ช่วงกลางเดือนธันวาคมใกล้สิ้นปีแบบนี้ นอกเหนือไปจากบรรยากาศของการเฉลิมฉลองในเทศกาลคริสต์มาสอันแสนอบอุ่นที่กำลังใกล้เข้ามา รวมถึงการตรวจเช็คลิสต์ที่ได้ตั้งเป้าปณิธานปีใหม่ (New Year’s Resolution) ไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปีก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนเริ่มทำ ก่อนที่จะตั้งเป้าหมายใหม่ในปีหน้าอีกครั้ง
แต่ก่อนจะถึงช่วงเวลานั้น การทบทวนชีวิตตลอดสามร้อยกว่าวันที่ผ่านมา ก็นับว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรหลงลืมไปเช่นเดียวกัน
วันนี้ Mappa จึงอยากชวนเพื่อนๆ ทุกคน ‘ถอย’ เพื่อกลับมาพักและตั้งหลัก ในห้วงเวลาสุดท้ายยามปลายปี เพื่อทบทวนเรื่องราว เหตุการณ์ และประสบการณ์ทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้น และหากิจกรรมเยียวยาจิตใจ ก่อนที่จะเฟ้นหาแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ผ่านการรู้จักกับคำสำคัญอย่าง ‘Retreat’
Retreat คืออะไร และเพราะเหตุใดการหยุดพักเพื่อทบทวนตัวเองจึงสำคัญ
Retreat เป็นคำภาษาอังกฤษที่หากให้แปลตรงตัวอาจแปลได้หลายคำ ขึ้นอยู่กับบริบทของข้อความหรือเหตุการณ์ตรงนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักหมายถึง
‘ถอยเพื่อตั้งหลัก’
‘พักเพื่อเยียวยา’
‘ฟื้นฟูให้หายเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตใจ’
จากคำนิยามที่กล่าวไปข้างต้น จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เพราะเหตุใดช่วงเวลาโค้งสุดท้ายของปีแบบนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการ Retreat เพื่อ Refresh ตัวเอง
หากมองย้อนกลับไป ช่วงต้นปีมักเป็นช่วงที่หลายคนมีไฟในการทำสิ่งใหม่ๆ ตามที่ตัวเองได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ แต่ระหว่างทางก่อนที่จะถึงช่วงสิ้นปีนั้น เราทุกคนล้วนเจอหลากหลายเรื่องราวและความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทั้งเรื่องทุกข์ เรื่องสุข สมหวังหรือผิดหวังผสมปนเปกันไป ซึ่งหากให้ว่ากันตามตรง ความรู้สึกของแต่ละคนในช่วงสิ้นปีจะเป็นอย่างไร ก็ล้วนขึ้นอยู่กับว่าระหว่างปีแต่ละคนได้พบเจออะไรกันมาบ้าง หนักหน่วงหรือท่วมท้นขนาดไหน ประสบการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่แต่ละคนมีแตกต่างกัน
แต่สิ่งที่หลายคนอาจมีคล้ายกันก็คือ ความต้องการในการ ‘พักผ่อน’
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนบ้างานขนาดไหน ธุระมากล้นสักเพียงใด หรือมีเรื่องอื่นใดๆ ที่เข้ามาให้ต้องจัดการตลอดเวลา ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราทุกคนล้วนต้องการช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนจากโลกภายนอกเพื่อวางภาระอันหนักอึ้งกันอยู่บ้าง
การรีทรีตจึงตอบโจทย์นี้อย่างไม่ต้องสงสัย
และการถอยเพื่อกลับมาพักใจนั้นไม่ได้แปลว่าจำเป็นต้อง ‘ยอมแพ้’ เสมอไป
การพักในแบบรีทรีต จึงหมายถึงการกลับมา ‘พักผ่อน’ เพื่อ ‘ทบทวน’ ตัวเอง เพื่อให้เราได้กลับมาเชื่อมต่อกับตัวตนที่แท้จริงของเรา ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธีตามวิถีที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การพักแบบ ‘ได้พักจริงๆ’ และพักเพื่อทบทวนเรื่องราวที่เข้ามาในชีวิต เพื่อที่จะได้เริ่มใหม่ได้อย่างสดใส
อันที่จริงในช่วงแรก คำว่ารีทรีตถูกใช้อย่างแพร่หลายในแง่ของศาสนาและการพัฒนาเพื่อฟื้นฟูจิตวิญญาณ (Spiritual) แต่ในปัจจุบันคำนี้ได้แพร่หลายมากขึ้นด้วยการใช้ในเชิงจิตวิทยาสำหรับคนทั่วไปมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการฟื้นฟูสภาพจิตใจ แต่ไม่ว่าจะด้วยความหมายแบบใด ทุกอย่างล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การได้พักในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มก้าวต่อไปของชีวิต
เราไม่พักได้ไหม? และการ ‘พัก’ แบบ ‘ได้พักจริงๆ’ นั้นสำคัญอย่างไร
หลายคนอาจพลังเหลือล้น ไม่ว่าจะพลังกายหรือพลังใจ บางคนอาจจะคิดว่าการพักนั้นเป็นสิ่งที่เสียเวลา และเราก็ไม่ได้เหนื่อยขนาดที่ว่าจำเป็นจะต้องพักสักหน่อย
แต่เพราะอะไรการพักจึงสำคัญ?
มีผลงานวิจัยชี้ว่า การรีทรีตส่งผลต่อสื่อประสาทในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างอารมณ์และความคิดด้านบวก โดยในห้วงเวลาแห่งการรีทรีตนั้น สารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่เป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และการควบคุมอารมณ์ รวมถึงสารโดปามีน (Dopamine) ที่เป็นฮอร์โมนที่ส่งผลกับการรับรู้ อารมณ์ และแรงจูงใจ เมื่อผนวกรวมกันจะออกฤทธิ์ส่งผลถึงอารมณ์เชิงบวกที่ทรงพลัง คล้ายกับการมอบรางวัลชิ้นใหญ่ให้กับตัวเอง ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ยิ่งใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้น การพักเพื่อกลับมาทบทวนตัวเอง ยังเป็นการได้เช็กความเครียดที่อาจสะสมและก่อตัวขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว เราทุกคนล้วนมีความเครียดในภาระของตัวเอง ในบางครั้งสิ่งเหล่านั้นอาจดูเหมือนเบาบางลง แต่อันที่จริงแล้วมันอาจไม่ได้หายไปไหน แค่เพียงถูกกดทับเอาไว้จนกลายเป็นสิ่งที่ถูกหลงลืม ทั้งที่จริงแล้วเราอาจยังไม่ได้สะสางความรู้สึกตกค้างพวกนั้นเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะกลับมาเล่นงานเราโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัวว่าจะตบะแตกเมื่อไร ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บป่วยที่แสดงออกผ่านร่างกายที่อ่อนแอไม่แข็งแรง หรือเป็นบาดแผลทางใจที่อาจไร้ร่องรอยทางกายภาพ แต่กลับเป็นสิ่งที่เป็นต้นเหตุของอาการหมดไฟหรือความเครียดที่สะสมไว้อย่างไม่รู้ตัว
ทั้งนี้ การพักผ่อนนั้นก็ควรเป็นการพักผ่อนที่ได้พักจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนแบบเงียบสงบไม่ทำอะไรเลย หรือจะเป็นการพักผ่อนที่มีการโยกย้ายเคลื่อนไหวร่างกาย อย่างการเดินทางไปท่องเที่ยว หรือการเล่นกีฬา ซึ่งแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์ที่ตัวเองต้องการ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ควรให้ห้วงเวลาเหล่านั้นเป็นการปล่อยวางโลก พักการคิดเรื่องต่างๆ แล้วเพลิดเพลินในการใช้เวลาไปกับสิ่งที่ชอบได้อย่างแท้จริง
ซึ่งสิ่งที่ทำให้การรีทรีตแตกต่างจากการพักผ่อนหรือท่องเที่ยวแบบทั่วไปคือ การรีทรีตมักเป็นกิจกรรมที่มีการฟื้นฟูปัญญา (Contemplative Practices) ไปด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้หมายถึงการที่ได้กลับมาทบทวนเป้าหมายในชีวิต การได้พิจารณาสิ่งที่เข้ามาในชีวิตทั้งดีและร้ายอย่างถี่ถ้วน รวมถึงได้วางเป้าหมายการใช้ชีวิตในก้าวต่อไปหลังจากที่ได้ทำการสะท้อนย้อนมองตัวเองผ่านการทบทวนสิ่งเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว
เราควรทำกิจกรรมอะไรเป็นการรีทรีต?
การพักผ่อนนั้นเหมือนจะง่าย แต่ก็อาจเป็นสิ่งที่คิดไม่ตกสำหรับใครหลายคนที่ยังนึกภาพไม่ค่อยออก หรือไม่มีงานอดิเรกที่ชอบเป็นพิเศษ แต่วันนี้เรามีวิธีการรีทรีตดีๆ มาแนะนำ
1. พักใจด้วย ‘การนอนหลับ’ ให้หัวสมองหยุดคิด
ข้อนี้อาจเป็นอะไรที่หลายคนคิดไม่ถึงว่าแค่การนอนหลับก็นับเป็นการรีทรีตได้แล้วหรือ ซึ่งอันที่จริงแล้วนั้นการนอนหลับให้สนิทนี่แหละ เป็นการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจได้ดีที่สุดรูปแบบหนึ่ง
ลองปล่อยใจนิ่งๆ ในห้องนอนที่สงบและอบอุ่น ปล่อยกายไปกับเตียงนอนนุ่มๆ แล้วค่อยๆ หลับตา ปล่อยให้ห้วงนิทราพัดพาร่างกายและหัวใจเราไปด้วยการหลับไหลไม่ฝัน
2. หันกลับมาดูแลร่างกายตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย หรือกระทั่งอะไรง่ายๆ เช่น การนวดกล้ามเนื้อ ก็เป็นสิ่งที่ช่วยผ่อนคลายให้กับตัวเองได้เช่นกัน
3. ให้ลมหายใจและธรรมชาติช่วยพัดพา
คุณเชื่อไหมว่า เพียงแค่การถอดรองเท้าแล้วเดินบนผืนหญ้าก็เป็นการที่ทำให้เรากลับมาตั้งสติและระลึกถึงปัจจุบันขณะได้
หรือกระทั่งการจัดทริปเที่ยวใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการไปยังหนแห่งที่ไหน ในทุกการเดินทางมักแฝงด้วยข้อคิดและปรัชญาชีวิตที่เราอาจคิดไม่ถึงอยู่เสมอ
หรือจะเป็นวิธีอื่นๆ ก็ได้เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ชอบและความสบายใจของแต่ละคนว่าชอบอะไร อยากทำแบบไหน
‘การรีทรีตเปรียบเสมือนการเก็บกวาดบ้านครั้งใหญ่ในรอบปี’
ประโยคนี้ยังคงใช้ได้จริงเสมอ
ดังนั้น ในห้วงยามส่งท้ายสิ้นปีเช่นนี้ เราจึงอยากชวนทุกคนมาพักผ่อนเพื่อสะท้อนย้อนมองตัวเองในปีที่ผ่านมา แวะชาร์จแบตเตอรีสักหน่อย ก่อนจะเข้าสู่บทถัดไปของชีวิต เพื่อให้ร่างกายที่ใช้มาอย่างยาวนานได้พัก และจิตใจที่สะบักสะบอมได้ผ่อนลง ก่อนที่รวบรวมพลังเพื่อไปต่ออีกครั้งในปีหน้า
ที่มา:
https://www.educathai.com/knowledge/articles/592
https://lifeteen.com/10-reasons-need-go-retreat-year/
https://www.rivendellretreatcentre.com/what-is-a-retreat
https://www.sciencedaily.com/releases/2017/03/170323083623.htm