สอบให้ได้ – คะแนนต้องติดท็อป – ห้ามช้ากว่าเพื่อนคนไหนเด็ดขาด : ความกลัวของพ่อแม่ และความเปราะบางของเด็กเก่ง

ชุดบทความ เด็กทุกคนควรได้เติบโต ไม่ใช่แค่ถูกจัดอันดับ ตอนที่ 3/5

ในสังคมที่วัดคุณค่าด้วยคะแนนสอบและลำดับ เด็กจำนวนมากเติบโตขึ้นภายใต้สิ่งที่สังคมบอกเป็นนัย ต้องสอบให้ได้ ต้องติดท็อป (หรือได้คะแนนเต็ม) และห้ามช้ากว่าเพื่อนคนไหนเด็ดขาด คำสั่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความโหดร้ายของพ่อแม่ แต่เกิดจากความกลัวลึก ๆ จากพ่อแม่ว่า ถ้าลูก “พลาด” เพียงก้าวเดียว เขาอาจไม่มีที่ยืนในอนาคต ระบบการศึกษาที่ถูกออกแบบมาให้รางวัลกับเพียงยอดกราฟ ความกลัวที่จะตกขบวนจึงกลายเป็นแรงผลักที่บีบพ่อแม่และเด็กให้วิ่งตามความสำเร็จแบบเดียว

เด็กหัวแถวที่ถูกยกขึ้นเป็นใบหน้าของโรงเรียน ดูเหมือนจะเป็นผู้ชนะ แต่แท้จริงแล้วสำหรับบางคนพวกเขากลับเปราะบาง เพราะถูกสร้างให้ต้อง “เก่งเสมอ” ไม่มีสิทธิ์พลาด ไม่มีพื้นที่จะอ่อนแอ และไม่อาจเปลี่ยนเส้นทางได้ ความเก่งกลายเป็นพันธนาการมากกว่าพื้นที่ปลอดภัย และภายใต้เสียงปรบมือกับเกียรติบัตร เด็กเหล่านี้อาจกำลังเรียนรู้อีกบทเรียนหนึ่งที่เจ็บปวดกว่าใครทั้งหมด ว่าความรักและการยอมรับที่พวกเขาได้รับ มีเงื่อนไขเสมอ

‘เด็กเก่ง’ ในระบบที่ความสำเร็จที่กลายเป็นพันธนาการ

สำหรับเด็กที่ถูกจัดวางไว้บนยอดกราฟ “ความเก่ง” อาจไม่ได้เป็นของขวัญ หากแต่เป็นกรงเหล็กที่มองไม่เห็น พวกเขาถูกบอกซ้ำ ๆ ว่า ความสามารถคือทุนชีวิต แต่เงื่อนไขที่ซ่อนอยู่คือทุนนี้ต้องงอกงามอยู่ตลอดเวลา ห้ามหยุด ห้ามพลาด และห้ามมีรอยร้าวให้ใครเห็น

ความเป็น “เด็กเก่ง” จึงไม่ใช่พื้นที่แห่งเสรีภาพ แต่คือสถานะที่เต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล งานวิจัยด้านจิตวิทยาพัฒนาการ เช่น Deci & Ryan (2000) ใน Self-Determination Theory ชี้ว่า เด็กที่คุณค่าถูกผูกไว้กับผลลัพธ์ภายนอก คะแนนสอบ เกียรติบัตร เหรียญรางวัล มีแนวโน้มเผชิญกับความเครียด ความกลัวล้มเหลว และความรู้สึกว่า “ไม่เคยพอ” มากกว่าเด็กที่ได้รับการยอมรับในความพยายามและการเติบโตของตัวเอง

หากเด็กท้ายห้องกลัวว่าจะ “ไม่รอด” เด็กหัวแถวก็ต้องใช้ชีวิตกับความกลัวว่า “จะตกจากที่สูง” ความกลัวนี้ไม่ใช่แค่ชั่วคราว แต่มันทำงานเงียบ ๆ ใต้ผิวหนังจนกลายเป็นแรงกดดันถาวร เราเห็นรอยยิ้มกว้างเมื่อพวกเขายืนอยู่บนเวทีรับรางวัล แต่เราไม่เห็นค่ำคืนที่เขาก้มหน้าร้องไห้เพราะสอบได้เพียง 18 แทนที่จะเป็น 20 ทั้งที่ในสายตาคนอื่น คะแนนนั้นยัง “สูงลิ่ว”

เสียงปรบมือที่ก้องกังวานในหอประชุม ไม่เคยกลบเสียงเบา ๆ ที่ดังในใจเด็กบางคนว่า “ถ้าวันหนึ่งฉันไม่เก่งแล้ว ใครจะยังเห็นค่าฉันอยู่ไหม?”

และนี่แหละคือความเปราะบางของ “เด็กเก่ง” เพราะระบบการศึกษาและสังคมไม่เคยมอบพื้นที่ให้พวกเขารู้สึก “ล้มเหลวได้อย่างปลอดภัย” ความเป็นเด็กเก่งจึงไม่ใช่เพียงคำชื่นชม แต่เป็นพันธนาการที่พวกเขาต้องแบกไปทั้งชีวิต

เมื่อความเก่งกลายเป็นเงื่อนไขการมีอยู่

สิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับเด็กเก่ง ไม่ใช่การสอบตกหนึ่งครั้ง แต่คือการถูกทำให้เชื่อว่า “คุณค่าของฉันมีอยู่ก็ต่อเมื่อฉันยังเก่ง” เด็กที่เคยยืนอยู่บนเวทีตั้งแต่ประถม เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่เล็กว่าความรักจากพ่อแม่ คำชื่นชมจากครู และเสียงปรบมือในห้องประชุมโรงเรียน ทั้งหมดนั้นผูกติดอยู่กับ ผลลัพธ์ ที่พวกเขาต้องสร้างซ้ำไปเรื่อย ๆ

ลองคิดดูว่า นี่ไม่ใช่การทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่เป็นการทำเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่สังคมมอบให้ ความเก่งจึงกลายเป็น “สัญญา” ที่พวกเขาต้องต่ออายุใหม่ทุกปี ทุกการสอบ ทุกการแข่งขัน และทุกครั้งที่พลาดก็ไม่ใช่แค่ความผิดพลาด แต่คือความกลัวว่าจะถูกลืม

งานวิจัยของ Deci & Ryan (2000) ว่าด้วย Self-Determination Theory ยืนยันว่า เด็กที่ถูกกำหนดคุณค่าด้วยผลลัพธ์ภายนอก มีแนวโน้มเผชิญกับความกลัวล้มเหลว และไม่เคยรู้สึกว่า “เพียงพอ” ในตัวเอง

เด็กที่ใช้ชีวิตวัยเด็กเพื่อรักษาความเก่ง

เมื่อการรักษาความเก่งกลายเป็นเส้นทางหลัก เด็กจำนวนมากเติบโตขึ้นมาในกรอบที่แคบจนแทบไม่มีพื้นที่ให้เป็นอย่างอื่น วัยเด็กถูกใช้ไปกับการเรียนเพื่อสอบ การแข่งขันที่เวียนวนไม่สิ้นสุด การเข้าค่ายติวพิเศษทุกเสาร์-อาทิตย์ การซ้อมดนตรีเพื่อเวทีประกวด การฝึกซ้อมกีฬาเพื่อคัดตัว และการเลือกกิจกรรมเสริมที่ “ขายได้” ในพอร์ตสมัครมหาวิทยาลัย ทุกอย่างถูกวางแผนและตัดสินใจด้วยคำถามเดียวว่า “มันจะเพิ่มคะแนนหรือไม่”

ในระหว่างนั้น พวกเขาแทบไม่เคยได้ลองใช้ชีวิตจริง ๆ ไม่ได้เล่นเพื่อสนุก ไม่ได้ลองกิจกรรมที่อยากทำเพียงเพราะอยากลอง แม้กระทั่งมิตรภาพก็ถูกตีกรอบอยู่ในวงการเรียนและการซ้อม พื้นที่สำหรับ “การรู้จักตัวเอง” ค่อย ๆ ถูกบีบจนเล็กลงเหลือเพียงตำแหน่งบนกราฟ เด็กจำนวนไม่น้อยจึงโตมาโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองชอบอะไร ต้องการอะไร ถ้าไม่นับการเป็น “ที่หนึ่ง”

ปัญหาคือ เมื่อก้าวออกจากห้องเรียนสู่โลกจริง ความเก่งที่เคยเป็น “ทุน” กลับกลายเป็น “กรง” ที่ขังเขาไว้ เพราะทั้งชีวิตถูกฝึกมาให้ห้ามพลาด พวกเขาไม่มีภูมิคุ้มกันต่อความผิดพลาดเล็ก ๆ ที่เด็กคนอื่นได้ลองและเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก งานวิจัยของ Luthar (2013) พบว่า เด็กที่เติบโตมากับแรงกดดันเรื่องความสำเร็จสูง มักจะเชื่อมโยงคุณค่าตัวเองกับถ้วยรางวัลหรือผลลัพธ์ภายนอก พอวันหนึ่งถ้วยเหล่านั้นหายไป ก็เหมือนชีวิตไร้ความหมายทันที

รายงานของ APA (2014) ยังชี้ว่า เด็กในระบบแข่งขันสูงเสี่ยงต่อภาวะ burnout ตั้งแต่วัยรุ่น และเมื่อโตขึ้น ความหมดไฟนี้จะยิ่งรุนแรงขึ้น เพราะ “เวทีหรือเกมที่เคยเล่น” หายไปหมดแล้ว โลกการทำงานจริงไม่ได้มีเวทีประกวดทุกปี ไม่มีเกียรติบัตร ไม่มีตัวเลือก A B C D ให้ติ๊ก มีเพียงโจทย์ที่ไม่มีคำตอบชัดเจน ต้องคิดเอง รับผิดชอบเอง  และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยถูกฝึกมาเลย

ผลลัพธ์จึงไม่ใช่แค่ความกังวลถาวร แต่คือความรู้สึกหลงทางในชีวิต เมื่อไม่มีเวทีให้แข่งอีกต่อไป เด็กเก่งที่เคยได้รับเสียงปรบมือทุกครั้งที่สอบได้ที่หนึ่ง กลับกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะยืนตรงไหน เมื่อเสียงปรบมือหายไป บางคนไม่รู้จะทำอะไรเมื่อไม่มีใครสั่ง ไม่มีโจทย์ ไม่มีการแข่งขัน พวกเขามักต้องเผชิญ imposter syndrome ทั้งที่ทำงานได้ดี มีตำแหน่ง มีรายได้ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำถามว่า “ฉันดีพอจริงหรือ?”

สิ่งที่โหดร้ายที่สุดไม่ใช่การสอบตกหนึ่งครั้ง แต่คือการที่ทั้งชีวิตของพวกเขาไม่เคยได้เรียนรู้ว่า “ฉันมีค่าแม้ไม่ได้อยู่บนเวที” และเมื่อวันหนึ่งโลกจริงไม่ได้มีเวทีให้ยืนอีกต่อไป พวกเขาจึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

เมื่อเด็กเก่งโตมาเจอโลกที่ต้องการมากกว่าคะแนนสอบ

ในโลกการทำงานจริง การสอบ 100 คะแนนหรือเหรียญโอลิมปิกคณิตศาสตร์ การเล่นดนตรีได้เหรียญทอง อาจไม่ได้มีความหมายมากเท่ากับการทำงานร่วมกับผู้อื่น การฟัง การสื่อสาร การจัดการความเครียด และการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่ได้มีคำตอบเดียว

เด็กที่เคยเก่งที่สุดในห้อง อาจทำข้อสอบได้เต็ม ได้เหรียญรางวัลนับไม่ถ้วน แต่พอเข้าสู่ที่ทำงานจริง เขากลับต้องเผชิญโจทย์ที่ไม่มีคำตอบอยู่ท้ายเล่ม ไม่มีตัวเลือก A B C D ให้ติ๊ก แต่ต้อง “คิดเอง สร้างเอง และรับผิดชอบผลลัพธ์เอง”  ซึ่งระบบการศึกษาไม่เคยเตรียมพวกเขามาเลย รวมถึงการเป็นเด็กที่ถูกฝึกมาให้ “ห้ามพลาด” กลับพบว่าตัวเองเปราะบางมากเมื่อเจอความซับซ้อนของชีวิตจริง หลายคนกลายเป็นคนที่ทำงานได้ดีแค่ในพื้นที่ปลอดภัยที่คุ้นเคย แต่เมื่อต้องเจอความไม่แน่นอน กลับรู้สึกหมดพลังอย่างรุนแรง บางคนกลายเป็น “คนทำงานเก่ง” แต่ “ไม่รู้จักใช้ชีวิต” เพราะตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมาในระบบการศึกษา สิ่งเดียวที่ทำคือรักษาความเก่ง ไม่ใช่การสร้างชีวิตที่สมบูรณ์

สิ่งที่โหดร้ายคือ โรงเรียนไม่ได้โกหกเด็กหรอก แค่บอกความจริงไม่หมด เด็กเก่งถูกบอกว่าความสำเร็จทางคือ “กุญแจ” แต่พอเติบโตขึ้นมา พวกเขากลับพบว่าโลกจริงต้องการมากกว่านั้น และกติกาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การทำงานต้องการความยืดหยุ่น ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และที่สำคัญต้องการคนที่รู้จักคุณค่าของตัวเองแม้ไม่ได้ยืนอยู่บนเวที เด็กหลายคนที่เคยถูกสอนให้กลัวความล้มเหลว พบว่าความล้มเหลวนั่นแหละคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่พวกเขา “ไม่เคยได้เรียน” ในโรงเรียน

รายงานของ World Economic Forum (2020) ระบุว่า ทักษะสำคัญที่สุดที่ตลาดแรงงานต้องการในอีก 5–10 ปีข้างหน้า คือการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน การคิดวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ ความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น สิ่งเหล่านี้แทบไม่เคยถูกวัดค่าในข้อสอบมาตรฐานเลยสักครั้ง

ผลก็คือ เด็กจำนวนไม่น้อยที่เคยถูกเรียกว่า “เก่ง” ในระบบโรงเรียน กลับต้องเจอกับทางตันเมื่อเข้าสู่โลกทำงานจริง เพราะสิ่งที่พวกเขามีคือความสามารถ “เล่นเกมสอบ” ได้ดี แต่โลกจริงกลับต้องการเกมใหม่ที่ไม่เคยมีใครสอน

และนี่คือสิ่งที่พ่อแม่ควรถามตัวเองอย่างตรงไปตรงมา  

เรากำลังเลี้ยงลูกให้สอบได้ หรือเลี้ยงลูกให้รอดในชีวิตจริง?

ความกลัวของพ่อแม่ : กลัวอดีตของตัวเองอยากได้ และกลัวอนาคตที่ยังมาไม่ถึงของลูก

ในสังคมไทย การเป็นพ่อแม่ไม่ได้หมายถึงการเลี้ยงลูกอย่างเดียว แต่ยังต้องแบกแรงกดดันจากการแข่งขันที่ไม่มีใครรู้ว่าจริง ๆ แล้วเส้นชัยอยู่ตรงไหน ทุกเช้า แค่เลื่อนฟีดโซเชียลก็มักเห็นภาพลูกคนอื่นถือถ้วยรางวัล สอบติดค่ายพิเศษ หรือผ่านการคัดเลือกที่หินที่สุด โรงเรียนเองก็ส่งสัญญาณซ้ำ ๆ ว่า “เด็กเก่งคือคุณค่าของโรงเรียน” และเมื่อภาพเหล่านี้วนอยู่ต่อหน้าต่อตา พ่อแม่หลายคนจึงซึมซับความรู้สึกเดียวกัน: ถ้าไม่รีบพาลูกไปติว ไปแข่ง ไปเข้าค่าย ลูกเราอาจจะ “ช้ากว่าเพื่อน”

ความกลัวนี้ไม่ได้เกิดจากความทะเยอทะยานเกินพอดีของพ่อแม่เสมอไป แต่อาจมาจากระบบที่ผูกคุณค่าเข้ากับ “ความเก่ง” จนพ่อแม่เชื่อว่าถ้าลูกไม่เก่งพอ ก็อาจไม่มีที่ยืนในสังคม พ่อแม่จำนวนไม่น้อยจึงยอมลงทุนเกินกำลัง ลดเวลาพักผ่อนของลูก ยอมให้ชีวิตครอบครัวหมุนรอบตารางเรียนพิเศษ เพียงเพื่อกันไม่ให้ลูก “ตกขบวน”

พ่อแม่จำนวนมากผลักดันลูกไม่หยุด บางส่วนเพราะพวกเขายังไม่เคยลืมอดีตของตัวเอง  อดีตที่เคยพลาดโอกาส อดสอบทุน อดเข้าคณะที่ฝัน หรือถูกตัดสินว่า “ไม่เก่งพอ” และพวกเขาไม่อยากเห็นลูกต้องเจอความรู้สึกเจ็บปวดแบบนั้นอีก

อีกด้านหนึ่ง ความกลัวก็ผูกไว้กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง โลกที่การแข่งขันสูงขึ้นเรื่อย ๆ โลกที่ไม่แน่ใจว่าลูกจะยืนอยู่ตรงไหน ถ้าไม่มีรางวัล ไม่มีเกียรติบัตร ไม่มีโปรไฟล์ที่ขายได้ พ่อแม่จึงเร่งยัดทุกอย่างลงไปในวันนี้ เพื่อกันความเสี่ยงที่ยังมองไม่เห็นในวันพรุ่งนี้

แต่สิ่งที่หล่นหายไประหว่างอดีตกับอนาคตก็คือ “ปัจจุบัน” ของลูก  วันที่เขาควรได้หัวเราะ เล่น ลองล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แต่กลับถูกแทนด้วยตารางติว เสียงติวเตอร์ และความเชื่อว่าความผิดพลาดคือสิ่งต้องห้าม

สิ่งที่น้อยคนสังเกตก็คือ ความกลัวนี้กำลังทำร้ายทั้งสองฝ่าย  ลูกเติบโตมาโดยไม่เคยได้ใช้ชีวิตนอกกรอบ ขณะที่พ่อแม่เองก็ถูกกักขังอยู่ในวังวนของการเปรียบเทียบไม่รู้จบ ความรักที่เริ่มต้นจากการปกป้อง จึงกลายเป็นแรงกดดันที่ผลักให้เด็กต้องวิ่งอยู่บนสนามที่เขาไม่ได้เลือกเอง

และแม้เด็กคนนั้นจะ “ชนะ” สนามที่โรงเรียนสร้างขึ้นมาได้จริง แต่โลกจริงกลับถามอีกคำถามที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ไม่ได้ถามว่าได้ที่เท่าไหร่ แต่ถามว่า เขามีความสุขกับการใช้ชีวิตไหม รู้จักตัวเองหรือเปล่า และพร้อมจะล้มแล้วลุกด้วยตัวเองได้หรือไม่

และในวันนั้นที่ตัวลูกต้องเป็นคนตอบคำถามเหล่านี้เอง

เขาก็อาจจะงงงันและตอบคำถามนั้นไม่ได้

สังคมที่บูชาความเก่ง และส่งต่อความกลัว

ความกลัวของพ่อแม่ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่มันหยั่งรากมาจากสังคมที่ยกย่อง “ความเก่ง” จนกลายเป็นเครื่องชี้ขาดคุณค่าของคน ตั้งแต่โรงเรียนที่ขึ้นป้ายไวนิลอวดถ้วยรางวัล ไปจนถึงสื่อที่พาดหัวข่าวเฉพาะเด็กสอบติดแพทย์หรือชนะเวทีโอลิมปิกทางวิชาการ ทั้งหมดนี้คือเสียงสะท้อนเดียวกันว่า “คุณค่าของมนุษย์ = ความสำเร็จที่วัดได้เป็นตัวเลข”

เมื่อคุณค่าถูกวางไว้บนยอดกราฟ ความกลัวจึงไหลลงมาสู่ทุกครอบครัว พ่อแม่หวั่นใจว่าลูกตัวเองจะไม่มีที่ยืนถ้าไม่โดดเด่นพอ เด็กก็ซึมซับความเชื่อว่า ถ้าไม่เก่งที่สุด ก็แทบจะไม่มีค่าอะไรเลย และความกลัวนี้จึงไม่ใช่เพียงอารมณ์ แต่กลายเป็น “โครงสร้าง” ที่สังคมช่วยกันสร้างและรักษาไว้

เราจึงเห็นความจริงที่ย้อนแย้ง เด็กหัวแถวถูกเฉลิมฉลอง แต่ก็ต้องใช้ชีวิตกับความกดดันไม่ให้พลาดแม้เพียงก้าวเดียว เด็กกลางห้องถูกทำให้โปร่งใสจนเหมือนไม่มีตัวตน ขณะที่เด็กท้ายห้องถูกตีตราตั้งแต่ต้นว่า “ไม่มีอนาคต” และทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกันเหมือนระบบที่คอยผลิตความกลัวต่อเนื่องไม่รู้จบ

ความเก่งจึงไม่ใช่แค่สถานะของเด็กบางคน แต่กลายเป็นวัฒนธรรมที่สังคมทั้งสังคมบูชา  และในเวลาเดียวกัน ก็เป็น ความกลัวร่วมกัน ที่เราต่างส่งต่อให้กันและกัน ทั้งในห้องเรียน บ้าน และพื้นที่สาธารณะ

เมื่อโลกเดินหน้า แต่การศึกษาไทยยังวนอยู่ที่เดิม

สำหรับผู้ปกครองจำนวนมาก การพยายามทำให้ลูก “เก่งกว่าเพื่อน” อาจดูเหมือนเป็นการปกป้องอนาคต แต่ถ้ามองลึกลงไป จะเห็นว่าความจริงแล้วระบบทั้งระบบยังไม่ได้ถูกพัฒนาไปตามโลกที่เปลี่ยนไปเลย เราใช้คะแนนสอบ การจัดอันดับ และถ้วยรางวัล เป็นตัวกำหนดคุณค่าของเด็ก ราวกับว่านี่คือคำตอบของชีวิต ทั้งที่ในความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ลูกเรารอดในสังคมที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน

สิ่งที่น่าตกใจคือ เด็กที่เราเรียกว่า “เก่ง” ในวันนี้ แท้จริงแล้วอาจไม่ได้เก่งในแบบที่โลกกำลังต้องการเลยด้วยซ้ำ เพราะเกณฑ์ที่ใช้ตัดสินความเก่งในระบบการศึกษาไทยยังวนเวียนอยู่กับ คะแนนสอบ มหาวิทยาลัยอันดับสูง และถ้วยรางวัลการแข่งขัน สิ่งเหล่านี้อาจสะท้อนการท่องจำหรือการฝึกซ้อมเฉพาะทาง แต่ไม่ได้บอกว่าเด็กคนนั้นคิดวิเคราะห์เป็น สื่อสารได้ ทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือจัดการอารมณ์และชีวิตตัวเองได้ดีแค่ไหน

การศึกษาวิจัยจาก OECD และ World Bank สะท้อนตรงกันว่า ประเทศที่ก้าวหน้าด้านการศึกษา ไม่ได้ทุ่มทรัพยากรไปที่การสร้าง “เด็กเก่งไม่กี่คน” แต่พยายามสร้างระบบที่ทำให้ เด็กทุกคนก้าวหน้าได้จากจุดที่ตัวเองอยู่ ตัวอย่างเช่น ฟินแลนด์ที่เลิกแข่งขันสอบอันดับ เลิกตีตราเด็กเก่ง–เด็กอ่อน แล้วหันมาลงทุนให้โรงเรียนทุกแห่งมีคุณภาพเท่าเทียม กระจายครูที่ดีที่สุดไปยังพื้นที่ยากลำบาก ผลลัพธ์คือเด็กทั้งประเทศอ่านออก คิดเป็น ทำงานร่วมกันได้ และมีความสุขกับการเรียนรู้

ตรงข้ามกับไทย ที่ยังเชื่อว่าถ้า “มีเด็กหัวกะทิ” สักกลุ่มหนึ่ง ประเทศก็จะก้าวหน้า แต่ความจริงก็คือ—เรากำลังปล่อยให้เด็กส่วนใหญ่ไม่ได้รับการพัฒนา และสุดท้ายทั้งสังคมก็ไม่แข็งแรงพอ

OECD เองก็ย้ำชัดว่า ประเทศที่จะอยู่รอดในศตวรรษที่ 21 ต้องพัฒนา “ชุดทักษะอนาคต” (21st century skills) เช่น การคิดวิเคราะห์ การทำงานร่วมกัน ความคิดสร้างสรรค์ และความยืดหยุ่น ไม่ใช่แค่ความสามารถทำข้อสอบได้คะแนนสูง ซึ่งเป็นเพียง “เศษเสี้ยว” ของศักยภาพมนุษย์

ดังนั้น การที่ลูกคุณถูกเรียกว่า “เด็กเก่ง” ในระบบการศึกษาไทยที่ล้าหลังในวันนี้ อาจไม่ได้หมายความว่าเขาเก่งจริง ๆ ในความหมายที่โลกต้องการ แต่อาจแปลว่าเขาเพียงแค่ “เล่นเกมในสนามแคบ ๆ” ได้ดี สนามที่ถูกออกแบบมาเมื่อหลายสิบปีก่อน และไม่ได้เชื่อมกับชีวิตจริงอีกแล้ว

ทางออก จาก “แข่งขัน” สู่ “เติบโต”

ถ้าต่อไปเราจะไม่ถามลูกเราว่าได้ที่เท่าไหร่ แต่ถามว่าเขารู้จักตัวเองแค่ไหน กล้าลองผิดลองถูกหรือเปล่า และลุกขึ้นใหม่ได้ไหม  สิ่งที่เราควรทำคงไม่ใช่การพาเขาไปอยู่บนยอดกราฟ แต่คือการสร้างระบบที่ให้ทุกคนก้าวไปข้างหน้าได้จากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเก่ง หรือไม่เก่งตามนิยามของผู้ใหญ่

นี่คือหัวใจของแนวคิด Shift the Curve ที่ฟินแลนด์และหลายประเทศใช้เป็นหลักการวางระบบการศึกษา ไม่ใช่การเททรัพยากรเพื่อสร้าง “แชมป์” เพียงไม่กี่คน แต่คือการยกทั้งห้องเรียนขึ้นพร้อมกัน ให้เด็กทุกคนได้เก่งขึ้นจากเดิม ไม่ว่าจะก้าวได้สองขั้นหรือสี่ขั้น ทุกก้าวนั้นคือคุณภาพที่แท้จริงของโรงเรียน

OECD เองก็ยืนยันว่า ประเทศที่ลงทุนเพื่อลดช่องว่างการเรียนรู้ โดยเฉพาะการสนับสนุนเด็กที่ไม่ได้อยู่หัวแถว กลับมีผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมระยะยาวที่ดีกว่า เพราะคนส่วนใหญ่คือกำลังหลัก ไม่ใช่กำลังเสริม

สำหรับพ่อแม่ นี่หมายความง่าย ๆ ว่า คุณภาพโรงเรียนไม่ใช่ป้ายไวนิล ไม่ใช่โพสต์ไวรัล แต่คือการที่ลูกคุณไม่ว่าจะเริ่มจากตรงไหน ยังได้ก้าวไปอีกหนึ่งก้าวเสมอ

และเมื่อทุกห้องเรียน ทุกโรงเรียน สร้างการเติบโตให้เด็กทุกคนพร้อมกัน เส้นโค้งทั้งเส้นจะค่อย ๆ ยกขึ้น ประเทศทั้งประเทศก็จะยืนได้มั่นคงขึ้นด้วย

เลิกถามว่า “ลูกได้ที่เท่าไหร่” แต่ถามว่า “ลูกเดินมาไกลแค่ไหนจากเมื่อวาน?”

ในที่สุด คำถามที่เราควรหยุดถามตัวเองและลูกก็คือ “ลูกได้ที่เท่าไหร่ “ หรือ “ลูกอยู่ตรงไหนในกราฟ?” ไม่ว่าคำว่ากราฟนั้นจะเป็นกราฟจริงๆ หรือเป็นการเปรียบเทียบลูกในใจพ่อแม่ เพราะกราฟนั้น ไม่เคยบอกเลยว่าลูกคุณมีความสุขหรือไม่ ไม่เคยสะท้อนเลยว่าเขารู้จักตัวเองหรือเปล่า และไม่เคยการันตีว่าเขาจะรอดในโลกจริง

สิ่งที่สำคัญกว่าคือการถามว่า “ลูกเดินมาไกลแค่ไหนจากเมื่อวาน?”

บางก้าวอาจเล็กจนแทบมองไม่เห็น แต่ก้าวนั้นคือชีวิตจริง ไม่ใช่ตัวเลขในสมุดคะแนน และเมื่อเด็กได้เรียนรู้ที่จะก้าวต่อไป แม้จะล้ม แม้จะช้ากว่าเพื่อน นั่นคือทักษะที่จะพาเขาไปไกลกว่าเหรียญรางวัลหรือเกียรติบัตรใด ๆ

เพราะอนาคตของลูก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาอยู่บนยอดกราฟหรือไม่
แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาได้เรียนรู้จะเติบโตจากจุดที่ยืนอยู่ ทีละก้าว อย่างมั่นคง และอย่างภาคภูมิ

อ้างอิง

Deci, E. L., & Ryan, R. M. (2000). Self-Determination Theory and the Facilitation of Intrinsic Motivation, Social Development, and Well-Being. American Psychologist.

OECD (2018). Equity in Education: Breaking Down Barriers to Social Mobility. OECD Publishing.


Writer

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts