ชวนเอะใจกันก่อนว่า…จริงไหม? ที่อนาคตของประเทศผูกติดกับเด็กบนโพสต์โซเชียล หรือป้ายไวนิลหน้าโรงเรียน

บทความตอนที่ 1 จากชุดบทความ เด็กทุกคนควรได้เติบโต ไม่ใช่แค่ถูกจัดอันดับ

ทุกเช้า หน้าโรงเรียนไทยมักมีป้ายไวนิลขนาดใหญ่ เด็กนักเรียนยืนถือถ้วยรางวัล ใบหน้าถูกพิมพ์ชัดเจนราวกับเป็นหลักฐานว่า “ที่นี่คือโรงเรียนคุณภาพ” ขณะเดียวกัน บนหน้าจอมือถือของเรา ก็เต็มไปด้วยโพสต์จากเพจโรงเรียนหรือพ่อแม่ที่แชร์ภาพเดียวกันนั้น พร้อมคำบรรยายว่า “ความภูมิใจของพวกเราทุกคน”

จากป้ายประกาศสาธารณะสมัยเก่า สู่โพสต์โซเชียลในวันนี้ รูปแบบเปลี่ยน แต่แก่นยังคงเดิม เด็กเก่งเพียงไม่กี่คนถูกเลือกให้เป็นใบหน้าของสถาบัน ถูกทำให้เป็นตัวแทนของ “อนาคต” ขณะที่เด็กอีก 90% ในห้องเรียนเดียวกันหายไปจากเรื่องเล่า ราวกับการเติบโตของพวกเขาไม่มีคุณค่าเพียงพอจะถูกบันทึกไว้

เราอาจคุ้นชินกับภาพเหล่านี้จนไม่ตั้งคำถาม ราวกับมันคือพิธีกรรมร่วมสมัย ถ้วยรางวัลคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ป้ายไวนิลคือแท่นบูชา และการแชร์โพสต์คือการสวดภาวนาให้สังคมเชื่อว่า “เรากำลังมาถูกทางแล้ว” ทั้งที่จริงแล้ว สิ่งที่ถูกเฉลิมฉลองอาจเป็นเพียงยอดกราฟเล็ก ๆ ที่สูงขึ้น โดยแลกกับการที่เส้นโค้งทั้งเส้นไม่เคยขยับเลย

นั่นหมายถึงการให้คุณค่าของคนส่วนใหญ่ในสังคมไม่เคยเปลี่ยน เรายังคงทุ่มเททรัพยากรให้เด็กบนยอดกราฟมากกว่าใคร ทั้งครูพิเศษ หนังสือพิเศษ เวลาพิเศษ แล้วบอกตัวเองว่าถ้าเด็กเหล่านี้ไปถึงจุดสูงสุด เขาจะกลับมาพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้น แต่คำถามก็คือ เขากลับมาจริงหรือ? และต่อให้กลับมา วิธีคิดแบบนี้คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศอย่างแท้จริงแล้วหรือ?

ถ้าลองเปรียบประเทศเป็นองค์กร และระบบการศึกษาเป็นเหมือนฝ่ายบุคคล เราอาจจะเห็นฝ่ายบุคคลจะเลือกลงทุนให้พนักงาน 5-10% ที่เก่งที่สุดไปเรียนรู้ให้เก่งขึ้น แล้วละเลยพนักงานอีก 90% ที่ทำให้องค์กรขับเคลื่อนจริง ๆ? คำถามคือ องค์กรแบบนั้นจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้จริงหรือ หรือสุดท้ายสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ พนักงานดาวรุ่งไม่กี่คนย้ายออกไปทำงานกับบริษัทอื่น ขณะที่กำลังหลักไม่เคยถูกพัฒนา และผลประกอบการโดยรวมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง?

กลับมาดูที่ห้องเรียนของเรา ที่ไม่ใช่องค์กรการค้า แต่เป็นระบบสังคมและการพัฒนามนุษย์ เด็กอีกจำนวนมาก ที่นั่งแถวกลางห้อง หรือนั่งอยู่หลังห้อง

ยังพยายามทำการบ้านแม้จะไม่เข้าใจโจทย์

ยังสะกดคำผิดแต่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี 

ยังเล่นดนตรีได้ดีแต่อาจไม่ได้ดีที่สุด 

หรือที่ยังวิ่งได้บ้างแต่ไม่ได้สามอันดับแรก 

พวกเขาไม่ได้หายไปไหน แต่สังคมทำเหมือนพวกเขาไม่มีอยู่จริง 

ชีวิตของเด็กเหล่านี้ไม่เคยถูกพิมพ์ลงบนไวนิล และไม่เคยถูกแท็กชื่อในโพสต์สาธารณะ

พวกเขาคือเด็กอีก 90% ในห้องเรียนเดียวกัน แต่หายไปจากเรื่องเล่า ราวกับการเติบโตของพวกเขาไม่มีคุณค่าเพียงพอจะถูกบันทึกไว้

เราต่างเคยเดินผ่านป้ายเหล่านี้ กดไลก์ให้โพสต์เหล่านี้ แล้วก็ปล่อยผ่านไป เหมือนนี่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่คำถามที่ค้างอยู่ลึก ๆ คือ เราจะฝากอนาคตของประเทศไว้กับภาพสำเร็จรูปที่เป็น ‘การตลาด’ ของโรงเรียนจริงหรือ?

เมื่อห้องเรียนกลายเป็นโชว์รูม : โรงเรียนที่ดีวัดกันด้วยถ้วยรางวัล หรือด้วยเด็กทุกคนที่มีโอกาสได้เติบโต?

ในหลายโรงเรียน “คุณภาพ” ไม่ได้ถูกเล่าออกมาผ่านเสียงหัวเราะในห้องเรียน หรือแววตาของเด็กที่ค่อย ๆ เข้าใจโจทย์ยาก ๆ แต่ถูกเล่าผ่าน ภาพเด็กเก่งเพียงไม่กี่คนที่ยืนถือถ้วยรางวัล แล้วถูกโพสต์ลงเพจ แชร์ต่อเป็นร้อย เป็นพัน

ในวัฒนธรรมนี้ การพัฒนาเด็กไม่ได้เป็นเป้าหมายในตัวเอง แต่กลายเป็น เครื่องมือทางการตลาดของโรงเรียน เด็กที่สอบติดแพทย์ หรือชนะการแข่งคณิตศาสตร์ กลายเป็นใบหน้าที่โรงเรียนใช้ขึ้นป้าย ใช้ทำโฆษณา และใช้สร้างความมั่นใจให้ผู้ปกครองรุ่นต่อไปว่า “โรงเรียนนี้ดีจริง”

ผลคือ เด็กกลุ่ม Top performers ได้รับทรัพยากรเพิ่ม ครูพิเศษ หนังสือเฉพาะ เวลาส่วนตัวกับครู เพราะพวกเขาถูกมองว่ามี “ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)” สูง โรงเรียนรู้ว่าถ้าลงทุนกับเด็กเหล่านี้ ผลลัพธ์จะง่าย ชัดเจน และขายได้ทันที ขณะเดียวกัน เด็กส่วนใหญ่ที่เรียนรู้ช้ากว่า กลับถูกทิ้งให้นั่งข้างสนาม และที่น่าเศร้าคือเด็กบางคนถูกลืม

Bell Curve กลายเป็นเลนส์ที่สังคมใช้ตีความคุณค่า เด็กเพียง 3% บนยอดระฆังถูกยกขึ้นเป็นตัวแทนความสำเร็จ ส่วนเด็กอีก 70% ที่อยู่กลางกราฟค่อย ๆ เลือนหายไปจากการรับรู้ ราวกับไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเรียนรู้เลย ทั้งที่ความจริงพวกเขาต่างคือ “แกนกลาง” ของสังคม เป็นพลเมือง เป็นคนที่ขับเคลื่อนประเทศอยู่ทุกวัน

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของโรงเรียน แต่คือวัฒนธรรมที่ฝังลึกในสังคมไทย เราถูกสอนให้ชื่นชมคนที่ “สอบได้ที่หนึ่ง” เราเฉลิมฉลองแชมป์โอลิมปิกมากกว่าคนที่เล่นกีฬาจนสุขภาพดี เรามอบทุนการศึกษาให้เด็กที่เก่งที่สุด แล้วบอกตัวเองว่าเขาจะกลับมาพัฒนาประเทศ ทั้งที่เด็กอีกจำนวนมหาศาลกำลังรอเพียงโอกาสเล็ก ๆ ที่จะถูกพัฒนาให้เขายืนหยัดได้ในชีวิตจริง

การให้ค่ากับคนเก่งจำนวนน้อยเป็นเหมือนพิธีกรรมที่ทั้งสังคมสมรู้ร่วมคิดกันมาตลอด บ้านที่ชื่นชมลูกเพราะเกียรติบัตร โรงเรียนที่ใช้เด็กเก่งเป็นหน้าตา และสื่อที่พาดหัวชื่อเด็กที่ “สอบแข่งขันชนะ” โดยไม่เคยเล่าเรื่องราวของคนที่อ่านออกเขียนได้หลังจากเคยเรียนช้ากว่าคนอื่น ทั้งหมดนี้สะท้อนวิธีคิดเดียวกันว่า อนาคตของสังคมผูกติดอยู่กับ 3% ที่อยู่บนยอดกราฟ ในขณะที่ศักยภาพของคนอื่นๆถูกลดค่าลงไปอย่างช้า ๆ แต่ต่อเนื่องยาวนาน

ห้องเรียนจึงค่อย ๆ ถูกบิดจากพื้นที่เรียนรู้ เป็นโชว์รูม ที่แสดงเฉพาะเด็กเก่ง และทำให้คุณค่าของโรงเรียนถูกตีกรอบแค่ในสิ่งที่โชว์ออกไปได้

คำถามคือ เราต้องการโรงเรียนที่สร้างภาพ หรือโรงเรียนที่สร้างคน?

เพราะสำหรับเด็กบางคน การถูกทิ้งให้นั่งเงียบ ๆ อยู่กลางห้องเรียนโดยไม่มีใครเอ่ยชื่อ มันคือบทเรียนแรกที่สอนว่า “คุณค่า” ของเขาไม่ได้มีอยู่ในสายตาของใคร สำหรับเด็กอีกบางคน การได้ถ้วยรางวัลคือการยืนยันว่าเขาคือคนที่สังคมต้องการ แต่ก็แลกมากับความกดดันที่จะต้องเก่งเสมอ ไม่อาจพลาด ไม่อาจอ่อนแอ

และสำหรับเด็กส่วนใหญ่ที่อยู่กลางกราฟ พวกเขาเติบโตมากับภาพจำว่า ความสำเร็จคือสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม ไม่ใช่เพราะไม่มีศักยภาพ แต่เพราะไม่มีใครลงทุนกับการเดินเล็ก ๆ ของพวกเขาเลย

ถ้าคุณลองมองจากตรงนี้ การผูกอนาคตของประเทศไว้กับใบหน้าเพียงไม่กี่ใบหน้า มันช่างเปราะบางเหลือเกิน และเมื่อเป็นเช่นนี้ คำถามสำคัญก็คือ การศึกษาของเราได้ทำงานเพื่อยกระดับคุณภาพเด็กทั้งห้อง หรือแค่ทำการตลาดเพื่อขายภาพความสำเร็จไม่กี่ภาพเท่านั้น?

โรงเรียนและระบบการศึกษาที่ใช้การตลาดแบบเก่า : ทำไมมันล้าสมัย และไม่ยั่งยืนอีกต่อไป

ในโลกธุรกิจ วันนี้แทบไม่มีใครเชื่อแล้วว่าการตลาดฉาบฉวยจะทำให้แบรนด์อยู่รอดได้จริง การโฆษณาแค่โชว์ภาพสวย ๆ แต่ไม่สร้างคุณค่าจริง กำลังถูกแทนที่ด้วยแนวคิดใหม่ คือการสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ผลกระทบที่วัดได้ และคุณค่าที่จับต้องได้ แต่ในแวดวงการศึกษาไทย เรายังวนอยู่กับการตลาดยุคเก่า โรงเรียนยังคงโพสต์ถ้วยรางวัลลงเพจ ยังผลิตป้ายไวนิลอวดหน้าโรงเรียน ยังใช้เด็กเก่งไม่กี่คนเป็นใบหน้าของ “คุณภาพ” และยังโฆษณาด้วยสถิติสอบติดเพื่อสร้างความมั่นใจให้พ่อแม่รุ่นต่อไปว่า “โรงเรียนนี้ดีจริง” ทั้งหมดนี้อาจทำให้โรงเรียนดูดีในสายตาคนภายนอก แต่คำถามที่สังคมควรตั้งคำถามร่วมกันในปี พ.ศ. นี้คือ นี่หรือคือ “แบรนด์การศึกษา” ที่จะอยู่ได้อย่างยั่งยืน?

เพราะความจริงแล้ว เด็กส่วนใหญ่ที่ไม่ได้อยู่บนป้ายหรือในโพสต์ ก็คือลูกของพ่อแม่ส่วนใหญ่ และพวกเขาเองคือ “ลูกค้า” ที่ไม่ได้รับการดูแลตามสัญญาที่ให้ไว้ในตอนแรก เมื่อวันหนึ่งพ่อแม่เริ่มตระหนักขึ้นว่า การศึกษาที่ดีไม่ใช่การสร้างภาพ แต่คือการสร้างชีวิต โรงเรียนที่ยังพึ่งการตลาดแบบเก่าที่ขับเคลื่อนด้วยถ้วยรางวัลและเกียรติบัตรก็ยากจะหลีกหนีจากการถูกตั้งคำถาม ว่าจริง ๆ แล้วโรงเรียนได้ทำให้เด็กทุกคนเติบโตขึ้นจริง หรือเพียงแค่สนับสนุนเด็กเก่งเพื่อทำให้โรงเรียนดูดีขึ้นเท่านั้นชข

ในวันนี้เริ่มมีโรงเรียน “กระแสใหม่” ที่ก้าวออกจากมายาคติแบบเดิม โรงเรียนเหล่านี้ไม่ได้ตั้งใจจะโชว์เฉพาะเด็กเก่ง แต่หันมาสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่ทำให้เด็กทุกคนได้เติบโตในแบบของตัวเอง บางโรงเรียนเลิกจัดอันดับคะแนน บางโรงเรียนไม่ผลิตป้ายไวนิล แต่รายงานพัฒนาการเล็ก ๆ ในแต่ละวันให้พ่อแม่เห็นว่า “ลูกคุณเดินมาไกลจากเมื่อวานแค่ไหน” โรงเรียนเล็กบางแห่งสร้างวัฒนธรรมที่เวทีไม่ใช่สำหรับคนเก่งเพียงไม่กี่คน แต่เปิดพื้นที่ให้เด็กทุกคนได้ลอง ไม่ว่าจะแสดงดนตรีไม่ได้เก่งที่สุด หรืออ่านออกเสียงยังไม่คล่องก็ตาม เพราะพวกเขาเชื่อว่าแสงสปอตไลต์ควรมีหลายจุด ไม่ใช่จ่ออยู่ที่คนกลุ่มเดียว

นี่คือภาพของการศึกษาแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ใช่การโชว์แค่ยอดของกราฟ แต่คือการค่อย ๆ ยกทั้งเส้นโค้งขึ้นพร้อมกันทั้งหมด และนั่นต่างหากคือสิ่งที่ควรถูกเรียกว่า “คุณภาพการศึกษา” ที่แท้จริง

คำถามจึงไม่ใช่เพียงว่า โรงเรียนไหนดี แต่คือ โรงเรียนแบบไหนที่คุณอยากให้ลูกเติบโตไปด้วยกัน? หากมีสองทางเลือกตรงหน้า โรงเรียนที่โชว์หน้าเด็กเก่งไม่กี่คนเป็นแบรนด์ กับโรงเรียนที่บอกกับคุณว่า ไม่ว่าลูกคุณจะเริ่มจากจุดไหน เขาจะพัฒนาได้อย่างน้อยสองระดับจากที่เขาเป็นอยู่จริง

แบบไหนกันแน่ที่คุณจะเลือกให้ลูก และแบบไหนที่ประเทศควรเลือกให้อนาคตของตัวเอง?

มายาคติที่ล้าสมัย: คนเก่งไม่กี่คนจะเปลี่ยนประเทศ

หนึ่งในมายาคติที่ฝังรากลึกในสังคมไทยก็คือ “ถ้าเราปั้นเด็กเก่งสักกลุ่มหนึ่ง ประเทศก็จะเดินหน้าได้” เราฉลองเด็กที่ได้เหรียญโอลิมปิกวิชาการราวกับพวกเขาคือคำตอบของอนาคต และเราส่งเด็กหัวกะทิไปเรียนต่อต่างประเทศโดยหวังว่าจะกลับมาสร้างความรุ่งเรือง ทั้งที่นักเศรษฐศาสตร์การศึกษาหลายคนเตือนชัดว่า “การลงทุนกับเด็กเก่งไม่กี่คน ไม่ได้ทำให้ประเทศพัฒนา” สิ่งที่ขับเคลื่อนประเทศ ไม่ใช่รางวัลจากเวทีนานาชาติ แต่คือการที่ เด็กส่วนใหญ่ สามารถอ่านออก คิดเป็น และใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี

OECD, UNESCO รวมถึงนักเศรษฐศาสตร์อย่าง Amartya Sen ต่างย้ำมาตลอดว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนมาจากการยกระดับคุณภาพของ “ประชากรส่วนใหญ่” ไม่ใช่การสร้างเด็กหัวกะทิไม่กี่คนบนยอดพีระมิด ตัวอย่างเช่น ฟินแลนด์ซึ่งเคยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา แต่กลับเลือกลงทุนในคุณภาพโรงเรียนทุกแห่ง กระจายครูที่ดีที่สุดไปยังพื้นที่ที่ยากที่สุด แทนที่จะทุ่มทรัพยากรเพื่อปั้นเด็กไม่กี่คนไปคว้าเหรียญวิชาการ ผลลัพธ์ที่ได้คือการศึกษาที่ “ยกทั้งเส้นโค้ง” และทำให้ประเทศแข็งแรงจากฐาน ไม่ใช่จากยอด

และเมื่อเราทุ่มลงทุนเฉพาะกับเด็กเก่ง เรากำลังสร้างความเหลื่อมล้ำซ้ำซ้อนอย่างไม่รู้ตัว เด็กที่มาจากครอบครัวมีทุนอยู่แล้ว ยิ่งได้รับการสนับสนุนต่อยอดไปไกล ส่วนเด็กที่เก่งแต่ฐานะเปราะบางก็อาจถูกใช้เป็น “ใบหน้าของโครงการ” อยู่ชั่วคราว ได้รับการเฉลิมฉลองบนเวที แต่เมื่อทุนหมดหรือหมดสัญญา หลายคนก็หายไปจากเรดาร์ของสังคม เพราะไม่มีระบบติดตามหรือสร้างพื้นที่ให้พวกเขาได้ใช้ความสามารถจริง ๆ

แล้วประเทศได้อะไร? นี่คือคำถามที่น่าจะทำให้เราสะเทือนใจเพราะสิ่งที่ประเทศได้จากการลงทุนแบบนี้ อาจไม่ใช่ “การพัฒนา” แต่คือ “ภาพลักษณ์” ที่เรานำไปอวดในงานสัมมนา ว่าเด็กไทยได้เหรียญคณิตศาสตร์ระดับนานาชาติ ว่าเด็กไทยสอบติดมหาวิทยาลัยดังในอังกฤษและอเมริกา แต่เมื่อหันกลับมามองในห้องเรียนจริง ๆ เด็กส่วนใหญ่ในประเทศยังอ่านไม่แตกฉาน คิดวิเคราะห์ไม่เป็น และกำลังเติบโตขึ้นมาพร้อมกับสุขภาพจิตที่เปราะบาง

ถ้าเช่นนั้น เราจะยังเชื่อในมายาคติเดิม ๆ ต่อไปหรือ? ว่าเด็กเก่งไม่กี่คนคือคำตอบของอนาคต? หรือถึงเวลาที่เราจะหันมาสร้างระบบที่ทำให้เด็กทุกคน ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนก็มีโอกาสได้พัฒนาและยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรีไปพร้อมกัน?

SHIFT THE CURVE: ประเทศจะก้าวไปข้างหน้าได้ ก็ต่อเมื่อเด็กทุกคนก้าวไปด้วยกัน

ถ้าเราลองนึกภาพกราฟระฆังคว่ำที่มักใช้ในสถิติ จะเห็นชัดว่ามันมีปลายสองข้างที่เล็กแหลมกับก้อนใหญ่ตรงกลาง เด็กหัวแถวคือกลุ่มที่โดดเด่นพิเศษไม่กี่เปอร์เซ็นต์ เด็กท้ายแถวคือกลุ่มที่มีปัญหาที่ถูกจับตา แต่เนื้อแท้ของห้องเรียนจริง ๆ คือเด็กส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงกลาง พวกเขาไม่ได้เก่งที่สุด ไม่ได้อ่อนที่สุด แต่คือฐานจริงที่ทำให้ห้องเรียนมีชีวิต

ที่ผ่านมา ระบบการศึกษามักเลือกจะเททรัพยากรไปที่ปลายกราฟ เด็กหัวแถวได้รับครูพิเศษ หนังสือพิเศษ เวลาพิเศษ เพราะเชื่อว่าการลงทุนกับพวกเขาจะสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนได้รวดเร็ว ส่วนเด็กท้ายแถวก็ยังพอมีเหตุผลให้ทุ่มแรง เพราะถ้าปล่อยไว้ พวกเขาอาจกลายเป็น “สถิติเชิงลบ” ของโรงเรียน ขณะที่เด็กตรงกลางกลับถูกมองว่า “ไม่ต้องห่วง เขาอยู่ได้” และค่อย ๆ หายไป

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แม้จะมีเด็กเก่ง และเรายิ่งทุ่มทรัพยากรเพื่อเด็กเก่งกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวนั้น เส้นโค้งทั้งเส้นไม่เคยขยับ คุณภาพโดยรวมไม่เคยเปลี่ยน แม้จะมีเด็กบางคนได้ถ้วยรางวัลใหญ่ หรือบางคนรอดพ้นการตกหล่นมาได้ แต่ประเทศก็ยังย่ำอยู่กับที่

แนวคิดที่เรียกว่า Shift the Curve จึงเกิดขึ้นเพื่อโต้แย้งวิธีคิดเดิม มันไม่ได้สนใจเพียงแค่ยอดหรือก้นของกราฟ แต่เสนอให้เรายกทั้งเส้นโค้งขึ้นพร้อมกัน แทนที่จะเฉลิมฉลองให้กับเด็กเพียงไม่กี่คน แต่ลองลงทุนให้เด็กทุกคนก้าวไปจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ ไม่ว่าจะก้าวเล็กหรือก้าวใหญ่ ไม่ว่าความสำเร็จนั้นจะวัดจากการสอบติด การอ่านออก หรือการกล้าลุกขึ้นยกมือในห้องเรียน

นี่แหละคือหัวใจของ Shift the Curve คุณภาพการศึกษาไม่ได้หมายถึงการสร้างดาวรุ่งไม่กี่ดวง แต่มันคือการทำให้ท้องฟ้าทั้งผืนมีดาวที่ส่องแสงได้ทุกดวง แม้แสงบางดวงจะไม่สว่างที่สุด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความงดงามทั้งหมดที่ทำให้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยชีวิต

คำถามจึงไม่ใช่เพียงว่า “โรงเรียนนี้เลือกใครไปแข่งเพื่อเอามาขึ้นป้าย” แต่คือ “ทั้งระบบการศึกษาเลือกจะให้ค่ากับใคร” เราจะยังปล่อยให้การศึกษาเป็นเพียงสื่อโฆษณาที่เน้นโชว์เด็กเก่งไม่กี่คนผ่านป้ายไวนิลหรือโพสต์สวยงาม? หรือเราจะกล้าสร้างระบบที่ทำให้เด็กทุกคนมีโอกาสเติบโต แม้ไม่เคยถูกพิมพ์ลงบนป้ายสักครั้ง?

งานวิจัยจากหลายประเทศชี้ชัดไปในทิศทางเดียวกันว่า การฝากอนาคตไว้กับเด็กเก่งเพียง 10% ไม่เคยทำให้ประเทศเข้มแข็งจริง สิ่งที่ยั่งยืนกว่าคือการลงทุนเพื่อยกทั้งเส้นโค้งขึ้น ทำให้เด็กทุกคนก้าวหน้าไปจากจุดเริ่มต้นของตนเอง การศึกษาของ Learning Policy Institute (2016) พบว่า หากเพิ่มงบประมาณราว 20% ให้กับเด็กจากครอบครัวยากจนตลอด 12 ปี เด็กเหล่านี้ไม่เพียงแค่เรียนจบมากขึ้นกว่าเดิม แต่ยังมีรายได้สูงขึ้นในวัยผู้ใหญ่ถึงครึ่งหนึ่ง และช่องว่างกับกลุ่มฐานะดีแทบหายไป 

OECD และ UNESCO ต่างย้ำมาตลอดว่า การพัฒนาคุณภาพของ “คนส่วนใหญ่” ต่างหากที่ทำให้ประเทศเติบโตได้จริง ไม่ใช่การสร้าง “หัวกะทิไม่กี่คน” ไว้โชว์ และ Amartya Sen นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลก็เตือนมานานแล้วว่า การลงทุนที่เป็นธรรมและกระจายไปทั่วถึงคือสิ่งที่ทำให้สังคมยั่งยืน

และเมื่อเราพูดถึง Shift the Curve เราไม่ได้หมายถึงการทำให้ทุกคนสอบติดแพทย์หรือได้ถ้วยรางวัล แต่หมายถึงการที่เด็กทุกคนได้เก่งขึ้นจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ จะก้าวขึ้น 2 ขั้น 3 ขั้น หรือ 4 ขั้น ก็แล้วแต่ศักยภาพและทรัพยากรที่โรงเรียนสามารถสนับสนุน แต่สิ่งสำคัญคือ ทุกคน ต้องได้รับโอกาสนี้ ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะถูกเรียกว่าเก่งหรือไม่เก่งก็ตาม นี่ต่างหากคือนิยามของ “คุณภาพโรงเรียน” ที่แท้จริง ไม่ใช่โรงเรียนที่เลือกเพียงไม่กี่คนมาโชว์ แต่คือโรงเรียนที่สร้างพื้นที่ให้เด็กทุกคนก้าวไปพร้อมกัน

และทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนรายงานวิจัย แต่มันคือบทเรียนที่ใกล้ตัวเราอย่างยิ่ง เพราะสุดท้ายแล้ว เด็กที่ไม่ได้อยู่บนป้ายก็คือลูกของใครบางคน หลานของใครบางคน และคือคนส่วนใหญ่ในสังคม เมื่อเรามองเห็นคุณค่าของพวกเขา เรากำลังเลือกสร้างอนาคตที่มีฐานกว้าง แข็งแรง และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ประเทศไม่ได้ก้าวไปด้วยป้ายรางวัลหรือชื่อเสียงที่ส่งไปประกวด แต่มันก้าวไปด้วยชีวิตจริงของเด็กทุกคน รวมทั้งลูกของคุณด้วย

อ้างอิง: 

Ball, S. J. (2003). The Teacher’s Soul and the Terrors of Performativity. Journal of Education Policy.

Sahlberg, P. (2011). Finnish Lessons: What Can the World Learn from Educational Change in Finland? Teachers College Press.


Writer

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts