13 ปี Patani Art Space กับบทสัมภาษณ์ ผศ.เจะอับดุลเลาะ เจ๊ะสอเหาะ
ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยกำแพงแห่งความเข้าใจผิด มีพื้นที่แห่งหนึ่งที่กลายเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างผู้คนจากหลากหลายพื้นเพ ผศ.เจะอับดุลเลาะ เจ๊ะสอเหาะ ได้สร้าง Patani Artspace ขึ้นในปี 2012 ไม่ใช่เพียงเป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะ แต่เป็นสถานที่ที่ศิลปะกลายเป็นภาษากลางในการสื่อสาร

“การก่อตั้ง Patani Artspace เกิดขึ้นจากความเชื่อว่าศิลปะสามารถเป็นสื่อกลางให้คนได้มาเจอกัน” อ.เจะอับดุลเลาะเล่าถึงจุดเริ่มต้น “เมื่อคนได้มาเจอกัน พวกเขาจะได้คุยกันในเรื่องต่างๆ มากกว่าเรื่องศิลปะ มันกลายเป็นพื้นที่สำหรับการสร้างความเข้าใจและมิตรภาพ”
การเป็นพื้นที่ศิลปะแห่งแรกในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทำให้ Patani Artspace มีบทบาทพิเศษในการเชื่อมโยงศิลปินและชุมชน “เราพยายามสื่อสารความคิดผ่านภาษาศิลปะ เพื่อให้เกิดการตระหนักและความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น”
ศิลปินผู้สร้างบทสนทนาแห่งอาเซียน กำลังมาเยือนงาน Art Collective Festival: การเชื่อมต่อศิลปินแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในปีนี้ Patani Artspace กำลังจะจัด Art Collective Festival ที่จะนำศิลปินนักเคลื่อนไหวจากทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาร่วมงาน โดยมี Taring Padi จากอินโดนีเซียเป็นแขกพิเศษ
Taring Padi คือกลุ่มศิลปินจากยอกยาการ์ตา อินโดนีเซีย ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1998 ท่ามกลางช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของประเทศ พวกเขาไม่ใช่แค่ผู้สร้างงานศิลป์ แต่คือผู้ร่วมบันทึกเรื่องเล่าของผู้คนธรรมดาในช่วงเวลาที่เสียงของใครหลายคนยังไม่อาจเอื้อนเอ่ย งานศิลปะของ Taring Padi เต็มไปด้วยพลังของการเล่าเรื่อง ทั้งโปสเตอร์ไม้แกะ หุ่นกระดาษ และภาพพิมพ์ที่ร่วมมือกันสร้างขึ้นในชุมชน เปรียบเสมือนกระบอกเสียงให้กับแรงงาน เกษตรกร เยาวชน และผู้ที่ถูกหลงลืมจากสังคม ชื่อของพวกเขา “Taring Padi” หรือ “เขี้ยวข้าว” อาจฟังดูแหลมคม แต่กลับสะท้อนถึงพลังเงียบของผู้คนที่หยั่งรากลึกในผืนดิน และผลิบานด้วยศรัทธาในความเปลี่ยนแปลงอย่างมีหวังและถ่อมตน
“ผมมีความคิดนี้มานานพอสมควรแล้ว ผมอยากจะให้เห็นผลที่ชัดระหว่างตัวศิลปินที่ทำงานกับสังคมจริงๆ ว่าใน Southeast Asia มันมีกลุ่มไหนบ้าง” เขาอธิบายด้วยความตื่นเต้น

การได้พบกับ Taring Padi ทำให้เขาประทับใจอย่างมาก “ผมไปหาเขาถึงที่เลย ไปเล่าว่าตัวเองว่าเราคือใคร อะไรยังไง เค้าฟังแล้วก็ดูเค้าตกใจ เพราะว่า สิ่งที่เราทำนี่มันใหญ่กว่าเค้ามากเลย เค้าบอกอย่างนั้นนะ” เขาเล่าด้วยรอยยิ้ม “ผมบอกพวกเขาว่า สิ่งที่เราทำมัน ไม่ได้ใหญ่อะไร คือเราก็ทำด้วยความมุ่งมั่น เค้าชอบเลย เค้าตกลงปลงใจทันที อยากมา และอยากรู้จักปัตตานีด้วย”
นอกจาก Taring Padi แล้ว ยังมี Pangrok Sulap จากซาบะฮ์ มาเลเซีย ที่เป็นกลุ่มศิลปินข้ามสาขาที่ใช้ศิลปะช่วยเหลือชุมชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน “กลุ่มเค้าไม่ได้เรียนศิลปะมาเลย บางคนจบบัญชี จบคอมพิวเตอร์ จบวิศวะ แต่มาทำศิลปะ เค้าก็เลยเอาความรู้ความสามารถตรงนั้น บางคนเป็นช่างไฟฟ้า ทำกังหันสูบน้ำ ผมเห็นแล้วผมแฮปปี้มากเลย ตื่นเต้น”
งานที่จะแสดงครั้งนี้จะทำในรูปแบบเดียวกันคือ woodcut print สองกลุ่มนี้เค้าเก่งในเรื่องของการแกะสลักไม้ Taring Padi ถือว่าเป็นต้นแบบของใน Southeast Asia ทำภาพพิมพ์จากการแกะไม้ สมัยก่อน เวลาในยุคสมัยที่ไม่มีเครื่องปริ้นท์ การประท้วงในทั่วโลก ซึ่งมันต้องทำสิ่งพิมพ์อย่างรวดเร็ว เค้าจะใช้วิธีการแกะ woodcut แล้วก็ทำเป็นโปสเตอร์แบบด่วน เหยียบๆๆๆ ส่งแล้วก็ติดโปสเตอร์ มันเป็นวิธีการที่เร็วและสะดวก ศิลปินก็เลยมีบทบาท Miro’ (Joan Miró : จิตรกรและประติมากรชาวสเปน) ก็เหมือนกันนะ
เมื่อใจใหญ่กว่าทุน แรงกายแข็งแกร่งกว่าอุปสรรค
การอยู่รอดมา 13 ปีในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย อ.เจ๊ะเล่าถึงสูตรความสำเร็จของเขา “ผมใช้ปัจจัยทางจิตวิญญาณ 3 หลัก อันดับ 1 คือใจ แรงใจนี่สำคัญที่สุดเลย ถ้าไม่มีใจทำอะไรไม่ได้ ต่อให้มีทุน มีกำลังแรง มีกำลังคน แต่ไม่มีใจ ไม่มีทางทำได้”

“อันดับ 2 คือแรงกาย มีใจแล้ว แรงกายมาซัพพอร์ต ถึงแม้ว่าเราไม่มีทุน แต่กายนั้นแหละ ไม่แปลกว่าเราทำอาคารเอง ทำอะไรเอง เราไม่ต้องใช้เงินเยอะ” เขาพูดพร้อมชูหมัดแสดงความมุ่งมั่น
“ส่วนลำดับที่สามก็คือทุน ซึ่งมันมาทีหลัง สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่มีมัน เราก็เดินต่อได้ อาจจะช้า อาจจะเล็ก แต่มันได้ขยับ”
“แต่เมื่อไหร่มันมีคอลเลคเตอร์มาสะสม นายทุนบางคนที่เค้าเห็นว่าเราทำอย่างนี้แล้วอยากสนับสนุนพวกเรา เราก็จะทำได้เลย ขับเคลื่อนได้เลย ตอนนี้ยังไม่ได้มีมาก หลายคนก็ถอนตัวไป แต่ก็ถือว่ามีเพื่อนๆ ที่มีน้ำใจ เราเรียกพวกเขาว่า ‘สหกรณ์เพื่อนรัก’ (หัวเราะ) ก็คือคนที่อยากเห็นพื้นที่แบบนี้ แล้วสนับสนุน บางคนก็สนับสนุนเงินจะมาจะน้อยก็ให้ มีพื้นที่ก็ให้ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมปลื้ม และรู้สึกขอบคุณอยู่เสมอ”
พื้นที่ที่ใช้ ‘ศิลปะ’ สร้าง ‘คน’
ฃหนึ่งในภารกิจสำคัญของ Patani Artspace คือการเป็น “พื้นที่สร้างคน” ซึ่งแตกต่างจากสถาบันการศึกษาทั่วไป อ.เจะอับดุลเลาะมองว่าการศึกษาในระบบยังขาดตัวเชื่อมสำคัญ

“จริงๆ แล้ว สถาบันการศึกษาในปัจจุบันสร้างองค์ความรู้มากกว่า ไม่ค่อยสร้างคน แต่ความรู้มันก็จะนำไปสู่การสร้างคนนะ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี แต่คนก็ต้องมีประสบการณ์จากนอกมหาวิทยาลัย นอกสถาบันการศึกษา นั่นก็คือพื้นที่ คือสเปซที่ช่วยกันสร้างคน ผมว่าอันนี้สำคัญมากเลย”
ความรับผิดชอบของการเป็นครูที่แท้จริง
การเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในสายตาของเขาไม่ใช่แค่การถ่ายทอดความรู้ แต่เป็นการรับผิดชอบต่อชีวิตของนักเรียน “ผมคิดว่า คนที่เป็นครูบาอาจารย์ มันต้องมีหน้าที่ในการรับผิดชอบตรงนี้ด้วย ไม่ใช่ให้ความรู้อย่างเดียว แต่ต้องให้ชีวิตกับเค้าด้วย”
“ถ้าเราอยากให้เค้าเป็นศิลปิน แล้วถ้าเค้าเป็นศิลปินแล้วปากท้องเค้าไม่มี คนเป็นอาจารย์จะทำยังไง จะช่วยยังไง ความรับผิดชอบเหล่านี้อยู่กับใคร เราอยากมีศิลปิน เราสอนอย่างเดียวแต่เขาไม่อาจเป็นศิลปินได้ ใครจะรับผิดชอบ ตอนนั้นผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นความรับผิดชอบของอาจารย์ที่ได้เงินเดือนในแต่ละเดือนจากมหาวิทยาลัยไหม”

เขาเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวที่หล่อหลอมแนวคิดนี้ “มันอาจจะเป็นเพราะ ผมเคยลำบากมาก่อน ผมเรียนหนังสือ ผมต้องหาเงินเองตั้งแต่ประถม มัธยม มหาลัย ผมเลยรู้ว่าความลำบากมันเป็นยังไง ผมเลยเข้าใจเด็กๆ ที่ผมสอนอยู่ตอนนี้ เพราะคนเรียนศิลปะไม่ใช่คนรวย คนลำบากทั้งนั้น กู้ กยศ. กันทั้งนั้น ชีวิตลำบาก เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ ผมเลยเข้าใจว่า การมีระบบหรือมีพื้นที่ช่วยเหลือพวกเขานั้นสำคัญมาก แล้วต้องดูแลได้ทันทีหลังจากที่เค้าเรียนจบ”
จากการสอนสู่การให้พื้นที่สร้างชีวิต
“ในฐานะที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่มีเงินเดือนประจำ หลายๆคนอาจจะจินตนาการไปไม่ถึง ในเรื่องของความยากลำบากของการดำเนินชีวิตที่จะเป็นศิลปิน เราอาจจะสอนให้เขาทำงานศิลปะให้ดี ให้มีคุณภาพ ให้มีพลัง แต่มากไปกว่านั้นคือการอยู่รอดในสังคมที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งในมิติของความเป็นศิลปินชายขอบที่โอกาสมักเข้ามาไม่ถึงจากส่วนกลาง มิติของเศรษฐกิจที่จะมาสนับสนุนการเป็นศิลปินอิสระและสร้างความมั่นคงในชีวิต ต่อให้เราทำงานหนักและมีคุณภาพมากแค่ไหน มันก็ไม่ง่ายที่จะดำรงชีวิตบนพื้นฐานของการที่เราห่างไกลจากศูนย์กลางของอำนาจจากส่วนกลาง”

นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจสร้าง Patani Artspace ขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ที่จะช่วยเหลือเด็กๆ และสร้างคน สร้างศิลปิน ให้สามารถทำงานศิลปะได้ “ผมมองว่าการที่ผมมาทำ อาร์ตสเปซนี่แหละ จะเป็นช่องทางนึงที่ อย่างน้อยที่สุด อาจจะทำให้เด็กที่เรียนศิลปะที่นี่อยู่รอดแบบมีปากท้องอิ่มประมาณนึงนะ ไม่ได้แบบรวย แต่อย่างน้อยระหว่างทางนั้นที่เค้าไม่มีอะไรจับต้องได้ เกาะเกี่ยวบางอย่างไปได้ เราดูแลเค้าได้”
“ผมบอกทุกคนว่า ใครอยากทำงานศิลปะให้มาอยู่ที่นี่ คุณมีข้าวให้กิน คุณมีที่หลับที่นอน มันอาจจะไม่สบายเพอร์เฟค แต่เราก็ลำบากด้วยกัน ทุกคนก็แลกกัน ในความหมายก็คือ เค้ามาอยู่ เค้าก็ช่วยผม เราก็ช่วยกัน เราให้เขาทำอะไร ผมก็ทำ ขุดหลุม กวนปูน ผสมปูน คือเราทำด้วยกันทั้งหมด เราเสมอภาคกัน”
ความหมายของการสร้างคนอย่างแท้จริง
อาจารย์เจ๊ะอธิบายความแตกต่างระหว่างการให้ความรู้กับการให้ชีวิต “ชีวิตที่เราช่วยเด็ก ๆ ที่เขากำลังสร้างตัว ใน Patani Art Space นี่ ไม่ได้หมายถึงเป็นชีวิตที่แบบ กินอาหารอะไรอย่างเดียว อิ่มท้องอย่างเดียว หรือแค่มีเงิน แต่มันเป็นชีวิตที่เค้าได้ทำงานที่เค้าอยากจะทำ ได้พูดในสิ่งที่เค้าอยากจะพูด ได้เชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเขา ไม่ใช่แค่ทางกายภาพ แต่มันคือทางจิตวิญญาณด้วย อันนั้นถึงเรียกว่าชีวิต”

“ชีวิตและองค์ประกอบมันมีสองอย่างเอง ทางกายภาพกับทางจิตวิญญาณ ร่างกายและ จิตใจ มันแค่นั้นเอง พอพูดถึงชีวิตนี่มันองค์ประกอบมันหลายอย่าง ความรู้มันแค่เรื่องเดียว บางคนความรู้เต็มหัวแต่เอาตัวไม่รอด ก็มี มีความรู้ แต่จัดการไม่ได้ก็มี เพราะฉะนั้นการให้ชีวิตนี่แหละ ที่สำคัญ การสร้างคนก็คือการสร้างชีวิตที่มี กายภาพ จิตใจ และจิตวิญญาณ”
ผลจากการทำงานในรูปแบบนี้ การใช้ศิลปะในการสร้างคน อาจารย์เจ๊ะเล่าว่า มีเด็กหลายคนที่กลับมาหาเขาเมื่อโตขึ้น “บางคนกลับมาเป็นอาสาสมัคร บางคนมาเรียนต่อที่คณะศิลปะ บางคนไม่ได้เป็นศิลปิน แต่เขาไปใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์ในงานของเขา สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมรู้ว่า การปลูกเมล็ดพันธุ์ความหวังผ่านศิลปะ มันได้ผลจริง”
ศิลปะกำลังสะท้อนอะไรในดวงตาของเด็กสามจังหวัดชายแดนใต้
การทำงานกับเด็กๆ ทำให้อ.เจ๊ะได้เห็นผลกระทบของสถานการณ์ต่อจิตใจเด็กอย่างใกล้ชิด และนี่คือช่วงเวลาที่เขารู้สึกสะเทือนใจที่สุดในการทำงาน
“สิ่งที่ผมสะเทือนใจที่สุด เวลาทำกิจกรรมกับเด็กๆ เวลาให้วาดรูป เวลาให้แสดงออก มันจะมีประเด็นเรื่องของความรุนแรงอยู่ในนั้นด้วย มันกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับเค้า เขียนเฮลิคอปเตอร์ เขียนรถถัง เขียนปืน เขียนคนตาย เขียนด่าน เขียนลวดหนาม”

“สิ่งเหล่านี้ เด็กไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องแปลกหรือผิดปกติ เพราะสำหรับเขาแล้ว นี่คือชีวิตประจำวัน เขาเติบโตมากับมัน มันเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำในวัยเด็กของเขา”
เขาพูดต่อด้วยความเศร้าใจ “นี่มันกลายเป็นเป็นเรื่องปกติสำหรับเค้า แต่มันไม่ปกติสำหรับเรา มันไม่ควรเป็นอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่เราเห็นผลลัพธ์จากเด็กๆ ที่เค้าแสดงออก ก็เพราะสิ่งแวดล้อม ที่มันมีอยู่ที่นี้ ศิลปะมันเลยเป็นเครื่องมือให้เขาสะท้อนสิ่งเหล่านี้ออกมา”
การค้นพบนี้ทำให้เขาเข้าใจถึงพลังของศิลปะในฐานะเครื่องมือสะท้อนความจริงของสังคม เด็กๆ เหล่านี้ไม่ได้ตั้งใจจะวาดภาพสงคราม แต่มันเป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของพวกเขา ที่ได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา
“ผมถึงรู้ว่าศิลปะมันเป็นกระจกที่สะท้อนความจริงของสังคมได้ดีที่สุด ไม่ต้องให้ใครสั่งหรือบอก เด็กๆ จะวาดในสิ่งที่เขาเห็น ในสิ่งที่เขารู้สึก และนั่นคือความจริงที่เจ็บปวดของสังคมเรา”
บทบาทของศิลปะในการบำบัดจิตใจ
การค้นพบนี้ทำให้อาจารย์เจ๊ะเปลี่ยนแนวทางในการทำงานกับเด็ก “ผมเริ่มใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการบำบัด ไม่ใช่แค่สอนเทคนิค แต่เป็นการให้เด็กได้ระบายความรู้สึก ได้แสดงออกในสิ่งที่อยู่ข้างในใจ แล้วเราค่อยๆ ช่วยเขาทำความเข้าใจกับความรู้สึกเหล่านั้น”
“เราไม่ได้ห้ามเด็กวาดสิ่งเหล่านี้ แต่เราพยายามเพิ่มมิติใหม่ให้เขา ให้เขาได้เห็นว่า นอกจากสิ่งที่เขารู้จักแล้ว ยังมีโลกอื่นๆ ที่สวยงาม มีความหวัง มีสันติภาพ”

เขายกตัวอย่างกิจกรรมหนึ่งที่ประทับใจ “มีครั้งหนึ่ง เรามีเด็กคนหนึ่งวาดรูปครอบครัว แต่ในภาพมีเฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือหัว เราเลยถามเขาว่า ‘ถ้าไม่มีเฮลิคอปเตอร์ อยากให้มีอะไรบนท้องฟ้าแทน?’ เด็กคิดแป็บนึง แล้วเอาสีมาทาเป็นเมฆ เป็นนก เป็นว่าว ภาพเดียวกันนั้นก็ดูสงบและสวยงามขึ้นมาก”
ศิลปะเป็นเครื่องมือสร้างความหวัง
“ผมเชื่อว่าถึงแม้เด็กจะเติบโตมากับสภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่ถ้าเราให้พวกเขาได้สัมผัสกับมิติอื่นๆ ของชีวิต ผ่านศิลปะ พวกเขาจะมีทางเลือกมากขึ้น พวกเขาจะเข้าใจว่า ชีวิตไม่ได้มีแค่ความรุนแรง แต่มีความงาม มีสีสัน มีความหวัง”
“นี่คือเหตุผลว่าทำไมการทำงานศิลปะกับเด็ก ถึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเราไม่ได้แค่สอนศิลปะ แต่เราปลูกฝังความหวัง เราเปิดโลกใหม่ให้พวกเขา แล้วอนาคตของสังคมจะเปลี่ยนไปได้”
อย่าพึ่งเข้าใจไปเอง : มาคุยกันก่อน
Mappa ถามถึงความเข้าใจผิดต่อพื้นที่ และการรวมตัวกันของศิลปินที่ Patani Artspace ซึ่งมีแน่นอนในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งเช่นนี้ นี่คือคำตอบจากอาจารย์เจ๊ะ
“การจินตนาการเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับมวลมนุษยชาติ เป็นเรื่องที่ควรจะเกิด ควรจะเป็น แต่การจินตนาการไปสู่ทิศทางให้เกิดความขัดแย้ง มันจะกลายเป็นอาวุธ ทำลายล้างสังคมทันทีเลย”
“บางครั้งมีคนเข้าใจผิดว่าพื้นที่นี้เป็นแหล่งสร้างความรุนแรง เพราะเราทำงานศิลปะที่สะท้อนปัญหาสังคม คนก็เลยคิดไปเองว่าเราส่งเสริมความขัดแย้ง”
“ความจริงแล้ว เราทำตรงกันข้าม เราใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจ สร้างบทสนทนา แต่คนที่ไม่ได้มาดูด้วยตัวเอง คนที่ได้แต่ฟังข่าวลือ ก็จะเข้าใจผิดไป”
เขาเน้นถึงความสำคัญของการสื่อสาร “มาคุยกันก่อน ถ้าไม่มีการสร้างบทสนทนาระหว่างกัน คุณจะคิดไปเอง เหมือนในโซเชียยลมีเดีย ถ้าเราเห็นอะไร เราเชื่อไปตามนั้นได้เลย โดยที่ไม่ได้ไปถามเค้าเลยว่าอะไรเป็นยังไงแบบไหนได้เลยเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นมีคนไม่ดีเอาไปโพสต์ แล้วมันก็เกิดการใส่ร้ายไป กลายเป็นวงใหญ่ ทำให้สังคมวุ่นวายเลย”
เปิดบ้านเปิดใจและพูดคุยกัน : สูตรการแก้ปัญหา
“ผมว่า พอคุณเห็นงานศิลปะ เห็นบางชิ้นงานแล้วเริ่มตีความ อยากให้คุยก่อน แลกเปลี่ยนกันก่อน ถามกันก่อนว่า ศิลปินหมายถึงอะไร หลายครั้งมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ศิลปะมันเปิดพื้นที่การพูดคุย มันมีการตีความได้มากมายจากภาพ สงสัยอะไรให้คุยก่อน อย่าเพิ่ง action อย่าตัดสินใจเองก่อน นั่งลง คุยกันก่อน”
เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด อ.เจะอับดุลเลาะได้กำหนดนโยบาย “เปิดบ้าน” ของ Patani Artspace “มีหลายครั้งที่คนที่เคยเข้าใจผิด พอมาดูด้วยตาตัวเอง มาคุยกับเรา กลับกลายเป็นคนที่เข้าใจและสนับสนุนงานของเรา เพราะเขาได้เห็นความจริง ได้เห็นเจตนาที่แท้จริงของเรา”
“คนเราพอได้คุยกันมันจะเปลี่ยนอารมณ์ พอได้เจอหน้าและสนทนากัน ถึงแม้ว่าจะคิดต่าง แต่เมื่อไหร่หันหลังให้กัน อยู่คนละฟากคนละฝั่ง ไม่ได้เจอกัน พร้อมใส่ร้าย ป้ายสี พร้อมด่าตลอดเวลาเลย”

“แต่พอเจอกัน ผมว่าเค้าคงเจอกันปั๊บไม่ถูกกันต่อยเลย ไม่มีทาง สัญชาตญาณของมนุษย์ เจอกันมันต้องสนทนาก่อน ไม่ใช่ อยู่ๆ ต่อยเลย ไม่ใช่ อยู่ๆ ยิงเลย มันต้องสืบสาวราวเรื่องก่อน พอสืบสาวราวเรื่อง มันได้มีโลจิกของแต่ละคนได้มาแลกเปลี่ยนกัน”
เขาสรุปด้วยข้อความที่เต็มไปด้วยความหวัง “เพราะฉะนั้นหน้าที่ของสเปซ หน้าที่ของงานศิลปะ หน้าที่ของศิลปินในที่นี้ ที่ผมบอกว่าผลลัพธ์ของมันคือการทำให้คนได้มาเจอกัน เปิดบทสนทนากัน สร้างไดอะล็อกกันและกัน อันนี้สำคัญมากเลย”
พื้นที่แห่งสันติภาพ ไม่ใช่ความรุนแรง
“ความจริงแล้ว Patani Artspace นี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่ง คนที่มาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากไหน เชื่ออะไร พวกเขาจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ได้มีพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยน”
“เราไม่เคยสอนใครให้เกลียดใคร ไม่เคยสอนใครให้ใช้ความรุนแรง เราสอนให้คิด ให้ตั้งคำถาม ให้มองหาทางออกด้วยสันติวิธี นี่คือสิ่งที่เราทำจริงๆ”
สะพานแห่งความหวัง
อาจารย์เจ๊ะ สรุปปรัชญาการทำงานของเขาไว้ “เราอาจจะเป็นจิ๊กซอว์เล็กๆ แต่มันก็เป็นเฟืองนึง ที่จะไปช่วยซัพพอร์ตสังคม มันอาจจะเป็นชนวนนึงที่ปลุกจิตของผู้คนที่ไม่ใช้ความรุนแรง แต่ก็ไม่นิ่งเฉย และทำให้เกิดความยุติธรรมในสังคม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ด้วยวิถีของการทำงานศิลปะที่เป็นเชื้อชนวนให้เค้าได้คิดได้ตระหนัก”

“ผมคิดว่าเชื้อเล็กๆ แต่มันมีความหมาย มีคุณค่า มันก็สามารถส่งผลไปถึงภาพใหญ่ได้”
การทำงานของ Patani Artspace ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงพลังของศิลปะในการสร้างสะพานเชื่อมต่อระหว่างผู้คนที่มีความเห็นต่าง ไม่ใช่เพื่อหาผู้ชนะหรือผู้แพ้ แต่เพื่อสร้างความเข้าใจและเปิดพื้นที่สำหรับการสนทนา
ในบริบทของพื้นที่ชายแดนใต้ที่เผชิญกับความขัดแย้งมายาวนาน Patani Art Space ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าศิลปะสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างสันติภาพ ไม่ใช่ผ่านการเผชิญหน้าโดยตรง แต่ผ่านการสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับการแสดงออกและการพบปะ
พวกเรา Mappa หวังว่าในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย มีความขัดแย้งหรือไม่มีก็ได้ แต่ศิลปะแบบนี้จะยังคงได้แสดงออกถึงคุณค่าและศักยภาพของมันอย่างเต็มที่ และหนึ่งในนั้นคือการปลูกสันติภาพในใจผู้คน ดั่งที่ Patani Art Space ได้ริเริ่มเอาไว้
เรื่อง : กองบรรณาธิการ Mappa
ภาพ: ณภัทร นิธิอุทัย