“To my immigrant parents and to all parents who burden and narrow their own lives in the hope that their children will be free to go further.”
“ถึงพ่อแม่ผู้อพยพของฉัน และถึงพ่อแม่ทุกคนที่แบกรับภาระและจำกัดชีวิตของตนเอง ด้วยความหวังว่าลูกๆ ของพวกเขาจะมีอิสระที่จะก้าวไปได้ไกลกว่า
มีวรรณกรรมเด็กบางเล่มที่อ่านแล้วกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ทั้งที่มันเป็นเรื่องเล่าเรียบง่าย ใช้คำไม่มาก แต่เมื่อปิดหน้าสุดท้ายลง ทั้งความรู้สึกและความคิดยังวนเวียนอยู่กับเรื่องราวแบบแกะไม่ออก My Strange Shrinking Parents เป็นหนังสือภาพประเภทนั้น
หนังสือเล่มนี้ เขียนและวาดภาพประกอบ โดย Zeno Sworder นักเขียนและศิลปินชาวออสเตรเลียที่มีเชื้อสายจีน หนังสือเล่มนี้มีลักษณะกึ่งอัตชีวประวัติ โดยดึงเอาประสบการณ์ของ Sworder ที่เติบโตมาในฐานะลูกของผู้อพยพในเมืองเล็กๆ ชื่อ Bendigo ในออสเตรเลีย และมีเนื้อหาของหนังสือที่เริ่มต้นจากเรื่องราวความเสียสละของพ่อแม่เพื่อลูก ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างการไม่หลับไม่นอน เดินวนเวียนเฝ้าไข้หรือดูแลลูกยามค่ำคืน จนไปถึงการเสียสละของพ่อแม่ในครอบครัวผู้อพยพชาวเอเชีย ที่เล่าผ่านวิธีการอุปมาอุปไมยว่าพ่อแม่ต้องหดตัวให้เล็กลงเพื่อลูกชายของเขาจะเติบโตขึ้นในโลกที่มีโอกาสมากกว่า แม้ว่าตัวพวกเขาเองต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใยดีต่อความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ตาม
ตัวผู้เขียนคือ Sworder เองก็เป็นลูกของแม่ผู้อพยพเช่นเดียวกัน และเขาใช้ชีวิตวัยเด็กด้วยความรู้สึกแปลกแยกและไม่เข้าพวกกับเด็กๆ หรือใครๆ ในละแวกเมืองนั้น
“ผมจะเกาตัวเองในขณะหลับ และบ่อยครั้งผมจะเกาอย่างรุนแรงจนทำให้ผิวหนังที่หลังขาของผมลอกออก ผมจะตื่นมาในตอนเช้าและผิวหนังติดอยู่กับผ้าปูที่นอน”
“หนึ่งในความทรงจำแรกๆ ของผมเกี่ยวกับแม่ คือภาพของแม่ที่นั่งข้างเตียงขณะที่ผมกำลังจะหลับ คอยจับมือผมไว้ ส่วนหนึ่งก็เพราะแม่พยายามหยุดไม่ให้ผมเกาตัวเองในขณะที่หลับ ผมมักจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและพบว่าแม่หลับอยู่ข้างๆ ผม และยังคงจับมือผมไว้”
นั่นคือตัวเขาในฐานะลูก แต่เขาเขียนหนังสือเล่มนี้จากการเป็นพ่อของลูกสาวที่ป่วยเป็นโรคผิวหนังอักเสบ (eczema) และการที่เขาต้องดูแลลูกในวัยเด็ก ทำให้ความทรงจำของเขาเกี่ยวกับแม่ของเขากลับมาอีกครั้ง
“ผมไม่เคยคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้จนกระทั่งเรามีลูกสาวคนที่สอง” “ผมเพิ่งตระหนักว่า มันยากแค่ไหนสำหรับแม่ที่ต้องทำแบบนี้ คืนแล้วคืนเล่า เสียสละการนอนของตัวเอง”
ลูกสาวของ Sworder มีปัญหาการนอนในตอนกลางคืน เธอจะตื่นขึ้นมาประมาณตี 2 หรือตี 3 และ Sworder จะอุ้มเธอเดินขึ้นลงตามความยาวของบ้าน โดยเขาจะวางสมุดโน้ตและปากกาไว้ที่ปลายด้านหนึ่งของบ้าน และทุกครั้งที่เดินครบรอบ เขาจะใช้เวลาสามสิบวินาทีเขียนประโยคหนึ่งๆ ของหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา การกระทำเหล่านั้น ทั้งทรมาน ทั้งเหน็ดเหนื่อย แต่ก็เต็มไปด้วยความอดทน ความห่วงใย และความรัก
ใช่ เขากำลังหดการนอนของตัวเองลง เพื่อให้ลูกสาวได้นอนอย่างเต็มอิ่ม
เช่นเดียวกับที่แม่ของเขาต้องนอนข้างเขา เพื่อให้ผิวของเขาไม่เป็นแผลเพราะเกาตัวเองทั้งคืน
เป็นการกระทำที่ดูแล้วไม่น่าจะเข้าใจได้เลย
แต่คนที่เป็นพ่อแม่จะเข้าใจเรื่องนี้ดี
“เอาความสูง 5 เซ็นฯ มา แล้วเอาเค้กนั่นไป”
เด็กชายที่เติบโตขึ้นกับพ่อแม่ที่หดตัวลง
พ่อแม่ในเรื่องเป็นผู้อพยพที่เดินทางจาก “ดินแดนอันห่างไกล” มาพร้อมรองเท้าเก่าและกระเป๋าว่างเปล่า ส่วนที่เป็นสัญลักษณ์ที่กระทบใจผู้อ่านของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อพ่อแม่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อเค้กวันเกิดให้ลูกชาย จึงถามคนทำขนมว่าพวกเขาจะให้อะไรเป็นการแลกเปลี่ยนได้บ้าง คนทำขนมขอ “ห้าเซนติเมตร” จากความสูงของพวกเขา เมื่อเรื่องราวดำเนินต่อไป พ่อแม่ยังคงหดตัวเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาแลกส่วนต่างๆ ของตัวเองเพื่อค่าเล่าเรียน เครื่องแบบนักเรียน หนังสือ และชีวิตที่ดีกว่าให้ลูกชายของพวกเขา
เมื่อเด็กชายเติบโตขึ้นเรื่อยๆ พ่อแม่จึงหดตัวลงเรื่อย ๆ
จนในที่สุดพ่อแม่ต้องย้ายไปอาศัยอยู่ในบ้านตุ๊กตา
และออกไปข้างนอกได้เฉพาะวันที่ไม่มีลมแรง
การที่พ่อแม่ตัวหดเล็กลงในเชิงกายภาพอาจจะดูเหมือนเล่าเรื่องเหนือจริงและแฟนตาซี แต่ Sworder ไม่ได้สร้างโลกแฟนตาซีเพื่อพาเด็กหนีออกจากความจริง เขาสร้างมันขึ้นเพื่อพาผู้อ่าน กลับไป สัมผัสความจริง
ฉากหนึ่งที่ Sworder วาดภาพที่แสดงการหดตัวของพ่อแม่ที่ทำให้ “มีพื้นที่มากขึ้นสำหรับการเต้นรำในครัว” เป็นสัญลักษณ์แทนความรู้สึกที่ขมขื่นขณะเดียวกันก็เป็นความสุขของการเสียสละบางอย่างเพื่อคนที่รัก เพราะในขณะที่พ่อแม่มีขนาดเล็กลง แต่ก็มีพื้นที่มากขึ้นสำหรับความสุขและการเติบโตในชีวิตของลูก เป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนระหว่างการ “ได้มา” และการ “เสียสละ” บางอย่าง
ฟังดูเหลือเชื่อ แต่คนที่เป็นพ่อแม่ หรือเคยเป็นลูกที่เห็นชีวิตพ่อแม่ในแบบเดียวกัน กลับรู้สึก ‘จริง’ และรู้สึกตามได้ทุกภาพและทุกคำที่ Sworder ถ่ายทอด เพราะเรามักจะได้เห็นข้าวของในถุงช็อปปิ้งที่เปิดมาแล้วมีแต่ของโปรดของลูก พ่อแม่ที่มัวแต่ทำงานและกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะมาถึงแทนที่จะใช้เงินไปกับการท่องเที่ยว หรือความต้องการของตัวเอง หรือพ่อแม่ที่ลืมความปรารถนาและความใฝ่ฝัน และยอมพลาดโอกาสของตัวเองไป เพื่อให้ฝันของลูกๆ ได้ใกล้เคียงความจริงที่สุด
“หยุดหดตัวลง แล้วทำตัวให้เหมือนพ่อแม่คนอื่นๆ เสียที”
หนึ่งในภาพที่สะเทือนใจที่สุดในเล่ม คือตอนที่เด็กชายซึ่งตอนนี้สูงกว่าพ่อแม่มากคุกเข่าลงเพื่อขอร้องให้แม่ “หยุดหดตัวสักที” เขาไม่ได้ต้องการพ่อแม่ที่เสียสละมากขึ้น เขาต้องการพ่อแม่ที่ “เหมือนคนอื่น” บ้าง เขาโกรธเพราะต้องเผชิญกับความดูแคลนจากคนอื่นๆ และความรู้สึกขุ่นเคืองต่อการเลือกปฏิบัติที่ครอบครัวเขาได้รับเพียงเพราะความแตกต่าง และเมื่อถูกเด็กๆ ที่โรงเรียนรังแก เด็กชายคิด (เหมือนที่เด็กทุกคนก็เคยคิด) ว่าทั้งหมดนี้คือ “ความผิดของพ่อและแม่” ดังนั้นเขาจึงขอร้องให้พ่อกับแม่หยุดหดตัวสักที
คำตอบของแม่เขาจับหัวใจสำคัญของหนังสือ
“เด็กพวกนั้นคิดว่าเราแตกต่าง
แต่เราไม่ได้แตกต่าง
หัวใจของเรายังคงใหญ่เท่าเดิม
ความรักของเรายังคงดีเท่าเดิม”
ฉากนี้สะเทือนใจทั้งในแง่การดิ้นรนของเด็กกับอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม การเป็นส่วนหนึ่งหรือไม่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมบางแห่ง และในขณะเดียวกันก็ยืนยันอย่างเต็มเสียงถึงความเป็นสากลของความรักของพ่อแม่ที่ไม่ว่าจะอยู่ในวัฒนธรรมใดก็พยายามอย่างมากที่สุดเพื่อให้ลูกได้สัมผัสถึงความรักที่พวกเขามีให้ และความพยายามอย่างมากที่สุดที่จะให้ลูกได้มีชีวิตที่ดีที่สุดไม่ว่าจะอยู่ในข้อจำกัดแบบไหนก็ตาม
อย่างไรก็ดี คำตอบจากแม่ในหนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นว่าพ่อแม่ไม่ได้ไร้อำนาจ แม้ความจริงพวกเขาจะเสียสละตัวเองไปมากเพื่อลูก แต่ความเสียสละที่แลกมาด้วยตัวที่หดเล็กลงเหล่านี้ถูกใคร่ครวญมาอย่างดีและเป็นการเลือกด้วยความตั้งใจของผู้ที่เป็นพ่อและแม่แล้ว และในเพียงไม่กี่ประโยคที่แม่ตอบนี้เอง แสดงการยืนยันว่า ความรักของพวกเขา “ใหญ่” และ “ดีพอ” ไม่ว่าจะแตกต่างหรืออยู่ในสถานะไหน การตอบของแม่แสดงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความรักที่เป็นสากลและไม่มีพรมแดนทางวัฒนธรรมไหนมากั้นได้ สิ่งนี้ส่งต่อและทำให้ลูกชายเข้าใจและคลี่คลายในเวลาต่อมาว่าคุณค่าและอำนาจที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่คนภายนอก แต่อยู่ที่ความรู้สึกภายใน
การเติบโตที่ไม่ได้วัดจากความสูง
นอกเหนือจากการทำให้เห็นความพยายามที่พิเศษและความเสียสละของพ่อแม่เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของลูกๆ แล้ว สิ่งสำคัญและน่าจะเป็นแก่นของเรื่องนี้ คือการให้เด็กเป็นผู้คลี่คลาย ทำความเข้าใจ และกลับมาชื่นชมการเสียสละเหล่านี้ ‘ด้วยตัวเอง’ ผ่านการที่ลูกดูแลพ่อแม่ที่ตอนนี้ตัวเล็กมากและแก่ตัวลงแล้ว และให้พวกเขาอาศัยอยู่อย่างสบายในบ้านตุ๊กตา
ภาพนี้ทำให้เห็นว่าลูกไม่ได้คิดที่จะพยายามทำให้พ่อแม่ตัว “ใหญ่ขึ้น” หรือ “ใหญ่เท่าเดิม” แต่ระลึกรู้คุณอย่างดีต่อพลังความรักที่อยู่ภายในของพ่อแม่ด้วยการเคารพชีวิตที่พวกเขา ‘เลือกที่จะตัวเล็กลง’ และให้เขามีความสุขอย่างเรียบง่ายกับชีวิตแบบนั้น
การจบแบบนี้ ช่วยปลอบประโลมทั้งผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่และเด็ก และส่งข้อความในตอนท้ายออกไปว่า
“บางทีความรักที่แท้จริงที่สุด อาจไม่ได้ทำให้เราตัวใหญ่ขึ้น
แต่มันทำให้เรามองเห็นความยิ่งใหญ่ในความเล็กลงของใครบางคนได้ต่างหาก”
หนังสือ : “พ่อแม่ประหลาดของฉันที่หดตัวลง” (My Strange Shrinking Parents) จากสำนักพิมพ์ Thames & Hudson ปี 2023
หนังสือได้รับการยอมรับและรางวัลสำคัญมากมาย:
- ชนะรางวัล Children’s Book Council of Australia (CBCA) หนังสือภาพยอดเยี่ยมแห่งปี 2023
- ชนะรางวัล Australian Book Design Awards หนังสือภาพสำหรับเด็กที่ออกแบบดีที่สุดปี 2023
- เข้ารอบสุดท้ายสำหรับรางวัลวรรณกรรมของนายกรัฐมนตรี ประเภทวรรณกรรมเด็ก 2023
ได้รับคัดเลือกให้อยู่ใน The Braw Amazing Bookshelf ในงาน BolognaRagazzi Awards 2024