เด็กไม่ได้เกิดมาพร้อมอคติ การแบ่งแยก หรือความเกลียดชัง แต่เขาเรียนรู้มัน ทีละน้อย ผ่านสายตา คำพูด น้ำเสียง การไม่ถูกเลือก หรือการถูกมองข้ามจากใครบางคนในสังคมรอบตัวของเขา
และในสนามเด็กเล่นเล็ก ๆ นั้นเอง ที่เด็กหลายคนเริ่มเรียนรู้ว่า ใครคือผู้นำ ใครคือผู้ตาม ใครมีเสียง ใครไม่มี ใครกล้าคิดต่างแล้วได้รับการรับฟัง หรือใครกล้าคิดต่างแต่ถูกผลักออก
Stanley Greenspan เคยเขียนไว้ในหนังสือ Playground Politics ว่า “สนามเด็กเล่นไม่ใช่พื้นที่พักจากการเรียนรู้ แต่มันคือห้องเรียนของอำนาจ ความสัมพันธ์ และศีลธรรม” พื้นที่ที่เด็กได้ทดลอง “ประชาธิปไตยฉบับอนุบาล” ก่อนที่เขาจะเรียนรู้มันในชั้นเรียนพลเมือง
นิทานภาพชุด “พลิกมุมใหม่ ชนะใจตนเอง” อันว่าด้วย กระต่าย หมี จิงโจ้ จรเข้ นก มังกร และผองเพื่อน ซึ่งเกิดจากการที่ผู้แต่งและบรรณาธิการสำนักพิมพ์สานอักษร ได้ไปสังเกตการเล่น ความสัมพันธ์ ปฏิสัมพันธ์และเรื่องราวในสนามเด็กเล่นของเด็กอนุบาลในโรงเรียนรุ่งอรุณเป็นเวลาหลายเดือน
นั่นคือส่วนที่หนังสือชุดนี้สัมพันธ์โดยตรงกับเรื่อง Playground หรือสนามเด็กเล่น
ส่วนที่จะเกี่ยวข้องกับ Politics และความซับซ้อนในความสัมพันธ์ของมนุษย์ยังไง
ชวนอ่านต่อจากนี้กันค่ะ
พลิกมุมใหม่ ชนะใจตนเอง
แก่นของนิทานชุดนี้อยู่ที่แนวคิดว่า “การชนะใจตนเอง” ไม่ได้แปลว่าการไปเอาชนะใคร หรือสุดอีกขั้วคือการต้องเป็นฝ่ายยอมใคร แต่คือการเข้าใจความซับซ้อนของความสัมพันธ์ เข้าใจที่มาของอารมณ์ที่เกิดขึ้นของตัวเอง และเข้าใจที่มาของอารมณ์เพื่อน สามารถมองมุมที่แตกต่างได้ มองเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในใจ แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนมุมมองต่อสถานการณ์นั้น “การพลิกมุมใหม่” จึงไม่ใช่การหนีปัญหา แต่คือการพยายามมองความขัดแย้งด้วยสายตาที่กว้างกว่าเดิม ไม่รีบตีความ ไม่รีบผลักไสให้อีกฝ่ายเป็นศัตรู ไม่รีบปกป้องตัวเองด้วยกำแพงของความโกรธหรือความกลัว และเมื่อพลาดพลั้งทำเช่นนั้นไปแล้ว ก็รู้จักที่จะคืนดีกันได้
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นเรื่องยากมากๆ สำหรับผู้ใหญ่
และเป็นเรื่องธรรมชาติของเด็ก
และมันเกิดขึ้นบ่อยครั้งในสนามเด็กเล่น
ถ้าเราเพียงได้ลองนั่งลงแล้วสังเกตเด็กๆ ดู
ในสนามเด็กเล่น เด็ก ๆ ทะเลาะกัน บ้างก็ไม่พอใจ บ้างก็รู้สึกไม่ถูกยอมรับ แต่ในขณะเดียวกัน เด็กก็มีสารพัดวิธีที่จะต่อรอง แก้ปัญหา สร้างกติกา รื้อกติกา แล้วสร้างใหม่ ทะเลาะ แล้วหาวิธีคืนดี ประนีประนอม ขอเล่น ถูกปฏิเสธ พยายามซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งหมดนั้นก็เพื่อเป้าหมายเดียวกัน เพื่อจะได้เล่นด้วยกัน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าผู้ใหญ่ไม่เข้าไปแทรกแซงเสียก่อน
นิทานชุดนี้จึงชวนให้เรามองว่า ความไม่พอใจไม่ใช่ปัญหา ความขัดแย้งก็ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ เด็กได้เรียนรู้จากสถานการณ์หรือไม่ว่าตัวเขาเองสามารถจัดการกับความรู้สึกนั้นได้ โดยไม่ทำร้ายตัวเองหรือคนอื่น และเรียนรู้จะ “คืนดี” อย่างมีความหมาย
Stanley Greenspan มองว่าสนามเด็กเล่นคือระบบสังคมจำลองขนาดย่อมที่เด็กเรียนรู้ไม่ใช่แค่การเล่น แต่รวมถึงกฎของการอยู่ร่วม ใครพูดแล้วมีคนฟัง ใครถูกล้อ ใครถูกรวม ใครถูกกันออก พฤติกรรมทางสังคมเหล่านี้ไม่ใช่แค่ “เหตุการณ์เฉพาะหน้า” แต่คือการฝึกซ้อมสมองและหัวใจ ให้ค่อย ๆ จัดการกับความคาดหวัง ความผิดหวัง และความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน โดยที่เด็กไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขากำลังฝึกทักษะชีวิต
สนามเด็กเล่น คือพื้นที่ที่เด็กจะซ้อมเข้าใจตนเอง ซ้อมอยู่กับความต่าง ซ้อมที่จะเรียนรู้การคืนดีกัน และการได้ผ่านการฝึกซ้อมอย่างโชกโชนนี้เอง จะทำให้เด็กมีพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เลือกเกลียดใครเพียงเพราะเขาไม่ได้เดินไปในทางเดียวกัน นิทานเล่มเล็ก ๆ เหล่านี้จึงไม่ใช่แค่นิทานสำหรับเด็กเล็ก แต่เป็นเหมือนบันทึกที่เก็บความซับซ้อนของมนุษย์ไว้ในฉบับที่เด็กเข้าใจได้
เพราะการอยู่ร่วมกับคนอื่น ไม่ใช่การยอมรับเฉพาะวันที่ไม่มีความขัดแย้ง แต่คือการเรียนรู้ว่าจะฟังกันอย่างไร แม้จะไม่เห็นด้วยเลยก็ตาม
กระต่ายทำได้ : ถ้าเด็กเรียนรู้ว่าเสียงของตัวเองสำคัญ เขาจะไม่กลัวการแสดงความคิด และถ้าผิดหรือพลาดพลั้งไป เขาก็พร้อมจะขอโทษ
ในเล่ม กระต่ายทำได้ เด็กตัวเล็กคนหนึ่งไม่ได้เลือกจะพึ่งครูทันทีเมื่อมีปัญหา เขาหยุด คิด และลงมือทำด้วยตัวเอง นอกจากนั้น เรายังเห็นอีกว่าเขาเริ่มจากการกล้า “พูดออกไป” ว่าอยากลอง อยากทำ ไม่ได้รอให้ครูบอก ไม่ได้กลัวว่าจะทำพลาด และแม้จะยังไม่ทำได้ทั้งหมด เขาก็ได้ลองด้วยแรงใจที่อยากเติบโต
นี่คือทักษะที่ Bandura เรียกว่า self-efficacy ความเชื่อมั่นว่าตนสามารถเผชิญและจัดการกับสถานการณ์ได้ แม้ยังไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จ self-efficacy ไม่ได้หมายถึงแค่ความมั่นใจส่วนตัว แต่มันคือรากฐานของพลเมืองโลกที่รู้จักความสามารถของตนเอง รู้ว่าเสียงของตัวเองมีความหมาย รู้ว่าเมื่อเผชิญปัญหา เราช่วยเหลือตนเองได้ เราไม่ใช่คนไร้ความสามารถที่หนีปัญหา หรือรอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่นฝ่ายเดียว
สิ่งที่กระต่ายได้เรียนรู้ คือความหมายของการกล้าลองใช้ศักยภาพในตัวเอง ไปจนถึงคุณค่าที่ตนเองสามารถช่วยคนรอบข้างได้ เป็นการสร้างพื้นที่ยืนให้ตนเองในชุมชน ส่วนสิ่งที่คนรอบตัวกระต่ายได้เรียนรู้ คือ การเปิดพื้นที่ให้เด็กได้ลอง แม้จะไม่สำเร็จในครั้งแรก คือของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับการเติบโตของมนุษย์ตัวเล็ก ๆ
เพราะ self-efficacy ไม่ได้หมายถึงแค่ความมั่นใจส่วนตัว แต่มันคือรากฐานของการมี “อธิปไตยในตัวเอง” (inner sovereignty) หรืออาจเรียกอีกอย่างว่า “ความพอใจในกำลังของตนเอง” ความพอใจที่ไม่ใช่การหลอกตัวเองว่าไม่ต้องพัฒนา แต่คือการวางใจในแรงของตัวเอง ว่าแม้จะยังไม่เก่งที่สุด แต่ฉันจะลอง และจะเรียนรู้ไปกับมันได้
เด็กที่เติบโตมาพร้อมความเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถคิด ตัดสินใจ และลงมือทำได้ แม้จะยังไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จในทันที เขาจะไม่หวั่นไหวไปกับทุกความขัดแย้ง ไม่จำเป็นต้องเอะอะเรียกร้องการฟาดฟันหรือแบ่งข้างเพื่อสร้างความมั่นคงให้ตัวเอง
จิงโจ้ ดึ๋ง ดึ๋ง: ถ้าเด็กถูกผลักไสเพียงเพราะเขามีความแตกต่าง หรือ ‘เล่นแรงไป’ เขาอาจเปลี่ยนพลังในตัวให้กลายเป็นการทำลาย
ในเล่ม จิงโจ้ ดึ๋ง ดึ๋ง เราเห็นเด็กคนหนึ่งที่มีพลังเหลือล้น เขาไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใคร แต่เขายังไม่รู้จะวางพลังไว้ตรงไหน เด็กบางคนเล่นแรง ไม่ใช่เพราะเกเร แต่เพราะเขายังไม่เข้าใจจังหวะของตัวเองและของผู้อื่น
Greenspan เรียกสิ่งนี้ว่า regulation through relationship เด็กจะควบคุมพลังในตัวได้ ก็ต่อเมื่อมีใครสักคนยอมอยู่กับเขา เข้าใจเขา รับฟังเขา โดยไม่เร่งให้เขาเปลี่ยนก่อนจะเข้าใจตัวเอง
ถ้าเรารีบกันเด็กแบบจิงโจ้ออกไป ด้วยคำว่า “อยู่ด้วยไม่ได้” หรือ “ร้ายเกินไป” เด็กคนนั้นอาจไม่ได้เรียนรู้การปรับจังหวะ แต่เรียนรู้แค่ว่า “ฉันไม่มีที่ยืนตรงนี้”
และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพลังในทางตรงข้าม จากพลังชีวิต กลายเป็นพลังทำลาย
แต่หากมีใครสักคนยอมเดินเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เข้าใจความเร็วของเขา เข้าใจความแรงของเขา โดยไม่ตัดสิน เขาจะได้เรียนรู้การฟังตัวเอง และค่อย ๆ ถอดรหัสพลังนั้นเป็นสิ่งสร้างสรรค์
สิ่งที่จิงโจ้ได้เรียนรู้ คือ การอยู่กับพลังของตัวเองอย่างไม่ทำร้ายใคร และไม่ทำร้ายตัวเอง ส่วนสิ่งที่คนรอบข้างจิงโจ้ได้เรียนรู้ คือ การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจากการผลักไส แต่เกิดจากความสัมพันธ์ที่ยอมอยู่ด้วยแม้ในวันที่ยาก
สนามเด็กเล่นจึงไม่ใช่แค่ที่ปล่อยพลัง แต่คือที่ที่เด็กจะได้เรียนรู้ว่า “เราทุกคนมีพลังต่างกัน และถ้าเราอยากเล่นด้วยกัน เราต้องให้โอกาส และค่อยๆ ปรับตัวหาทางให้พลังของเราจะไปด้วยกันได้”
จระเข้อยากเลี้ยวขวา: ถ้าเด็กเห็นว่าการคิดต่างไม่ใช่เรื่องผิด เขาจะไม่กลัวการถกเถียง และการเลือกทางที่ต่างไป
ในเล่ม จระเข้อยากเลี้ยวขวา เรื่องเริ่มต้นจากกลุ่มเพื่อนที่จะเดินไปเรียนริมน้ำ ห่านอยากเดินไปทางซ้าย และจรเข้ก็อยากเดินไปทางขวา ต่างฝ่าย ต่างก็พยายามจูงใจเรียกให้เพื่อนๆ ไปตามทางที่ตัวเองอยากไป และไม่ยอมฟังกันและกัน ความเห็นต่างเล็ก ๆ นี้กลับกลายเป็นชนวนของการแบ่งข้าง ทั้งสองฝั่งต่างพยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ และไม่รู้ตัวเลยว่าได้ละเลยความสัมพันธ์ไปชั่วครู่
จนในที่สุด “เต่า” ซึ่งมองเห็นข้อดีทั้งสองทาง ได้เสนอว่าทุกคนสามารถเดินไปทางซ้าย แล้วกลับเส้นทางขวาก็ได้ นั่นคือทางออกที่ไม่ได้อยู่ในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่พยายามรวมความต่างไว้ด้วยกันโดยไม่ต้องขัดแย้ง
อีกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามเด็กเล่น
Greenspan พูดถึงเรื่องนี้ว่า เด็กที่กล้ายืนยันทางเลือกของตนโดยไม่ก้าวร้าว และยังเคารพในความสัมพันธ์ คือรากของ “พลเมืองที่ไม่แบ่งข้างเพื่อทำลาย”
สิ่งที่จระเข้และผองเพื่อนได้เรียนรู้ คือทางออกของสถานการณ์หนึ่งไม่ได้เป็นการเอาชนะ และไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้ แต่มันคือการค้นหา “พื้นที่ตรงกลาง” ที่ทุกฝ่ายยังเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันได้ และสิ่งที่เต่าได้สอนเราในเรื่องนี้ คือ บางครั้ง การมองเห็นข้อดีของทั้งสองฝั่ง และการเสนอเส้นทางที่ไม่ยึดติดกับขั้วใดขั้วหนึ่ง อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
เด็กที่ได้ฝึกฝนเช่นนี้ จะเติบโตเป็นพลเมืองที่ไม่กลัวความแตกต่าง ไม่ใช้การแบ่งข้างเพื่อเอาชนะ หรือทำลาย แต่เข้าใจว่าการอยู่ร่วมกันไม่จำเป็นต้องเลือกทางเดียวกันทุกครั้ง ขอแค่ยังหันกลับมาฟังกันอยู่ นั่นคือหัวใจของประชาธิปไตยในชีวิตประจำวัน
หมีจ๊ะ ขอเล่นด้วยนะ: การจะสร้างสัมพันธภาพกับใคร จำเป็นต้องเปิดใจไปเข้าใจโลกของเขาก่อน
ในเล่ม หมีจ๊ะ ขอเล่นด้วยนะ ทุกคนต่างอยากเข้าไปเล่นกับหมี แต่ไม่ใช่ทุกคนจะถูกหมีตอบรับทันที
เด็กบางคนรีบเข้าไปชวนหมี โดยพูดถึงกิจกรรมที่ตัวเองอยากเล่น ขายของ ขี่จักรยาน วาดรูป โดยไม่ได้สนใจเลยว่าหมีกำลังเล่นอะไรอยู่ หมีจึงไม่ตอบรับคำชวน และบางทีก็ไล่ไป เพราะมันไม่ใช่ “การเล่นด้วยกัน” แต่มันคือการชวนหมีให้มาเล่น “ในแบบของฉัน”
จนกระทั่งมีเด็กบางคนยอมเป็น “ลูกค้า” บ้าง “คนหิวข้าว” บ้าง หรือแม้แต่ “โต๊ะอาหาร” เพื่อให้หมีได้เล่นในแบบของเขาเอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเล่น “ด้วยกัน” อย่างแท้จริง
นิทานเรื่องนี้ไม่ได้สอนแค่ว่าต้องรอให้ใครมาชวน แต่ยังบอกเราด้วยว่า “การชวน” ที่แท้จริง ต้องเริ่มจากการฟังอีกฝ่ายว่าเขาเป็นใคร กำลังเล่นอะไร และกำลังอยู่กับโลกแบบไหนอยู่
สิ่งที่หมีได้เรียนรู้ คือ ไม่ใช่ทุกคนจะเข้ามาด้วยเจตนาเดียวกัน แต่ถ้ามีใครสักคนที่ตั้งใจฟังโลกของเขาจริง ๆ การเล่นด้วยกันก็เป็นไปได้
สิ่งที่เด็กคนอื่นได้เรียนรู้ คือ การอยากเล่นด้วยไม่พอ เราต้องรู้จักฟัง และขอเข้าร่วมในวิธีที่เคารพโลกของอีกฝ่ายด้วย
และสุดท้าย ก่อนนิทานจะจบลง หมีและผองเพื่อนก็ได้รับคำชวนจากช้างให้มาอ่านหนังสือด้วยกัน ช้างเป็นตัวอย่างการเปิดก่อน เป็นคนเริ่มชวนเล่นอย่างนุ่มนวล นี่ก็เป็นอีกบทเรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่หมีเองก็ได้เรียนรู้ในวันนี้เช่นกัน
จิ๊บ จิ๊บ โวยวาย: โลกของความระแวงและการปกป้องตัวเอง ชนวนหลักของความขัดแย้ง
ในเล่ม จิ๊บ จิ๊บ โวยวาย นกน้อยเสียงดัง ที่ใช้เสียงดัง โวยวาย ระแวดระวัง พลอยว่าร้ายเพื่อนทุกคนว่า “จะมาทำอันตราย” ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นการตีตนไปก่อนไข้ ยังไม่ได้เกิดเหตุอะไรขึ้นจริงๆ สักที
สิ่งที่จิ๊บ จิ๊บ แสดงออก คือความกลัวมากกว่าความโกรธ เขาใช้เสียงดังเพื่อป้องกันตัวเอง ใช้คำกล่าวหาเพื่อกันไม่ให้ใครเข้ามา โดยยังไม่ทันฟังว่าอีกฝ่ายตั้งใจอะไร
Greenspan เรียกการแสดงออกแบบนี้ว่า defensive misreading หรือการตีความผู้อื่นในทางลบโดยอัตโนมัติ เพราะในใจลึก ๆ เราระแวงอยู่เสมอว่าโลกนี้ไม่น่าไว้ใจ
เด็กที่ไม่เคยมีประสบการณ์ของ “ความไว้ใจได้” ในความสัมพันธ์ มักเรียนรู้ว่า สิ่งเดียวที่พอจะควบคุมได้ คือการตั้งกำแพง แต่มันอาจจะเป็นกำแพงที่กันตัวเองออกจากผู้คนที่ไม่เคยคิดร้ายกับเขาเลยก็ได้
สิ่งที่จิ๊บ จิ๊บ ได้เรียนรู้ในเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ “หยุดโวยวาย” แต่คือการกล้ายอมฟังเพื่อนก่อนจะด่วนตัดสิน กล้าเอ่ยคำว่า “ขอโทษ” เมื่อเข้าใจผิด และค่อย ๆ วางเกราะลงทีละนิดในตอนจบของเรื่อง เราเห็นนกน้อยทั้งสามลดเสียงลงและให้เพื่อนๆ เข้าใกล้
ส่วนสิ่งที่เพื่อน ๆ ของจิ๊บ จิ๊บ ได้เรียนรู้ คือ อย่าเพิ่งรีบผลักไสใครออกไป เพียงเพราะเขาเสียงดัง หรือมีแต่คำพูดว่ากล่าว ในขณะเดียวกันก็ไม่ตื่นตระหนกไปกับคำพูดเชิงลบ แต่ร่วมกันหาที่มาของความกลัวนั้นให้กระจ่างแจ้ง เพราะความสัมพันธ์ที่ดี อาจเริ่มต้นจากการที่เรากล้าเข้าใจเสียงนั้น ก่อนจะกลัวมันไปเสียก่อน
มังกรจ๊ะ รอนะ รอหน่อย: ถ้าเรารอคอยไม่เป็น เราอาจเผลอใช้พลังแย่งทุกอย่างมาไว้ในมือ แม้ยังไม่ถึงเวลาของเรา
ในเล่ม มังกรจ๊ะ รอนะ รอหน่อย มังกรตัวน้อยอยากเล่นชิงช้าเต็มที แต่เด็กคนอื่นยังเล่นอยู่ เขาจึงต้องอดทน รอคอย และจัดการกับความรู้สึกพลุ่งพล่านในใจ ที่ทั้งอยากจะเล่นเดี๋ยวนั้น และไม่อยากทะเลาะกับเพื่อน
แม้มังกรดูจะเป็นสัตว์ตัวใหญ่ที่มีอำนาจมากกว่าเพื่อนหลายคน แต่เขาก็เลือกที่จะเคารพกฎกติกา ไม่ใช่ด้วยความจำยอม แต่เพราะเขาอยากอยู่ในกฎ กติการการเล่นกับคนอื่นต่อไปอย่างสงบและเข้าใจ
ความอดทนที่ว่านี้ ไม่ได้แปลว่าต้อง “นิ่งเฉย” หรือ “กดทับอารมณ์” แต่คือการยอมรับว่า “ฉันยังไม่ได้เล่นตอนนี้ และนั่นก็โอเค” พร้อมกับเฝ้ามอง คิด และปรับจังหวะอารมณ์ของตนเองให้ไม่ปะทุออกมา (หรือปะทุนิดๆ แต่สงบลงได้)
Greenspan เรียกสิ่งนี้ว่า emotional regulation หรือการที่เด็กสามารถจัดการกับอารมณ์ตัวเอง โดยไม่ทำร้ายคนอื่น และไม่เสียความรู้สึกในตัวเอง
สิ่งที่มังกรได้เรียนรู้ คือ ความหมายของการรอคอยอย่างมีจิตใจมั่นคง ไม่เร่ง ไม่แย่ง และกติกาที่ทุกคนสร้างขึ้นมาร่วมกันเป็นสิ่งที่ควรให้ความเคารพ
ส่วนสิ่งที่เพื่อน ๆ ได้เรียนรู้จากมังกร คือ การมีพลัง ไม่ได้แปลว่าใช้พลังเพื่อเอาชนะทุกอย่าง แต่อาจหมายถึงการใช้พลังเพื่อถอยหนึ่งก้าว และรักษาความสัมพันธ์ให้ยาวนาน
ในสังคมที่ทุกอย่างถูกเร่งให้เร็ว และความสำเร็จถูกวัดจากความไว เด็กที่เรียนรู้การรอคอยอย่างมังกร อาจเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักเห็นใจ ไม่เบียดแย่ง และเข้าใจว่า บางครั้ง สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ไม่ได้มาทันที แต่จะมาถึงแน่ ถ้าเราใจเย็นพอจะรอ
ในสนามเด็กเล่น ความขัดแย้งไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยการแบ่งข้าง
แต่เด็กจะเรียนรู้สิ่งนี้ได้ ก็ต่อเมื่อเขาเคยมีประสบการณ์ที่บอกว่า เขามีที่ทางในกลุ่ม แม้จังหวะชีวิตจะไม่เร็วเท่าเพื่อน เขามีพลัง แม้ยังไม่สมบูรณ์ และเขายังเป็นเพื่อนกันได้ แม้จะไม่เหมือนกับใครทุกอย่าง
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงคำสอนในหนังสือ แต่คือบทเรียนชีวิตที่เด็กจะได้รับจากประสบการณ์ตรงในสนามเด็กเล่น ถ้ามีผู้ใหญ่คอยประคองให้โลกเล็ก ๆ ใบนั้น เป็นที่ที่ปลอดภัยพอสำหรับความกล้าจะเป็นตัวเอง และพร้อมจะยอมรับความเป็นอื่น
เมื่อเด็กได้อยู่ในพื้นที่ที่เขารู้สึกว่า “ฉันมีสิทธิ์คิดโดยไม่ถูกไล่” “ฉันมีคุณค่าแม้จะยังไม่สมบูรณ์” และ “ฉันไม่ต้องเหมือนใครทุกอย่าง ก็ยังเป็นที่รักได้” สิ่งที่เติบโตในใจเด็กคนนั้นจะไม่ใช่แค่ความมั่นใจเฉพาะตัว แต่คือรากลึกของคุณค่าประชาธิปไตย
เพราะความกล้ายืนอยู่ในความแตกต่าง โดยไม่รู้สึกว่าสูญเสียอะไรในตัวเองเลย คือจุดเริ่มต้นของการอยู่ร่วมในโลกที่ความขัดแย้งยังไม่ต้องกลายเป็นสงคราม
และหากจะมีความหวังใด ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตของโลกที่เต็มไปด้วยรอยร้าว เราอาจไม่ต้องมองหามันจากการเจรจาระหว่างรัฐ หรือโต๊ะเจรจาระดับโลกเสมอไป แต่อาจเริ่มจากวงล้อมเล็ก ๆ ในสนามเด็กเล่น ที่เด็กคนหนึ่งยอมรอให้เพื่อนเล่นชิงช้าเสร็จก่อน ที่เด็กอีกคนยื่นมือเข้าหา โดยไม่ชวนให้หมีเปลี่ยนเกม หรือที่เด็กอีกคนหนึ่งหยุดฟัง ก่อนจะตัดสินว่าใครกำลังจะทำร้ายตน
เพราะในสนามเด็กเล่นแห่งนี้ เด็กได้ฝึกเป็นมนุษย์ ก่อนจะถูกฝึกให้เป็นประชากรของรัฐใดรัฐหนึ่ง และนั่นคือการเมืองของหัวใจ ที่โลกต้องการมากที่สุดในเวลานี้
เอกสารอ้างอิง
- Greenspan, S. I. (1993). Playground Politics: Understanding the Emotional Life of Your School-Age Child. Addison-Wesley.
- หนังสือที่กล่าวถึง “สนามเด็กเล่น” ในฐานะพื้นที่ทดลองของอำนาจ ความสัมพันธ์ และศีลธรรม
- หนังสือที่กล่าวถึง “สนามเด็กเล่น” ในฐานะพื้นที่ทดลองของอำนาจ ความสัมพันธ์ และศีลธรรม
- Bandura, A. (1997). Self-efficacy: The Exercise of Control. W.H. Freeman.
- อธิบายแนวคิด self-efficacy หรือความเชื่อมั่นในศักยภาพตนเอง ซึ่งเป็นรากฐานของการกล้าแสดงออกและการตัดสินใจอย่างมีสติ
- อธิบายแนวคิด self-efficacy หรือความเชื่อมั่นในศักยภาพตนเอง ซึ่งเป็นรากฐานของการกล้าแสดงออกและการตัดสินใจอย่างมีสติ
- Benner, A. D., & Graham, S. (2019). The antecedents and consequences of perceptions of discrimination among Latino/a adolescents. In Child Development Perspectives, 13(3), 143–148.
- งานศึกษาที่ชี้ว่า เด็กที่ไม่เคยถูกฟังหรือถูกรับฟังผิด มักแสดงออกด้วยพฤติกรรมเพื่อเรียกร้องการมองเห็น
- งานศึกษาที่ชี้ว่า เด็กที่ไม่เคยถูกฟังหรือถูกรับฟังผิด มักแสดงออกด้วยพฤติกรรมเพื่อเรียกร้องการมองเห็น
- UNESCO (2015). Global Citizenship Education: Topics and Learning Objectives.
- เสนอกรอบความคิดของการเป็นพลเมืองโลกที่ไม่ใช่การเผชิญหน้าหรือแบ่งขั้ว แต่คือการอยู่ร่วมอย่างเข้าใจและรับผิดชอบ
- เสนอกรอบความคิดของการเป็นพลเมืองโลกที่ไม่ใช่การเผชิญหน้าหรือแบ่งขั้ว แต่คือการอยู่ร่วมอย่างเข้าใจและรับผิดชอบ
- Noddings, N. (2005). The Challenge to Care in Schools: An Alternative Approach to Education. Teachers College Press.
- แนวคิดว่าด้วย “ความสัมพันธ์เชิงดูแล” (ethic of care) ที่เป็นรากของการเรียนรู้ร่วมกันอย่างมีมนุษยธรรม
- แนวคิดว่าด้วย “ความสัมพันธ์เชิงดูแล” (ethic of care) ที่เป็นรากของการเรียนรู้ร่วมกันอย่างมีมนุษยธรรม
- Sapon-Shevin, M. (2007). Widening the Circle: The Power of Inclusive Classrooms. Beacon Press.
- การจัดการความหลากหลายและความแตกต่างในชั้นเรียนและสนามเด็กเล่น เพื่อป้องกันการแบ่งข้างและการกีดกัน