เล่มเดิมทุกคืน ไม่ใช่เพราะอ่านแล้วลืม แต่อยากให้อ่านเพราะรัก
“อ่านอีกสิ แม่! อ่านอีกที”
“ป๊าาาา ขออีกรอบได้ไหม”
เป็นประโยคที่พ่อแม่มักได้ยินหลังอ่านนิทานเล่มเดิมไปแล้วร้อยครั้ง และเรามักสงสัยว่าทำไมเด็กถึงไม่เบื่อ ทำไมเขาไม่อยากฟังเรื่องใหม่ ทำไมเขาไม่จำเนื้อเรื่องเสียที เพราะเราคิดว่าเขาฟังเนื้อเรื่อง แต่ความจริงแล้ว เขาไม่ได้ฟังแค่เนื้อเรื่อง
เขากำลังฟัง “พ่อคนนี้” และ “แม่ในแบบวันนี้” เขากำลังฟังแม่ที่เหนื่อยแต่ยังนั่งอ่านให้ฟัง ฟังพ่อที่วันนี้ว่างมาก เลยอ่านช้า ๆ และหัวเราะกับตัวละครในเรื่อง ฟังแม่ที่วันนี้เศร้า เลยมีช่วงเงียบในตอนที่เรื่องเศร้าด้วย เขาฟังความรู้สึกที่แปรเปลี่ยนของแม่ผ่านเสียงอ่าน ผ่านการสัมผัส ผ่านการอยู่ร่วมกันในช่วงเวลานั้น
นิทานอาจเป็นเล่มเดิม แต่แม่และพ่อไม่เคยเหมือนเดิมเลย วันนี้แม่อ่านด้วยเสียงที่แตกต่างจากเมื่อวาน เพราะวันนี้แม่มีอารมณ์ มีเรื่องราว มีความรู้สึกที่แตกต่างจากเมื่อวาน และเด็กกำลัง “ฟังทั้งหมดนั้น” มากกว่าที่เขาฟังเนื้อเรื่อง เขาอาจจะอยากฟังเรื่องราวของตัวละครในหนังสือครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งเขาอยากฟังแม่ในวันนี้ ที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียง ในจังหวะการหายใจ ในความอบอุ่นของอ้อมแขน
เขาฟังแม่ (หรือพ่อ) มากกว่าฟังเรื่อง
เมื่อเราอ่านให้เด็กฟัง เขาไม่ได้แค่ประมวลผลคำพูด เขากำลังดูดซับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในจังหวะนั้น ความอบอุ่นของเสียง น้ำหนักของคำ ความลังเลก่อนจะพลิกหน้า ความตื่นเต้นเมื่อถึงตอนที่เราชอบ ความเศร้าที่แอบแฝงในเสียงของเราเมื่อตัวละครประสบความทุกข์ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดคือข้อมูลที่เด็กรับและเก็บไว้ ไม่ใช่ในความจำ แต่ในความรู้สึก
สัมผัสของอ้อมแขนขณะอ่าน ความนุ่มของตักที่เขานั่งพิง จังหวะการหายใจร่วมกันเมื่อหน้าเรื่องเศร้า การที่เราหยุดพูดเมื่อเขาชี้ไปที่ภาพ การที่เราปรับน้ำเสียงให้ตามอารมณ์ของเรื่อง สิ่งเหล่านี้คือประสบการณ์อารมณ์ที่มากกว่าคำบรรยายใด ๆ เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในระดับที่ลึกกว่าสมอง เกิดขึ้นในระดับของการเชื่อมต่อทางอารมณ์
Daniel Stern เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “attunement” หรือการปรับจูนอารมณ์ระหว่างกัน เมื่อเราอ่านให้เด็กฟัง เราไม่ได้แค่ถ่ายทอดข้อมูล แต่เรากำลังปรับจูนอารมณ์และความรู้สึกของเราให้เข้ากับเขา และในขณะเดียวกัน เขาก็กำลังปรับจูนอารมณ์ของเขาให้เข้ากับเรา การอ่านจึงกลายเป็นการเต้นรำทางอารมณ์ที่ทั้งคู่ร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นมาในทุก ๆ คืน
เด็กจึงไม่ได้ฟังเรื่องราวของกบเขียวที่กระโดดข้ามสระน้ำ เขาฟังเรื่องราวของแม่ที่รักเขาพอที่จะนั่งอ่านหนังสือให้ฟังทุกคืน ฟังเรื่องราวของความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นมาคำต่อคำ หน้าต่อหน้า คืนต่อคืน
วันนี้แม่เหนื่อย ลูกก็ฟังออกจากน้ำเสียง
เด็กเป็นนักฟังที่เก่งที่สุดในโลก เพราะเขาฟังด้วยหัวใจ ไม่ใช่แค่ด้วยหู เมื่อแม่บอกว่า “มาอ่านหนังสือกันไหม” ด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อย เขารู้ทันทีว่าวันนี้แม่ไม่ได้อยากอ่าน แต่อ่านเพื่อเขา เมื่อแม่อ่านด้วยเสียงที่ร่าเริง เขารู้ว่าวันนี้แม่มีความสุข และความสุขนั้นก็แบ่งปันให้เขาด้วย
เราไม่อาจซ่อนความรู้สึกของเราจากเด็กๆ ได้ เพราะเด็กอ่านความรู้สึกของเราได้ชัดเจนกว่าที่เราอ่านหนังสือ เขารู้ว่าเราเครียด แม้เราจะพยายามอ่านด้วยเสียงที่ปกติ เขารู้ว่าเราเศร้า แม้เราจะพยายามยิ้ม เขารู้ว่าเรารีบ แม้เราจะบอกว่าไม่รีบ
แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ เขายังคงอยากให้เราอ่านให้ฟัง ไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้ว่าเราไม่อยาก แต่เพราะเขาต้องการความเชื่อมโยงกับเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพอารมณ์แบบไหน เขาต้องการรู้ว่าเราอยู่ตรงนั้น เขาต้องการรู้ว่าแม้วันนี้เราเหนื่อย เราก็ยังให้เวลาเขา แม้วันนี้เราเศร้า เราก็ยังนั่งข้างเขา
นี่คือสิ่งที่ Harvard Center on the Developing Child เรียกว่า “serve and return” การที่เด็กส่งสัญญาณมา และเราตอบกลับไป แม้การตอบกลับนั้นไม่สมบูรณ์แบบ แม้เราไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เวอชั่นที่เพอร์เฟ็กต์ที่สุด การที่เราพยายามตอบกลับก็เป็นการสื่อสารที่ทรงพลังแล้ว
การอ่านเป็นพิธีกรรมที่เด็กจำได้โดยไม่ต้องพยายามจำ
ยี่สิบปีต่อมา เมื่อเด็กคนนั้นโตเป็นผู้ใหญ่ เขาจะไม่จำว่าในหนังสือเล่มนั้นเขียนว่าอะไร เขาจะไม่จำชื่อตัวละคร ไม่จำเนื้อเรื่อง แต่เขาจะจำได้ว่ามีใครบางคนที่เปิดมันให้ เขาจะจำกลิ่นของผู้ที่อ่านให้ฟัง จำความอบอุ่นของอ้อมแขน จำความรู้สึกปลอดภัยที่เขาเคยมีในช่วงเวลานั้น
การอ่านเป็นพิธีกรรมที่คล้ายกับเพลงกล่อมเด็ก หรือการได้กลิ่นหม้อหุงข้าวหอมๆ ที่บ้าน เป็นสิ่งที่ฝังลึกในความทรงจำทางอารมณ์ เป็นสิ่งที่เด็กจะนำไปใช้เป็นแบบแผนในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นในอนาคต เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะรู้ว่าการให้เวลาคนที่รักเป็นอย่างไร การฟังอย่างตั้งใจเป็นอย่างไร การอยู่เคียงข้างใครสักคนโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทนเป็นอย่างไร
Donald Winnicott เรียกคุณภาพของการดูแลแบบนี้ว่า “good enough mother” ไม่ใช่แม่ที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นแม่ที่ “อยู่” อย่างซื่อตรง ที่พยายามตอบสนอง แม้บางครั้งจะไม่ทันใจ ไม่เพียงพอ หรือไม่สมบูรณ์แบบ การที่เราอ่านให้เด็กฟังด้วยใจที่ตั้งใจ แม้เราจะเหนื่อย แม้เราจะไม่ได้อ่านเก่ง มันคือการ “อยู่” ที่มีคุณภาพ
งานวิจัยของ Perry & Szalavitz ใน “The Boy Who Was Raised as a Dog” ชี้ให้เห็นว่า น้ำเสียงและการมีปฏิสัมพันธ์ที่สม่ำเสมอในช่วงปฐมวัยมีผลต่อการพัฒนาสมองของเด็กอย่างลึกซึ้ง การได้ยินเสียงที่อบอุ่น การได้รับการตอบสนองเมื่อเขาสื่อสาร การรู้ว่ามีใครสักคนที่จะอยู่เคียงข้างเขาอย่างสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้สร้างรากฐานของความปลอดภัยทางอารมณ์ที่เด็กจะใช้เป็นแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ไปตลอดชีวิต
10 นาทีบนตัก อาจเท่ากับการประทับในใจไปตลอดชีวิต
“อ่านด้วยกัน” คือการสื่อสารโดยไม่ต้องพูดว่า “ฉันอยู่ตรงนี้กับเธอ” เป็นการยืนยันความสัมพันธ์โดยไม่ต้องพูดคำว่า “รัก” การนั่งอ่านด้วยกันแม้แค่ 10 นาที โดยไม่เปิดมือถือ ไม่คิดเรื่องงาน ไม่วิ่งไปทำอย่างอื่น คือการประกาศว่า “เวลานี้เป็นของเรา ไม่มีใครมาแย่งได้”
ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวน สิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่เร่งด่วน การที่เราหยุดทุกอย่างแล้วมานั่งอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เป็นการส่งข้อความที่ทรงพลัง เราไม่ได้แค่อ่านหนังสือ เรากำลังอยู่ในโลกใบเดียวกับเขา กำลังบอกเขาว่าเขาสำคัญ เขามีค่า เขาคือคนที่เราเลือกที่จะใช้เวลาด้วย
การอ่านจึงเป็น “serve” หรือ “ให้” ที่เต็มไปด้วยความหมาย และลูกคือผู้รับที่กำลังหัดโต้ตอบ เมื่อเขาชี้ไปที่ภาพ เมื่อเขาถามคำถาม เมื่อเขาขอให้อ่านซ้ำ เขากำลัง “return” หรือ “ตอบกลับ” มาให้เรา เขากำลังบอกเราว่าเขาสนใจ เขาต้องการมากกว่านี้ เขาอยากให้เราอยู่ต่อ
งานวิจัยของ Bus et al. (1995) และ Sénéchal & LeFevre (2002) เกี่ยวกับ shared reading พบว่า การอ่านร่วมกันอย่างสม่ำเสมอไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน แต่ยังช่วยสร้างความผูกพันระหว่างผู้ปกครองและเด็ก การที่เด็กมีประสบการณ์เชิงบวกกับการอ่านในช่วงแรกของชีวิต จะส่งผลต่อทัศนคติที่เขามีต่อการอ่านไปตลอดชีวิต
ความรักในหนังสือ เริ่มจากความรักในเสียงของแม่
สำหรับเด็กเล็ก หนังสือเล่มโปรดไม่ใช่เล่มที่มีเนื้อหาดี มีภาพสวย หรือมีข้อคิดลึกซึ้ง หนังสือเล่มโปรดคือเล่มที่ใครสักคนอ่านให้ฟัง เป็นเล่มที่มีความทรงจำร่วม เป็นเล่มที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความอบอุ่น และช่วงเวลาที่มีคุณค่า
ความผูกพันกับหนังสือจึงไม่ใช่เรื่อง “เนื้อหา” แต่คือ “ความทรงจำร่วม” ความผูกพันกับการอ่านไม่เกิดจากความรู้ที่ได้รับ แต่เกิดจากความรักที่ได้รับ เด็กที่รักหนังสือคือเด็กที่เคยได้รับความรักผ่านหนังสือ เด็กที่ชอบอ่านคือเด็กที่รู้สึกว่าได้รับการดูแลในขณะที่ใครสักคนอ่านให้ฟัง
และถ้าเราอยากให้ลูกผูกพันกับการอ่าน เราต้องเริ่มจากการ “ผูกพันกับลูกผ่านการอ่าน” ก่อน เราต้องทำให้การอ่านเป็นช่วงเวลาแห่งความรัก ความอบอุ่น และความใกล้ชิด มากกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้หรือการสอน
หนังสือที่ดีคือเล่มที่เรายังอยู่ตรงนี้เสมอ
ในที่สุด หนังสือที่ดีที่สุดไม่ใช่หนังสือที่มีเนื้อหาดีที่สุด แต่เป็นหนังสือที่เรายังคงอยู่ตรงนั้นเมื่อเด็กต้องการเรา เป็นหนังสือที่เราอ่านด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยหน้าที่ เป็นหนังสือที่เราเลือกที่จะอยู่ร่วมกับเขาในจังหวะนั้น ไม่ใช่เพราะเราต้องการสอนอะไร แต่เพราะเราต้องการอยู่กับเขา
การอ่านที่ดี ไม่ได้เริ่มจากการออกเสียงถูกหรือไม่ แต่เริ่มจากการ “ตั้งใจฟัง” คนตรงหน้า และทำให้เขารู้ว่าเรายังอยู่ตรงนี้ เริ่มจากการให้เวลาที่มีคุณภาพ ไม่ใช่เวลาที่มีปริมาณ เริ่มจากการเลือกที่จะ “อยู่” อย่างเต็มใจ
เมื่อเด็กโตขึ้น เขาอาจจะไม่จำเรื่องราวในหนังสือ แต่เขาจะจำความรู้สึกของการถูกรัก การถูกฟัง การได้รับการดูแล และเมื่อเขาต้องการสร้างความผูกพันกับใครสักคน เขาจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะเขาเคยได้รับมาแล้ว เขาเคยรู้แล้วว่าการอยู่เคียงข้างใครสักคนอย่างตั้งใจ มันรู้สึกอย่างไร
และนั่นอาจจะเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่เขาจะได้เรียนรู้ จากการที่เราอ่านหนังสือให้เขาฟัง ไม่ใช่เนื้อหาในหนังสือ แต่เป็นความรักที่ซ่อนอยู่ในเสียงของเรา
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ “การอ่านที่เริ่มต้นก่อนตัวอักษร” EP.3 ที่จะพาเราไปเข้าใจว่า การอ่านนิทานกับเด็กไม่ใช่แค่การถ่ายทอดเรื่องราว แต่เป็นการสร้างความผูกพันและการสื่อสารความรักผ่านการอยู่ร่วมกันอย่างตั้งใจ