จากบทความชุด“เมื่อพ่อแม่เขียนโลกให้ลูก”: สำรวจวรรณกรรมผ่านสายตาของ 6 นักเขียนที่เปลี่ยนความเป็นพ่อแม่ให้กลายเป็นเรื่องเล่าอันเป็นนิรันดร์ (ตอนที่ 3/7)
“ผมไม่ได้เขียนเพื่อสอนเด็ก แต่เพื่อเข้าใจโลกของเขาให้มากขึ้น” — Shinsuke Yoshitake
หากวรรณกรรมเด็กในยุคก่อนคือการสร้างโลกแห่งจินตนาการเพื่อหนีจากโลกจริง วรรณกรรมของ Shinsuke Yoshitake กลับทำตรงกันข้าม เขาไม่ได้พาเด็กหนีไปไหน แต่ชวนให้เด็ก (และผู้ใหญ่) หยุดอยู่กับคำถามง่ายๆ ที่เรามักมองข้าม ทำไมต้องอาบน้ำ? ทำไมต้องฟังพ่อแม่? แล้วถ้าโตขึ้นมาไม่เก่งอะไรเลยล่ะ?
นิทานจากโต๊ะกินข้าวในบ้านญี่ปุ่น
ชินสุเกะไม่ได้จบวรรณกรรม ไม่ได้เริ่มต้นจากโลกวรรณกรรมเด็กด้วยซ้ำ เขาเรียนด้านศิลปะการออกแบบ แต่เมื่อกลายเป็นคุณพ่อของลูกสอง ความสัมพันธ์ในบ้านที่เต็มไปด้วยคำถามจากเด็ก ๆ กลายเป็นคลังข้อมูลล้ำค่าให้เขาหยิบมาเล่า
เขาบอกว่าแรงบันดาลใจสำคัญคือ “โต๊ะกินข้าวที่ลูกมักถามคำถามแปลกๆ” ซึ่งไม่มีตำราเล่มไหนสอนให้ตอบได้ นิทานของเขาจึงไม่ใช่บทเรียน แต่เป็นการตั้งคำถามกลับ และบางครั้งก็แอบใส่คำถามแสบๆ เล็กน้อย
เด็กในโลกที่ซับซ้อนเกินเข้าใจ
ตัวละครของชินสุเกะ มักเป็นเด็กธรรมดา ไม่มีพลังวิเศษ ไม่ได้เปลี่ยนโลกได้ แต่พวกเขามีพลังอย่างหนึ่งคือ “การไม่เข้าใจ” เด็กที่งอแงเพราะไม่อยากอาบน้ำ กลัวจะลืมความทรงจำดีๆ กลัวอนาคต หรือแค่รู้สึกไม่อยากทำอะไรเลย ล้วนเป็นตัวละครที่เราเคยเป็นในวัยเด็ก หรือกำลังเป็นในฐานะผู้ใหญ่
นิทานอย่าง “It Might Be an Apple” หรือ “Can I Build Another Me?” คือการพาเด็กเดินทางเข้าไปในโลกของความสงสัย ด้วยภาพประกอบแปลกตา ลายเส้นเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยรายละเอียดจนบางหน้าต้องใช้เวลาหลายนาทีเพื่อสังเกต
พ่อที่ฟังลูกและฟังตัวเอง
ชินสุเกะยอมรับว่า เขาเขียนเพราะอยากเข้าใจลูก และเพราะเขารู้ว่าคำถามของลูกคือกระจกสะท้อนความคิดของพ่อแม่ เขาจึงเลือกไม่ตัดสิน ไม่เฉลย แต่เปิดพื้นที่ให้เด็กคิดต่อไปได้เอง
เขายังบอกอีกว่า การมีลูกทำให้เขาค่อย ๆ ถอดเกราะของตัวเองลง ยอมรับความเปราะบาง ยอมรับว่าการไม่รู้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย และยิ่งเขียน เขายิ่งเข้าใจว่า เด็กไม่ได้ต้องการคำตอบเสมอไป แค่ต้องการคนที่ “อยู่ด้วย” กับคำถามนั้น
ศิลปะที่ซ่อนอยู่ในความธรรมดา
แม้ลายเส้นของชินสุเกะ จะดูเรียบง่าย แต่ทุกหน้ากลับเต็มไปด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่พิถีพิถัน การจัดองค์ประกอบ การใช้มุมกล้อง และการแสดงสีหน้า ล้วนสะท้อนการเป็นนักออกแบบที่รู้จักความคิดของผู้ชมอย่างลึกซึ้ง
เขาไม่พยายามทำให้เด็กเป็นอัจฉริยะ ไม่ยัดเยียดศีลธรรม แต่เชื่อใน “ศักดิ์ศรีของความธรรมดา” และใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการบอกเด็กว่า “ความรู้สึกแบบนี้ พ่อก็เคยรู้สึก”
เมื่อหนังสือภาพคือพื้นที่ดูแลใจร่วมกัน
หลายคนบอกว่างานของชินสุเกะไม่ได้ช่วยแค่เด็ก แต่ช่วยพ่อแม่ด้วย เพราะมันทำให้พ่อแม่หยุดคิดว่าทุกอย่างต้องแก้ไขทันที และเรียนรู้ที่จะอยู่กับความงอแง ความลังเล และความไม่สมบูรณ์แบบได้อย่างอ่อนโยน
หนังสือของเขา เช่น “Still Stuck” (ไม่อยากเปลี่ยนเสื้อผ้า), “What Happens Next?” (อนาคตคืออะไร) หรือ “Why Do I Feel Like This?” (ทำไมรู้สึกแบบนี้ก็ไม่รู้) ล้วนเป็นนิทานที่พูดแทนความรู้สึกซับซ้อนในใจเด็ก โดยไม่ต้องใช้ถ้อยคำสวยหรู แต่เปี่ยมด้วยความเข้าใจ
ชินสุดเกะ จึงไม่ใช่แค่นักวาดนิทาน แต่เป็นพ่อที่กำลังเรียนรู้การเติบโตไปพร้อมกับลูก และใช้ปากกาบันทึกกระบวนการนี้ให้เราได้อ่านอย่างซื่อตรงที่สุด