แม่เลี้ยงต้องใจร้าย เจ้าชายไม่เคยร้องไห้ และเจ้าหญิงผู้ได้แต่รอจนตาย 

ภาพจำเหมารวม (Stereotype) ในนิทาน ที่ยังฝังชิปในหัวเราจนถึงทุกวันนี้ 

เสียงอ่านนิทานก่อนนอน หนังสือภาพวาดสีสันสดใส และเรื่องเล่าที่แสนอบอุ่นสำหรับเด็ก เราอาจลืมคิดไปว่า “เรื่องเล่า” ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสร้างจินตนาการ แต่มันคือ “เบ้าหลอมทัศนคติ” ชั้นดีด้วยเหมือนกัน และบางครั้งตัวละครบางตัวก็สร้างภาพจำบางอย่างที่ฝังอยู่ในใจ 

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเติบโตมากับนิทานที่แม่เลี้ยงใจร้าย เล่มแรกก็อาจจะไม่เป็นไร แต่เล่มถัดๆ ไป ซ้ำๆ เข้า ภาพจำของ ‘แม่เลี้ยงทุกคน’ เลยกลายเป็น ‘คนใจร้าย’ ทั้งๆ ที่ในโลกแห่งความเป็นจริงเราไม่สามารถสรุปเหมารวมแบบนั้นได้เลย 

เราไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นยุคสมัยหรือเปล่าที่นิทานเป็นอย่างนั้น อันที่จริงแล้วถ้าเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์นิทาน เราจะพบว่านิทานมีความหลากหลายมาก แต่จะมีนิทานและเทพนิยายสำหรับเด็กที่ผู้ใหญ่เลือกมาอย่างซ้ำๆ หรือเลือกพล็อตที่คุ้นเคย ซึ่งสิ่งนี้แหล่ะที่ก่อให้เกิดภาพจำแบบเหมารวม (stereotype) ต่างๆ เช่น เจ้าชายผู้กล้าหาญ เจ้าหญิงผู้อ่อนโยน หมูที่อ่อนแอ หมาป่าดุร้าย หรือแม่เลี้ยงต้องใจร้ายอยู่เสมอ

เด็กเล็กเรียนรู้โลกผ่านการฟังและอ่านนิทานเหล่านี้ ซึ่งทำให้พวกเขาซึมซับบรรทัดฐานทางสังคมและแบบแผนบทบาทจากเรื่องเล่าโดยไม่รู้ตัว ภาพเหมารวมที่พบในนิทานสามารถส่งผลต่อพัฒนาการและมุมมองของเด็กหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางความคิด จิตใจ พฤติกรรม หรือทัศนคติต่อผู้อื่นในสังคม 

บทความนี้ชวนคิดถึงผลกระทบของภาพเหมารวม (Stereotype) ในนิทานที่มีต่อเด็กในประเด็นสำคัญ ได้แก่ พัฒนาการทางความคิด, พฤติกรรมและอารมณ์, ทัศนคติต่อบทบาททางเพศ, ทัศนคติต่อเชื้อชาติศาสนาและวัฒนธรรม, ทัศนคติต่อโครงสร้างครอบครัว ตลอดจนพิจารณาความแตกต่างของผลกระทบในแต่ละช่วงวัย โดยอ้างอิงหลักฐานจากงานวิจัยและบทความวิชาการที่เกี่ยวข้อง

เรื่องเล่าที่ไม่เล่าเรื่องของทุกคน

นิทานไม่ใช่แค่เรื่องแต่ง แต่คือ รูปแบบของการเล่าเรื่องที่ไม่ใช่แค่ให้ความเพลิดเพลิน แต่ยังฝังโครงสร้างทางสังคมลงไปในหัวใจเล็กๆ อย่างแนบเนียน

นิทานจำนวนมากไม่ใช่เรื่องโกหก แต่มันเลือกเล่าแค่บางมุม บางชีวิต และบางความจริง และหากเราหยิบยกนิทานเรื่องซ้ำๆ พล็อตเรื่องเดิมๆ สิ่งที่ไม่ถูกเล่าก็กลายเป็นสิ่งที่เด็กไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ หรือแย่กว่านั้นคือไม่ให้คุณค่าเลย

เราเห็นแต่เจ้าหญิงที่ขาว ผอม สวย เรียบร้อย เหมือนรางวัลแห่งความดีงาม เราเห็นแม่เลี้ยงที่ร้ายอย่างไม่มีที่มาที่ไป เด็กชายกล้าหาญ เด็กหญิงอ่อนโยน ครอบครัวที่มีพ่อแม่แท้ๆ อยู่พร้อมหน้า

แต่เราไม่ค่อยได้เห็นเด็กที่พูดไม่เก่ง ไม่กล้าแสดงออกเป็นตัวเอก เด็กหญิงที่ไม่อยากสวยแต่อยากปีนเขา เด็กชายที่ขี้กลัวแต่มีน้ำใจ หรือเด็กที่เติบโตมากับยายกับป้าแล้วรู้สึกว่าโลกก็อบอุ่นเหมือนกัน

เด็กหญิงต้องสวย เด็กชายต้องกล้า แม่เลี้ยงต้องใจร้าย เจ้าหญิงต้องรอความช่วยเหลือ ตัวร้ายต้องหน้าตาอัปลักษณ์ ทั้งหมดนี้ปรากฏในนิทานที่เรารักมาตั้งแต่เด็ก และส่งต่อให้รุ่นถัดไป โดยไม่รู้เลยว่ามันฝังความเชื่ออะไรไว้ในใจเด็ก ๆ บ้าง

และพอเด็กมองไม่เห็นตัวเองในเรื่องเล่าซ้ำๆ เหล่านี้ พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองผิดแผกเกินกว่าจะมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง

อคติที่ฝังอยู่ในนิทานจึงไม่ได้ใช้เสียงดัง ไม่ได้ใช้ความรุนแรง แต่มันทำเด็กให้เชื่อว่า โลกมีแค่แบบเดียวเท่านั้น

และการเติบโตมากับโลกแบบเดียว มันจำกัดไม่ใช่แค่จินตนาการ แต่มันจำกัดตัวตน

เด็กหญิง เด็กชาย และโลกแคบๆ ในนิทานกว้างๆ

ภาพเหมารวมในนิทานมักกำหนดบรรทัดฐานเกี่ยวกับอารมณ์ที่ “เหมาะสม” ของแต่ละเพศ ซึ่งอาจจำกัดพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กๆ เด็กผู้ชายมักถูกปลูกฝังให้ต้องเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความอ่อนแอเหมือนดังฮีโร่ชายในนิทาน ขณะที่เด็กผู้หญิงถูกคาดหวังให้อ่อนโยน นุ่มนวล ตามแบบเจ้าหญิงผู้แสนดี การปลูกฝังเหล่านี้อาจทำให้เด็กชายเติบโตขึ้นมาโดยแสดงออกทางอารมณ์ได้จำกัด (เช่น ไม่กล้าแสดงความกลัวหรือความเศร้า) ส่วนเด็กหญิงก็อาจประเมินคุณค่าตัวเองต่ำ และขาดความมั่นใจเมื่อเทียบกับเด็กชาย เนื่องจากซึมซับความคิดว่าเพศหญิงต้องพึ่งพาผู้อื่นหรือมีความสามารถน้อยกว่าเพศชาย จากการทบทวนงานวิจัย พบว่าภาพเหมารวมทางเพศสามารถทำให้ เด็กผู้หญิงประเมินความสามารถทางสติปัญญาของตนต่ำลงและมีความภาคภูมิใจในตัวเองลดลง ขณะที่เด็กผู้ชายกลับประเมินตนเองสูงเกินจริงและแสดงอารมณ์ได้จำกัด นอกจากนี้ การที่เด็กผู้หญิงไม่ค่อยเห็นแบบอย่างตัวละครหญิงเก่งกล้าในนิทาน ยังอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นและความภูมิใจในตัวเองของพวกเธอเมื่อต้องลองทำสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตจริง

เด็กมักเลียนแบบพฤติกรรมที่นิทานนำเสนอเป็นแบบอย่าง บทบาทเหมารวมสามารถหล่อหลอมพฤติกรรมของเด็กให้ตายตัวและไม่ยืดหยุ่น งานวิจัยชี้ว่าเด็กที่ยึดมั่นกับมาตรฐานบทบาทชายแบบดั้งเดิมมากๆ เช่น พยายามทำตัวให้ “แมน” ตามขนบ จะมีรูปแบบพฤติกรรมที่แข็งกระด้างก้าวร้าวมากกว่าเด็กที่เปิดรับบทบาทที่ยืดหยุ่นกว่า ตัวอย่างเช่น การศึกษาพบว่าเด็กผู้ชายที่ยึดติดกับบรรทัดฐาน “ความเป็นชาย” สูง มักแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและเป็นปฏิปักษ์ต่อเพื่อนๆ มากกว่าเด็กผู้ชายที่มีทัศนคติเรื่องบทบาททางเพศยืดหยุ่นกว่า ส่วนเด็กที่ได้รับสื่อหรือนิทานที่เต็มไปด้วยภาพเหมารวม ก็มักจะแสดงพฤติกรรมลอกเลียนแบบการแบ่งแยกที่เห็นเหล่านั้นในชีวิตจริง เช่น เล่นแยกกลุ่มหญิงชายอย่างชัดเจน ไม่ยอมเล่นหรือทำกิจกรรมร่วมกับเพศตรงข้าม หรือแสดงท่าทีอคติต่อเพื่อนที่แตกต่างจากตน งานวิจัยหนึ่งรายงานว่า เด็กที่รับสื่อซึ่งตอกย้ำภาพเหมารวมทางเพศอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มจะเล่นแบ่งแยกตามเพศและแสดงพฤติกรรมกีดกันเพื่อนที่เป็นเพศตรงข้ามมากขึ้น เมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่ได้รับสื่อแบบนั้น พฤติกรรมการกีดกันหรือแยกกลุ่มเช่นนี้สะท้อนว่าภาพเหมารวมสามารถปลูกฝังอคติในใจเด็ก และขัดขวางการพัฒนาทักษะทางสังคมที่ดี เช่น การร่วมมือกับผู้อื่นหรือความเข้าใจเพื่อนต่างกลุ่ม

เมื่อเด็กพยายามปรับตัวให้เข้ากับภาพเหมารวมที่สังคมคาดหวัง พวกเขาอาจเผชิญความเครียดและปัญหาทางอารมณ์ตามมา เด็กที่รู้สึกว่าตนเองไม่ตรงกับภาพที่ “ควรเป็น” ในนิทาน เช่น เด็กชายที่ไม่กล้าหาญหรือแข็งแรงที่สุด หรือเด็กหญิงที่ไม่สวยอ่อนหวานตามแบบเจ้าหญิง อาจเกิดความรู้สึกด้อยค่าและไม่ยอมรับตนเอง นอกจากนี้ การขาดตัวอย่างการแสดงออกทางอารมณ์ที่หลากหลาย เช่น ตัวละครชายมักไม่ร้องไห้หรืออ่อนโยน ทำให้เด็กชายหลายคนเลือกเก็บกดความรู้สึก ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตในระยะยาว เช่นเดียวกับเด็กหญิงที่อาจวิตกกังวลเรื่องรูปร่างหน้าตาและพยายามไล่ตามความงามตามอุดมคติที่นิทานกำหนด การศึกษาทบทวนโดย Cvencek และคณะ (2019) ระบุว่าการรับภาพเหมารวมอย่างต่อเนื่องในวัยเด็กมีความเชื่อมโยงกับปัญหาด้านสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของเด็ก ทั้งยังกระทบต่อความใฝ่ฝันทางการศึกษาและอาชีพในอนาคตของพวกเขาอย่างมีนัยสำคัญ ผลกระทบทางอารมณ์เหล่านี้อาจเริ่มแสดงชัดขึ้นเมื่อเด็กโตขึ้น หากไม่ได้รับการแก้ไขหรือสร้างความเข้าใจใหม่ๆ ที่ถูกต้องกว่าแทนที่ภาพเหมารวมเดิม

ทั้งหมดนี้ยังไม่นับรวมถึงอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากแต่กลับถูกละเลยบ่อยที่สุด โลกของนิทานจำนวนมากยังไม่เปิดพื้นที่ให้กับเพศอื่นๆ เลยนอกจากหญิงและชายในแบบขนบ ตัวละครที่เป็น non-binary เด็กที่มีอัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงกับเพศกำเนิด หรือแม้แต่เด็กที่มีความหลากหลายทางเพศที่ยังไม่อธิบายเป็นคำชัดเจน แทบไม่มีพื้นที่ในโลกของนิทานคลาสสิก 

เมื่อไม่มีการกล่าวถึง ไม่มีการมองเห็น และไม่มีการเล่า เด็กจำนวนมากที่มีความหลากหลายเหล่านี้จึงโตมาโดยรู้สึกว่าโลกของเรื่องเล่าไม่รวมเขาอยู่ในนั้น

ทั้งที่ในความเป็นจริง เด็กทุกคนมีสิทธิ์จะมีเรื่องเล่าเป็นของตนเอง และโลกของนิทานควรเป็นที่แรกที่เขาจะได้รู้ว่า เขามีตัวตน มีคุณค่า และมีสิทธิ์ไปต่อกับจินตนาการที่มีพวกเขาอยู่ในนั้น 

ตัวละครที่หายไป: ถ้าเด็กไม่เห็นตัวเองในนิทาน เขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าตัวเองสำคัญ?

การเปิดโอกาสให้เด็กได้อ่านนิทานที่มีตัวละครหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้เปิดใจกว้างต่อความแตกต่างของผู้คนรอบตัว และพัฒนา ความเห็นอกเห็นใจ และ ความเข้าอกเข้าใจ ต่อผู้อื่นที่ต่างไปจากตน

ในอดีต นิทานและวรรณกรรมเด็กจำนวนมากไม่ได้สะท้อนความหลากหลายทางเชื้อชาติหรือวัฒนธรรมของสังคมอย่างแท้จริง เด็กจำนวนมาก โดยเฉพาะในโลกตะวันตก เติบโตมากับหนังสือที่ตัวละครส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว และแทบไม่พบตัวละครจากเชื้อชาติอื่นเลย มีการสำรวจหนึ่งที่ชี้ว่า ในปี 2018 หนังสือเด็กมีตัวละครสัตว์มากกว่าตัวละครเด็กผิวสีทุกกลุ่มรวมกันเสียอีก การขาดการนำเสนอความหลากหลายเช่นนี้ส่งผลให้เด็กที่ไม่ได้เห็นเชื้อชาติหรือวัฒนธรรมอื่นในนิทาน อาจพัฒนาโลกทัศน์แบบแคบ และเกิดความไม่คุ้นเคยหรือมีอคติต่อผู้คนต่างเชื้อชาติเมื่อเติบโตขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น บางกรณีที่นิทานพยายามพูดถึงคนต่างเชื้อชาติ ก็มักทำอย่างผิวเผินหรือนำเสนอคนกลุ่มน้อยในแง่ลบ เช่น ในหนังสือสำหรับเด็กยุคก่อนๆ ของสหรัฐอเมริกา ตัวละครผิวดำมักถูกลบหายไปจากเรื่องโดยสิ้นเชิง หรือหากมีก็มักโผล่มาในบทบาทเบี้ยล่างหรือตัวตลกเท่านั้น เมื่อเด็กได้ยินได้อ่านเนื้อหาที่ผู้คนกลุ่มหนึ่งถูกลบทิ้งหรือถูกลดทอนให้ดูต้อยต่ำ เด็กย่อมซึมซับนัยยะทางสังคมว่าคนกลุ่มนั้นไม่มีความสำคัญหรือ “ไม่ดี” เท่ากลุ่มของตน และเกิดอคติโดยไม่รู้ตัวต่อคนที่แตกต่างไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีผิว ชาติพันธุ์ หรือวัฒนธรรม

สำหรับเด็กที่มีภูมิหลังแตกต่างจากภาพตัวเอกส่วนใหญ่ในนิทาน เช่น เด็กชาติพันธุ์หรือวัฒนธรรมที่ไม่ค่อยปรากฏในนิทานกระแสหลัก การไม่เห็น “ตัวเอง” ในเรื่องเล่าอาจส่งผลกระทบทางจิตใจที่สำคัญ เด็กเหล่านี้อาจรู้สึกด้อยค่าและไม่ภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเท่าที่ควร เมื่อเด็กผิวสีหรือเด็กกลุ่มน้อยไม่เคยเห็นตัวละครที่มีหน้าตาเช่นเดียวกับตนในหนังสือเด็กเลย มันสามารถบั่นทอนความภาคภูมิใจในตนเองและทำให้เด็กคิดว่าตนไม่มีตัวตนหรือไม่มีคุณค่าในสายตาผู้อื่น ขณะเดียวกัน เด็กกลุ่มใหญ่หรือเด็กที่อยู่ในวัฒนธรรมกระแสหลัก เมื่อไม่ได้รับรู้เรื่องราวของกลุ่มอื่น ก็อาจขาดความเข้าใจและความเห็นใจต่อประสบการณ์ที่แตกต่าง การมีนิทานหรือสื่อที่สะท้อนความหลากหลายอย่างเท่าเทียมกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เด็กทุกกลุ่มรู้สึกมีตัวตนและมีคุณค่า และเพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดทัศนคติที่ยอมรับความแตกต่างของผู้คนในสังคม

เมื่อแม่เลี้ยงทุกคนกลายเป็นคนใจร้าย 

นิทานหลายเรื่องสร้างภาพเหมารวมของ แม่เลี้ยงใจร้าย เช่นแม่เลี้ยงของซินเดอเรลลาในภาพ ทำให้เด็กๆ ซึมซับความคิดว่า “แม่เลี้ยง” มักจะเป็นผู้ไม่รักหรือคอยกลั่นแกล้งลูกเลี้ยงของตน


เทพนิยายคลาสสิกจำนวนมากมีตัวละคร แม่เลี้ยง ที่ถูกทำให้เป็นตัวร้ายของเรื่อง ไม่ว่าจะใน สโนว์ไวท์ ที่แม่เลี้ยงคิดอิจฉาริษยาลูกเลี้ยงจนคิดฆ่า หรือใน Hansel and Gretel ที่แม่เลี้ยง (แม่เลี้ยงในบางฉบับหรือแม่บังเกิดเกล้าตามบางฉบับ) นำเด็กไปปล่อยป่า ความซ้ำซากของภาพแม่เลี้ยงที่โหดร้ายเหล่านี้ทำให้เด็กจำนวนไม่น้อยเติบโตมาพร้อมกับอคติใต้สำนึกว่า “แม่เลี้ยง” เป็นบุคคลที่น่ากลัวหรือน่ารังเกียจ มีการรวบรวมพบว่ามีนิทานพื้นบ้านและเรื่องเล่าทั่วโลกราวกว่า 900 เรื่องที่เล่าถึงแม่เลี้ยงในฐานะตัวร้าย ส่งผลให้โดยภาพรวม “สังคมมักมองแม่เลี้ยงในแง่ลบมากกว่าบุคคลอื่นในครอบครัว” กล่าวคือมองว่าแม่เลี้ยงไม่ค่อยใจดี มีความโหดร้าย ไม่เป็นที่น่ารักน่าไว้วางใจเท่ากับพ่อแม่แท้ๆ อคตินี้ถูกถ่ายทอดแม้กระทั่งในภาษา หลายภาษามีสำนวนหรือนิยามของคำว่า “แม่เลี้ยง” ที่ให้ความหมายเชิงลบ ผลที่ตามมาคือ เด็กที่เติบโตมากับนิทานแม่เลี้ยงใจร้ายอาจมีทัศนคติแง่ลบต่อแม่เลี้ยงของตนโดยอัตโนมัติ หรือตั้งแง่ระแวงหากวันหนึ่งต้องมีสมาชิกครอบครัวใหม่เป็นแม่เลี้ยง/พ่อเลี้ยง แม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่ได้ประพฤติไม่ดีกับเขาเลยก็ตาม

HAPPILY EVER AFTER 

นิทานมักจบลงอย่างมีความสุขพร้อมการอยู่พร้อมหน้าของเจ้าชายและเจ้าหญิง ซึ่งสะท้อนอุดมคติของ “ครอบครัวสมบูรณ์” ที่มีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเสมอ ในทางตรงกันข้าม นิทานที่ตัวละครเอกมาจากครอบครัวที่ขาดหรือแตกแยก เช่น เด็กกำพร้าพ่อแม่ หรือครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว มักทำให้สภาพครอบครัวนั้นเป็นปมปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข หรือไม่ก็โยงกับความทุกข์ยากของตัวเอก เช่น ซินเดอเรลล่าที่แม่เสียและพ่อไม่อยู่ ทำให้ต้องทนทุกข์กับแม่เลี้ยง การนำเสนอเช่นนี้ตอกย้ำกับเด็กว่า ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบจะต้องมีพ่อและแม่แท้ๆ อยู่พร้อมหน้า ส่วนครอบครัวรูปแบบอื่นไม่ใช่สิ่งพึงปรารถนา ส่งผลให้เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว (พ่อหรือแม่คนเดียว) หรือครอบครัวที่มีพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง อาจรู้สึกอับอายหรือคิดว่าครอบครัวตน “ผิดปกติ” เมื่อเทียบกับที่นิทานวาดฝันไว้ ในกลุ่มเด็กที่พ่อหรือแม่แต่งงานใหม่ เด็กบางคนอาจมองผู้นั้นเป็นผู้ร้ายตั้งแต่แรกเพียงเพราะอิทธิพลของภาพจำแม่เลี้ยงใจร้ายจากนิทาน ซึ่งบั่นทอนพัฒนาการความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัวจริงของพวกเขา

แน่นอนว่าในชีวิตจริง แม่เลี้ยง พ่อเลี้ยง หรือครอบครัวรูปแบบใหม่ๆ มากมายไม่ได้เป็นไปอย่างภาพเหมารวมในนิทาน มีงานวิจัยที่เริ่มชี้ให้เห็นว่าการมีแม่เลี้ยงที่เข้าอกเข้าใจสามารถช่วยเยียวยาจิตใจเด็กหลังผ่านประสบการณ์พ่อแม่หย่าร้างได้ด้วยซ้ำ แต่ภาพจำในนิทานนั้นฝังแน่นเสียจนแม้ในยุคปัจจุบันที่สังคมมีอัตราการหย่าร้างและการแต่งงานใหม่สูง เด็กจำนวนมากก็ยังรับเอาอคติต่อครอบครัวที่ไม่ใช่พ่อแม่แท้ไปโดยไม่ตั้งใจ ทั้งหมดนี้บ่งชี้ถึงความจำเป็นที่ผู้ใหญ่รอบตัวเด็กควรช่วยกันอธิบายความหลากหลายของโครงสร้างครอบครัวให้เด็กเข้าใจ และคัดสรรนิทานหรือสื่อที่ไม่ตอกย้ำอคติเก่าๆ เพื่อให้เด็กๆ เปิดใจกว้างและปรับตัวกับโลกความจริงที่ครอบครัวไม่ได้มีรูปแบบเดียว

เดี๋ยวก่อนยังไม่จบ : แล้วเราจะทำยังไงกันดี?

โชคดีที่วันนี้ โลกของนิทานไม่ได้มีเพียงเจ้าหญิงผิวขาวในชุดราตรีหรือเจ้าชายผู้กล้าเพียงหนึ่งเดียวอีกต่อไป

นิทานร่วมสมัยจำนวนมากกำลังเล่าเรื่องของ “ทุกคน” มากขึ้น เรื่องของเด็กที่ไม่อยากเป็นฮีโร่แต่แค่อยากเลี้ยงแมว เด็กหญิงผิวดำที่มีพลังจากเสียงหัวเราะ เด็กชายที่พูดน้อยแต่ฟังเก่ง หรือเด็กที่ยังไม่แน่ใจว่าเพศสภาพของตนเป็นอย่างไรแต่มีใจอ่อนโยนและจินตนาการแสนงดงาม

ลองหยิบ Julian is a Mermaid, Red: A Crayon’s Story, Neither มาลองอ่านดู 

  • Julian is a Mermaid เล่าเรื่องของเด็กชายคนหนึ่งที่เห็นเหล่าสตรีในชุดนางเงือกแล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากเป็นนางเงือกบ้าง หนังสือเล่มนี้อ่อนโยนและทรงพลังในการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้จินตนาการนอกกรอบเรื่องเพศ
  • Red: A Crayon’s Story คือเรื่องของสีแดงแท่งหนึ่งที่แท้จริงแล้วเป็นสีฟ้า แต่ถูกตีตราด้วยฉลากผิด ๆ เรื่องนี้เปรียบเปรยเรื่องอัตลักษณ์และความคาดหวังของสังคมอย่างลึกซึ้งในรูปแบบที่เข้าใจง่าย
  • Neither เป็นนิทานที่เล่าเรื่องของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่กระต่ายและไม่ใช่นก แต่เป็นตัวอะไรบางอย่างที่ “อยู่ระหว่างนั้น” นิทานเรื่องนี้พาเด็กไปสำรวจโลกของความหลากหลายทางอัตลักษณ์ และการยอมรับในสิ่งที่ไม่เข้าในกรอบใดเลย

แล้วคุณจะพบว่า นิทานมีพลังพาเด็กเห็นว่าโลกไม่ได้มีแค่แบบเดียว และนั่นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว

แล้วผู้ใหญ่จะทำอย่างไร?

  1. เปิดใจให้กว้างก่อนเปิดนิทาน  เพราะเด็กไม่ใช่คนเดียวที่ซึมซับนิทาน ผู้ใหญ่เองต่างก็โตมากับขนบนิทานแบบเดียว การเปิดใจต่อเรื่องเล่ารูปแบบใหม่คือการเติบโตไปพร้อมกัน
  2. เลือกนิทานที่มีความหลากหลาย  ลองมองหาเรื่องที่มีมุมมองใหม่ ตัวละครที่ไม่สมบูรณ์แบบ พล็อตที่ไม่จบด้วย “แต่งงาน” และนิทานที่ทำให้เด็กอยากตั้งคำถาม 
  3. สนับสนุนการตั้งคำถามและคิดเชิงวิพากษ์   ถ้าเด็กถามว่า “ทำไมแม่มดต้องหน้าเหมือนคนน่ากลัว?” หรือ “ทำไมตัวร้ายน่าเกลียดทุกคน?” อย่าตกใจ นั่นคือโอกาสที่ดีในการพูดเรื่อง stereotype กับเขาอย่างอ่อนโยนและซื่อตรง

บางที สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ “เล่า” นิทานให้เด็กฟัง

แต่คือการฟังเด็ก “ตอบกลับ” นิทานเหล่านั้นด้วย


Writer

Avatar photo

กองบรรณาธิการ Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts