความกลัว เราจะยังเผลอเป็นคนที่เราเคยบอกตัวเองว่า “ฉันจะไม่เป็นแบบนั้น” แต่สิ่งที่ต่างออกไป คือเราจะไม่ซ่อนมันไว้ใต้พรม แล้วเดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราจะกล้าเผชิญหน้ากับมัน แม้จะรู้ว่าเรายังไม่มีคำตอบ

ลูกไม่ต้องการพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ เขาต้องการพ่อแม่ที่ยังอยู่ตรงนี้ แม้ในวันที่ตัวเราเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเลี้ยงเขาได้ดีแค่ไหน ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองมีอะไรดีพอให้เขาได้เรียนรู้บ้าง ยังไม่แน่ใจว่าเรากำลังทำถูกหรือเปล่า  แค่ยังอยู่ อยู่ในความสัมพันธ์นี้ โดยไม่หายไป

“คุณไม่ใช่พ่อแม่ของคุณ” และนั่นแปลว่าคุณมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ในการที่จะเปลี่ยนโครงสร้างทั้งหมดที่คุณเคยเติบโตมา 

สิทธิ์ที่จะไม่ตอกย้ำกับตัวเองว่า “ก็เราถูกเลี้ยงมาแบบนี้” 

สิทธิ์ที่จะไม่เอาความเจ็บปวดที่ไม่เคยมีที่ไป ส่งต่อให้กับคนที่คุณรักที่สุดโดยไม่รู้ตัว 

แม้คุณจะยังไม่แน่ใจว่าควรเริ่มตรงไหน แต่ถ้าคุณเริ่มฟังตัวเองได้มากขึ้นอีกนิด  

ฟังจริง ๆ แบบไม่รีบแก้ ไม่รีบดี ไม่รีบกลบด้วยความรู้ 

นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของการฟังลูกด้วยใจจริง

และมันอาจเป็นครั้งแรกในบ้านของคุณ 

ที่ใครสักคนจะถูกฟัง…อย่างแท้จริง


Writer

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts