จากบทความชุด“เมื่อพ่อแม่เขียนโลกให้ลูก”: สำรวจวรรณกรรมผ่านสายตาของ 6 นักเขียนที่เปลี่ยนความเป็นพ่อแม่ให้กลายเป็นเรื่องเล่าอันเป็นนิรันดร์
“สิ่งสำคัญที่ผมอยากให้ลูกได้รู้คือ โลกนี้สวยงาม แต่อาจซับซ้อน และพ่อจะอยู่ข้างลูกเสมอ” — Oliver Jeffers
Oliver Jeffers อาจเป็นที่รู้จักในฐานะนักวาดหนังสือภาพผู้มีลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ แต่สำหรับลูกของเขา เขาคือพ่อคนหนึ่งที่พยายามอธิบายโลกที่เต็มไปด้วยทั้งความสวยงามและความเปราะบาง ผ่านรูปภาพ คำพูด และความเงียบระหว่างบรรทัด
เมื่อศิลปินกลายเป็นพ่อ
Jeffers เป็นศิลปินหลากสื่อชาวไอร์แลนด์เหนือที่เติบโตในบรรยากาศของความขัดแย้งทางการเมืองและศาสนา แต่ย้ายไปใช้ชีวิตในนิวยอร์กในฐานะศิลปินร่วมสมัย เมื่อเขากลายเป็นพ่อ ความคิดเรื่อง “การสื่อสาร” กลายเป็นสิ่งที่เขาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะกับเด็กทารกที่ยังพูดไม่ได้
เขาจึงเขียนหนังสือ Here We Are: Notes for Living on Planet Earth ให้ลูกชายเล็ก ๆ ของเขา หนังสือที่ไม่ใช่นิทานในความหมายดั้งเดิม แต่คือคู่มือการมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้
การอธิบายโลกให้คนที่เพิ่งมาเยือน
Here We Are คือบทสนทนาอย่างนุ่มนวลระหว่างพ่อกับลูก เป็นการอธิบายว่า โลกใบนี้มีผู้คนมากมาย สัตว์หลายชนิด ความอบอุ่น ความโหดร้าย และความรับผิดชอบ Jeffers เขียนราวกับจะบอกว่า “โลกนี้อาจซับซ้อน แต่หนูก็จะไม่อยู่คนเดียว”
การเลือกใช้โทนภาพที่นุ่ม สีน้ำที่ล่องลอย และมุมมองที่กว้าง เปิดเผยจิตวิญญาณของศิลปินที่ใช้ศิลปะเป็นภาษารักกับลูกชาย และเป็นจดหมายถึงผู้ใหญ่ว่า “อย่าลืมว่าเด็ก ๆ เพิ่งมาถึงโลกนี้ พวกเขากำลังเรียนรู้จากเราอยู่”
ตัวละครในฐานะความรู้สึกของพ่อ
ในหนังสือก่อนหน้านั้น เช่น Lost and Found หรือ The Way Back Home Jeffers มักเล่าเรื่องของเด็กชายที่เดินทางไปยังสถานที่ห่างไกล พบเพื่อนแปลกหน้า และเรียนรู้เรื่องสำคัญบางอย่าง ทั้งหมดล้วนสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูก และความพยายามของผู้ใหญ่ที่จะเข้าใจเด็กที่ยังอธิบายโลกของตัวเองไม่ได้
ตัวละครของ Jeffers มักไร้ชื่อ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนสามารถเป็นตัวละครนั้นได้ เรื่องเล่าของเขาจึงไม่ผูกอยู่กับวัฒนธรรมใด แต่กลายเป็นภาษาสากลของความรู้สึก
โลกในสายตาเด็กที่ผู้ใหญ่ลืมไปแล้ว
Jeffers เชื่อว่าเด็ก ๆ มองโลกด้วยความเปิดกว้าง และภารกิจของผู้ใหญ่ไม่ใช่การสอนโลกให้เด็กเข้าใจ แต่คือการเปิดทางให้เด็กได้รักษามุมมองนั้นไว้นานที่สุด
เขาเล่าว่าการวาดภาพร่วมกับลูก ทำให้เขาเข้าใจความสำคัญของการไม่เร่งรีบ และการยอมให้ความคิดลื่นไหลโดยไม่ตัดสิน นี่คือวิธีที่เขากลับไปสู่จิตวิญญาณของการเป็นศิลปิน ไม่ใช่เพื่อสร้างงานให้ใครชม แต่เพื่อเชื่อมโยงกับใครบางคนที่เรารัก
หนังสือภาพในฐานะพิธีกรรมแห่งการเติบโต
Jeffers มองหนังสือภาพว่าไม่ใช่แค่การเล่าเรื่อง แต่คือพิธีกรรมแห่งความใกล้ชิด การอ่านนิทานให้ลูกฟังคือการสร้างช่วงเวลาที่พ่อแม่กับลูกมีภาษาเดียวกัน ภาษาแห่งความสนใจ ความใส่ใจ และความรักที่ไม่ต้องการคำตอบ
Oliver Jeffers จึงไม่ใช่แค่ศิลปินที่มีภาพลายเส้นเฉพาะตัว แต่เป็นพ่อที่ใช้ศิลปะเป็นสะพานระหว่างโลกของผู้ใหญ่กับโลกของลูก และทำให้เราทุกคนเห็นว่า นิทานไม่ใช่แค่สิ่งที่เราให้ลูกอ่าน แต่คือของขวัญที่เรามอบให้กัน เพื่อบอกว่า “พ่ออยู่ตรงนี้นะ”