เลือกเอง เรียนเอง สร้างเอง: การศึกษาที่ผู้เรียนกำหนดทิศทางและสร้างแรงขับเคลื่อนได้

  • การเรียนรู้แบบนำตนเองเปิดโอกาสให้ผู้เรียนกำหนดรูปแบบการเรียนรู้ เลือกเนื้อหาที่ต้องการศึกษาและที่ปรึกษา อีกทั้งประเมินและสะท้อนผลการเรียนรู้ด้วยตัวเอง
  • กระบวนการการเรียนรู้แบบนำตนเองแบ่งออกเป็นสี่ขั้นอย่างคร่าว ๆ ได้แก่ 1) ประเมินความพร้อมในการเรียนรู้ 2) กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ 3) เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ 4) ประเมินผลการเรียนรู้ 
  • การเรียนรู้แบบนำตนเองเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการสนับสนุนให้ผู้เรียนเป็นผู้เลือกการเรียนรู้ของตัวเอง อันจะเป็นการวางรากฐานไปสู่จุดหมายที่มุ่งหวัง และสร้างความเปลี่ยนแปลงในแบบที่ตนปรารถนาได้

การเรียนรู้แบบนำตนเอง (self-directed learning) เริ่มต้นเมื่อผู้เรียนเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะมีหรือไม่มีใครช่วยเหลือ มันจะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนเริ่มประเมินว่าตัวเองต้องการเรียนอะไร ศาสตร์หรือทักษะใดที่สำคัญที่สุดต่อตัวเขาเอง หรือเรื่องใดที่ยังไม่เชี่ยวชาญ จากตรงนี้ ผู้เรียนจะเป็นคนเลือกว่าต้องการทบทวนหรือเรียนรู้เรื่องใด หลังจากนั้นจะเป็นการสร้างจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้และผลลัพธ์ที่คาดหวัง 

ในการเรียนรู้แบบนำตนเอง ผู้เรียนจะกำหนดว่าต้องการความช่วยเหลือจากใคร หรือทรัพยากรใด มันอาจเป็นแค่การให้ลุงสอนซ่อมรถ หรือทดลองทำตามขั้นตอนการทำขนมปังในเว็บไซต์ การสำรวจจะพาผู้เรียนไปในทิศทางที่หลากหลาย

การเรียนรู้แบบนำตนเองจะเป็นการเลือกและประยุกต์ใช้กลยุทธ์การเรียนรู้ให้เหมาสมกับตนเอง เมื่อใดก็ตามที่ใช้กลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่งถึงขั้นชำนาญแล้ว หลังจากนั้นผู้เรียนสามารถเลือกเรียนในด้านที่สนใจได้ บางคนถนัดเรียนจากหนังสือ หรือไปร่วมเสวนากับผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ครั้ง

การเรียนรู้แบบนำตนเองจะประเมินที่ผลการเรียนรู้ ผู้เรียนเรียนรู้อะไรบ้าง และกลยุทธ์ที่เลือกใช้เป็นอย่างไร การสะท้อนคิดอย่างรอบคอบว่ามีอะไรที่ได้ผล อะไรที่ไม่สำเร็จจะช่วยในการตัดสินใจว่าจะใช้กลยุทธ์การเรียนรู้แบบเดิม ปรับปรุงของเดิมหรือลองใช้แบบใหม่

สี่ขั้นตอนของการเรียนรู้แบบนำตนเอง

การเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นเรื่องท้าทายแม้แต่สำหรับผู้เรียนที่มุ่งมั่น เพื่อความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้แบบนำตนเอง เราอาจแบ่งกระบวนการออกเป็นสี่ขั้น ได้แก่ 1) ประเมินความพร้อมในการเรียนรู้ 2) กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ 3) เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ 4) ประเมินผลการเรียนรู้ 

ขั้นที่หนึ่ง: ประเมินความพร้อมในการเรียนรู้

ผู้เรียนต้องมีทักษะหลายประการและมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง ขั้นตอนนี้ผู้เรียนต้องประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเอง ทั้งนิสัยในการเรียน สถานภาพครอบครัว และเครือข่ายสนับสนุนที่สถานศึกษาและที่บ้าน อีกทั้งประเมินประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตัวเองที่ผ่านมา สัญญาณที่บ่งชี้ว่าผู้เรียนมีความพร้อมในการเรียนรู้แบบนำตนเอง ได้แก่ ความสามารถในการกำกับตนเอง ความสามารถในการจัดการ ความมีวินัยในตัวเอง ความสามารถในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถในการยอมรับคำวิจารณ์ รวมถึงการประเมินและสะท้อนผลด้วยตัวเอง

ภาพจาก https://www.pexels.com/photo/woman-in-yellow-shirt–on-white-paper-3807755/ 

ขั้นที่สอง: ตั้งเป้าหมายในการเรียนรู้

การสื่อสารเป้าหมายในการเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนและที่ปรึกษาจำเป็นอย่างยิ่ง ผู้เรียนและที่ปรึกษาต้องเข้าใจเป้าหมายของผู้เรียน โดยทั่วไปแล้ว เงื่อนไขในการเรียนรู้มักจะประกอบด้วยคุณลักษณะดังต่อไปนี้

  • มีเป้าหมายของการเรียนรู้
  • มีการทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
  • มีรายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้สำหรับเป้าหมายแต่ละข้อ
  • มีรายละเอียดเกี่ยวกับเกณฑ์การให้คะแนน
  • มีการสะท้อนผลและประเมินผลเป้าหมายแต่ละข้อ
  • มีการนัดพบกับที่ปรึกษา
  • มีการตั้งข้อตกลงในการเรียน เช่น การส่งการบ้านช้า การสอบวัดผล

เมื่อกำหนดข้อตกลงในการเรียนรู้เสร็จแล้ว ควรมีการประเมินแผนการเรียนรู้ในแง่ความเป็นไปได้ เช่น ปริมาณแบบฝึกหัดมากหรือน้อยเกินไปหรือเปล่า กรอบระยะเวลาในการเรียนรู้สมเหตุสมผลหรือไม่

ขั้นที่สาม: เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้

ผู้เรียนควรตอบคำถามเหล่านี้ได้

  • ฉันต้องการเรียนรู้อะไร
  • ครูคนโปรดของฉันคือใคร เพราะอะไร
  • ฉันเข้าใจแนวทางการเรียนรู้ของตัวเองมากน้อยเพียงใดและอย่างไร

การเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง จะเป็นการปฏิรูปการเรียนรู้ที่เหมาะสมแก่การเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนต้องเข้าใจแนวคิดต่าง ๆ ด้วยตนเอง ปรับใช้องค์ความรู้กับสถานการณ์ใหม่ ๆ สามารถยกตัวอย่างใหม่ ๆ ในการอธิบายแนวคิด และเรียนรู้มากกว่าแค่เรียนให้จบบทเรียน

การเรียนรู้แบบพื้นผิว จะเป็นการท่องจำ เรียนให้จบบท จดจำเนื้อหา คำอธิบายและตัวอย่างในตำราด้วยการอ่าน

การเรียนรู้แบบวางกลยุทธ์ จะมีการจัดการเพื่อให้ได้ผลการเรียนสูงสุดและสอบผ่านเกณฑ์ มีการท่องจำข้อเท็จจริงและใช้เวลาทบทวนข้อสอบเก่า ๆ 

งานวิจัยทางการศึกษาในยุคบุกเบิกอาจสนับสนุนการเรียนรู้แบบพื้นผิว ทว่ากลยุทธ์การเรียนรู้แบบนี้อาจไม่เพียงพอต่อการเรียนรู้แบบนำตนเอง การเรียนรู้แบบนำตนเอง ต้องอาศัยการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งที่ผู้เรียนต้องเข้าใจแนวคิดและสามารถประยุกต์ใช้ความรู้กับสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ พวกเขาต้องสร้างความเชื่อมโยงด้วยตัวเองและมีแรงบันดาลใจภายใน 

ขั้นที่สี่: ประเมินการเรียนรู้

ทักษะสำคัญที่ผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้แบบกำกับตนเองได้คือสามารถประเมินและสะท้อนผลด้วยตนเองในด้านจุดประสงค์การเรียนรู้และพัฒนาการของตัวเอง โดยกระบวนการที่จะส่งเสริมการประเมินตนเองอาจเป็นการปรึกษากับที่ปรึกษาอย่างสม่ำเสมอ ฟังคำติชม และประเมินความก้าวหน้าของตัวเองด้วยคำถาม เช่น

  • ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันได้เรียนรู้แล้ว
  • ฉันสามารถปรับใช้ความรู้อย่างยืดหยุ่นได้หรือไม่
  • ฉันมีความมั่นใจในการอธิบายเนื้อหานี้หรือเปล่า
  • ฉันประเมินได้หรือไม่ว่าเรียนรู้เพียงพอแล้ว
  • ฉันควรเริ่มสะท้อนผลการเรียนรู้และพบที่ปรึกษาเมื่อใด

บทบาทของผู้เรียนและที่ปรึกษาในการเรียนรู้แบบนำตนเอง

ภาพจาก https://www.pexels.com/photo/mother-helping-her-daughter-use-a-laptop-4260325/

 การเรียนรู้แบบนำตนเองที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากผู้เรียนและที่ปรึกษา ต่อไปนี้คือรายการหน้าที่รับผิดชอบหลัก ๆ ของแต่ละฝ่าย สิ่งสำคัญคือทั้งสองฝ่ายต้องทบทวนว่าอีกฝ่ายเติมเต็มหน้าที่ของตนเองได้หรือไม่

หน้าที่ของผู้เรียน

  • ประเมินความพร้อมในการเรียนรู้ของตัวเอง
  • กำหนดเป้าหมายในการเรียนรู้และกำหนดเงื่อนไขด้วยตัวเอง
  • ติดตามการเรียนรู้ของตัวเอง
  • ริเริ่มทุกขั้นตอนในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง จุดประกายตัวเอง ประเมินผลซ้ำและปรับเปลี่ยนเป้าหมายตามความเหมาะสมในแต่ละบทเรียน
  • ขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาเมื่อจำเป็น

หน้าที่ของที่ปรึกษา

  • สร้างบรรยากาศการเรียนรู้แบบพึ่งพาอาศัยกัน
  • สร้างแรงบันดาลใจและคอยช่วยในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน
  • คอยอยู่เป็นผู้ให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำในจังหวะที่เหมาะสม
  • เป็นผู้ประคอง ไม่ใช่ปกครอง

จะดีแค่ไหนหากเรียนรู้เป็นของเรา

การเรียนรู้แบบนำตนเองมีข้อดีหลายประการ อาทิ

มีพัฒนาการตามธรรมชาติ

ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียนหรือในชีวิต เราควรตัดสินใจด้วยตัวเอง การเรียนรู้แบบนำตนเองจะขัดเกลาทักษะการประเมินสถานการณ์และเพิ่มความเชื่อมั่นในตัวเองในการตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ตอบสนองความต้องการและนำไปสู่เป้าหมายของตัวเอง

ไม่มีการเสริมแรงเชิงลบจากระบบการศึกษา

ในบางครั้ง การศึกษาในระบบทำลายสุขภาพจิตของผู้เรียนไปตลอดชีวิต ในบางครั้งคำพูดของผู้สอนอาจทำร้ายผู้เรียน หรือไม่อย่างนั้นผู้เรียนที่เรียนรู้ต่างจากคนอื่น ๆ อาจตกเป็นเป้าให้ล้อเลียนได้ แต่การเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่มีแพ้ชนะ ทุกคนเรียนรู้ตามความเร็วที่เหมาะสมกับตัวเอง

สนับสนุนความหลงใหล

การศึกษาในสถานศึกษาออกแบบมาอย่างเป็นระบบ ผู้เรียนหลายคนจำต้องเรียนวิชาที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขาสนใจ แต่การเรียนรู้แบบนำตนเองเปิดโอกาสให้เขาได้สำรวจและเรียนรู้เจาะลึกในเรื่องที่ตรงกับความสนใจอย่างแท้จริง

ส่งเสริมการร่วมมือกันของทุกฝ่าย

ผู้เรียนสามารถจับมือกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวในกระบวนการเรียนรู้โดยไม่มีการจัดลำดับขั้น ยิ่งกว่านั้น การเรียนรู้ประเภทนี้เป็นคล้ายการจำลองการทำงานในบริบทการทำงานจริง

อ้างอิง

https://www.betterup.com/blog/self-directed-learning#:~:text=%E2%80%9CSelf%2Ddirected%20learning%20describes%20a,appropriate%20learning%20strategies%2C%20and%20evaluating

https://uwaterloo.ca/centre-for-teaching-excellence/catalogs/tip-sheets/self-directed-learning-four-step-process

https://ccnmtl.columbia.edu/projects/pl3p/Self-Directed%20Learning.pdf

https://fcit.usf.edu/matrix/goal-directed-learning/

https://www.uopeople.edu/blog/self-directed-learning-beneficial/


Writer

Avatar photo

ศิริกมล ตาน้อย

อยากเกิดใหม่เป็นแมงกะพรุน

Illustrator

Avatar photo

กรกนก สุเทศ

เด็กกราฟิกที่สนุกกับการอ่านการ์ตูน ดูเมะ ชอบเล่าเรื่องและจำสิ่งต่าง ๆ ด้วยภาพมากกว่าตัวอักษร มองว่าหนึ่งในการเรียนรู้ที่ดีคือการเรียนรู้ผ่านสี รูปภาพ รูปทรง

Related Posts