คุยกับพ่อจั๊ก-ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ถึงสังคมที่ดี มีสวัสดิการถ้วนหน้า ที่จะทำให้เด็กๆ เติบโตได้อย่างปลอดภัย

หากใครที่ติดตามข่าวเชิงสังคมและเศรษฐกิจอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็น  ‘รัฐสวัสดิการ’ ‘สวัสดิการ’ ‘ทุนนิยม’ ‘ล้างหนี้กยศ.’ และ ‘ประกันสังคม’

เชื่อเหลือเกินว่าคุณอาจจะพอคุ้นหน้าเขาคนนี้ – ใช่แล้ว เขาคือ รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี หรือ ‘อาจารย์จั๊ก’ อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ศึกษาวิจัยด้านรัฐสวัสดิการ และผลักดันนโยบายที่ส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐสวัสดิการ หนึ่งผู้ร่วมจดจัดตั้งและที่ปรึกษาปีกแรงงานพรรคอนาคตใหม่ และกรรมการผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตน คณะกรรมการประกันสังคม

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็น ‘คุณพ่อมือใหม่’ ของ ‘น้องฟินแลนด์’ ลูกสาววัย 1 ขวบหมาดๆ ของบ้านธรรมบุษดี 

ในวันนี้ Mappa จึงชวนอาจารย์จั๊กสนทนาสบายๆ เกี่ยวกับบทบาทของคุณพ่อในการสนับสนุนการเติบโตของลูก การเติบโตของเขาไปกับบทบาทคุณพ่อ มากไปถึงสังคมแบบไหนที่ใฝ่ฝันให้ลูกเติบโตในฐานะคุณพ่อผู้เชื่อมั่นในรัฐสวัสดิการ

‘คุณพ่อมือใหม่’

“ตอนที่รู้ว่ากำลังจะเป็นคุณพ่อ อาจารย์รู้สึกอย่างไรบ้าง?” เป็นคำถามแรกที่เราเริ่มถาม อาจารย์จั๊กตอบเราด้วยรอยยิ้มจากแก้มไปจนถึงดวงตา ก่อนจะเล่าว่า “ผมแต่งงานตั้งแต่อายุ 28 ปีและพยายามมาลูกมาตลอดอีกกว่า 10 ปี ด้วยเป็นครอบครัวที่มีบุตรยาก จึงต้องมีการเตรียมพร้อมและทบทวนความรู้สึกอยู่เสมอว่าเรายังอยากมีลูกหรือไม่”

“นอกเหนือไปจากการเตรียมความพร้อมด้านร่างกาย การเตรียมพร้อมทางจิตใจก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหลังจากนี้จะต้องเหนื่อย และอาจมีบางเวลาที่รู้สึกยาก ตรงนี้จึงเป็นอีกการเตรียมตัวสำคัญที่ผมเตรียมพร้อม” อาจารย์จั๊กว่าต่อ

ด้วยความที่น้องสาวของภรรยามีลูกชายก่อน เขาเองจึงได้มีโอกาสได้ดูแล เลี้ยงดู และสัมผัสกับเด็กอย่างใกล้ชิด นั่นเลยทำให้เขาและภรรยายิ่งมี ‘ความพร้อม’ ที่อยากจะมีลูก 

จนกระทั่งมีข่าวดีเกิดขึ้น นั่นนับเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับเขาและครอบครัว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยอมรับว่ามีความกังวลไม่น้อยในระหว่างที่ภรรยาตั้งครรภ์

“ความกังวลที่ว่า ถึงแม้ว่าพ่อแม่ทุกคนจะเคยผ่านมา แต่ผมว่าเรายังไม่ค่อยเห็นเราพูดถึงกันอย่างตรงไปตรงมาเท่าไร เพราะมันมักจะจบที่ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป แต่ที่จริงแล้วเราควรได้รับการสนับสนุนจากรัฐฯ ในเรื่องนี้ ซึ่งผมว่าประเทศไทยดีขึ้น แต่ยังไม่ได้เท่ามาตรฐาน” 

ความกังวลและท้าทายในการเป็นคุณพ่อครั้งแรกของเขา รวมถึงคุณพ่อคนอื่นๆ อาจไม่ต่างกันมาก นั่นคือ การทำความเข้าใจต่อคนที่ตั้งครรภ์ เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่ฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก รวมถึงลักษณะทางกายภาพของคุณแม่เอง ซึ่งในประเทศไทยเราอาจจะยังไม่มีพื้นที่สาธารณะที่พอเหมาะจะรองรับกับคนท้องมากเท่าไรนัก 

“หากถามถึงการดูแลกันในครอบครัว ผมอาจจะพูดได้ในฐานะที่มีอภิสิทธิ์บางอย่าง คือการทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ผมอาจจะสลับตารางสอน หรือสลับตารางด้านการทำงานวิจัยได้ อย่างไรก็ดีครอบครัวจำนวนมากไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะทำเช่นนี้ได้ ดังนั้นมันเลยเป็นเรื่องใหญ่ที่เราพยายามผลักดันถึงเรื่องของการขยายวันลาคลอดเป็น 180 วัน แต่เอาจริงๆ ช่วงขวบปีแรกนี่ 6 เดือนยังแทบไม่พอด้วยซ้ำ”

‘น้องฟินแลนด์’

หลังจากรอคอยมานานนับสิบปี ในที่สุดวันที่ 27 ธันวาคม 2566 ก็เป็นวันเกิดของ ‘น้องฟินแลนด์’ ลูกสาวของบ้าน

“เรารอคอยอะไรมาหลายอย่างในชีวิตซึ่งในหลายครั้งเรามักรู้สึกว่ามันยาวนาน แต่การรอคอยตลอด 9 เดือนนี้ถึงจะยาวนานแต่ก็ไม่ทรมาน เป็นการรอคอยที่เปี่ยมไปด้วยความสุข”

“ผมชอบคุยเล่นกับน้องสาวอยู่เสมอว่า หากเราสามารถย้อนเวลาเหมือนกับพระเอกในหนังเรื่อง About Time (2013) ได้ ผมเองก็คงย้อนไปวันที่ 27 ธันวาคม 2566 วันที่ฟินแลนด์เกิดซ้ำๆ

“ด้วยบรรยากาศช่วยปลายปี อากาศเย็นๆ มันเป็น Moment of Joy ที่ยากจะหาอะไรมาเทียบเคียงได้ วันนั้นผมเข้าไปในห้องคลอดด้วยซึ่งพอลูกสาวออกมามันเป็นความรู้สึกที่… จากอดีตในฐานะมนุษย์ปัจเจกชนชีวิตของเราสำคัญที่สุด แต่ช่วงเวลาที่ลูกเกิดมาทำให้เราได้รู้ว่า ในโลกนี้มีสิ่งที่สำคัญมากกว่าเราแล้วนะ” อาจารย์จั๊กพูดด้วยรอยยิ้มเช่นเคย เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงห้วงขณะแห่งความสุขในวันนั้น

เหตุผลที่เป็นชื่อ ‘ฟินแลนด์’ เพราะเมื่อปี 2564 อาจารย์มีโอกาสไปทำงานเป็นนักวิจัยรับเชิญที่ประเทศฟินแลนด์ ซึ่งในครั้งนั้นภรรยาของอาจารย์ก็ได้มีโอกาสไปด้วย ทั้งคู่ชอบประเทศนี้มาก ก่อนหน้านั้นเขาเองเคยได้ไปอีกหลายประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ทั้งสวีเดน นอร์เวย์ และเดนมาร์ก แต่ก็อาจไม่ได้ถูกตาต้องใจเท่ากับฟินแลนด์

“ฟินแลนด์เป็นประเทศเล็กๆ ที่ก้าวสู่การเป็นประเทศรัฐสวัสดิการช้ากว่าประเทศอื่นๆ เพราะเพิ่งเป็นรัฐสวัสดิการช่วงทศวรรษที่ 80 นี่เอง แต่เขาจะเป็นประเทศที่มีความ humble ที่ถึงแม้จะพื้นที่จำกัด แต่ข้อดีคือคนในชุมชนจะรู้จักกันหมด ถึงแม้ว่าผมและภรรยาเองจะอยู่แค่ระยะเวลาสั้นๆ 3-4 เดือน แต่เราก็รู้สึกว่าเราได้รับการปฏิบัติที่ดีอย่างอบอุ่นจากคนในประเทศที่ดูเหมือนจะหนาวเย็นมากๆ” อาจารย์จั๊กเล่า

“ภรรยาผมก็ชอบประเทศนี้มาก ซึ่งพอหลังจากกลับมาจากฟินแลนด์เราก็พยายามตั้งครรภ์กันจนสำเร็จในปี 2566”

“นอกจากชื่อฟินแลนด์ ที่จริงก็มีลิสต์ไว้อีก 3-4 ชื่อ เช่น ‘มูมิน’ ‘แซนน่า’ (ตั้งตาม Sanna Marin นายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดในโลก) จนสุดท้ายมาจบที่ชื่อ ‘ฟินแลนด์’ นี่แหละครับ”

สำหรับการเลี้ยงเด็กเล็ก เขาไม่ปฏิเสธว่า เหนื่อยจริงๆ เหนื่อยแบบไม่มีเชิงอรรถ พร้อมหัวเราะเบาๆ

“ยิ่งช่วง 3 เดือนแรกคือเขาจะตื่นทุก 2 ชั่วโมง อันนี้ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นความเหนื่อยทางกายภาพเพราะเราต้องให้เวลาเต็มที่กับตรงนั้น”

“อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการ ‘ให้นมแม่’ มันค่อนข้างจะ dilemma นิดหน่อย สำหรับผมมองว่าสิ่งนี้ควรจะเป็น ‘ทางเลือก’ มากกว่าจะมาตีตราว่าให้นมแม่หรือนมผง ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องศีลธรรมขนาดนั้น เพราะร่างกายแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไป”

“ด้วยอุดมการณ์และงานที่ทำ พอวันหนึ่งกลายมาเป็นคุณพ่อแล้วจริงๆ อาจารย์มีความรู้สึกว่ายิ่งอยากทำให้ปณิธานบางอย่างของตัวเองสำเร็จด้วยไหม?” เราถามต่อ

“หลายคนบอกกับผมว่า เมื่อเรามีครอบครัวเรามักจะมีแนวโน้มเป็นอนุรักษนิยมขึ้นเพราะเรามักมีแนวโน้มที่จะคิดถึงตัวเอง แต่สำหรับผมเอง ผมอยากให้สังคมดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่า” อาจารย์จั๊กกล่าวด้วยสายตามุ่งมั่น

เขาเล่าต่อว่า คนทั่วไปอาจจะมองว่าเขาเป็นคนเบียวๆ (ชูนิเบียว : 中二病) พลางหัวเราะ แต่เขาคิดว่าจะแค่แนะนำ ไม่ได้นำเอาความชอบทุกอย่างของตัวเองให้ลูกทีเดียวทั้งหมดขนาดนั้น 

“ผมอยากให้เขาได้เรียนรู้กับคนที่หลากหลาย หลากหลายจุดยืน หลากหลายความคิด แต่อะไรที่เป็นพื้นฐาน อย่างเรื่องสิทธิมนุษยชน (Human Rights) หรือแนวคิดเชิงสตรีนิยม (Feminism) ก็เป็นเรื่องสำคัญ เรื่องเหล่านี้อาจจะวางรากฐานเอาไว้ แต่เรื่องรสนิยมอื่นใดก็ให้เป็นทางของเขาเอง”

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็น ‘คุณพ่อ’

“ผมเคยเขียนบทความลงที่ Decode.plus เป็นจดหมาย 4 ฉบับถึงลูกสาว ว่าด้วยโลกในแบบที่เราอยากให้เขาเติบโตมา อย่างที่ผมบอกว่า ผมอยากเห็นสังคมนี้ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม สมมติว่าอีก 38 ปีข้างหน้าฟินแลนด์จะอายุเท่าผมในวันนี้ และวันนั้นผมจะอายุ 76 ปี ผมก็อยากให้เขาอยู่ในสังคมที่ดี ที่เป็นสังคมที่ยุติธรรม สังคมที่เขาไม่ต้องเหนื่อย สังคมที่ทุกคนมีความเสมอภาคกัน ภาพแบบนี้ชัดมากขึ้นในหัวของผมตั้งแต่มีลูก”

‘การเห็นภาพสังคมที่ดีชัดมากขึ้น’ คือสิ่งแรกที่เขาได้เรียนรู้จากการเป็นคุณพ่อ 

ถัดมา หลังจากที่ได้เลี้ยงเด็กเล็กมาสักพัก เขาค้นพบว่าแท้จริงแล้วความสุขแบบเด็กๆ นั้นเรียบง่ายมากๆ พวกเขาสามารถแสดงออกได้อย่างตรงไปตรงมา และสามารถเล่นได้อย่างที่ใจอยาก

“อย่างเช่นคอกนี้ (ชี้ไปที่คอกกั้นเบาะ) เมื่อก่อนเคยเป็นคอกของหลานชายที่ตอนนี้ส่งต่อมาเป็นที่เล่นของฟินแลนด์ ตรงที่เป็นที่ๆ เขาสามารถหัดคลาน การคลานคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับวัยก่อนหนึ่งขวบเพราะได้ใช้ทุกทักษะ ใช้ตั้งคอ ใช้ตาสังเกต ใช้ขาค่อยๆ หยัดยืนแบบไม่ต้องรีบเร่งอะไร พ่อแม่ก็ลงไปเล่นกับเขาได้

“นั่นทำให้เราค้นพบว่า ที่จริงแล้วของเล่นอาจไม่ต้องมีเยอะ แค่มีพื้นที่สำหรับเล่นอิสระก็พอ”

หนึ่งขวบแรกของลูกคือความมหัศจรรย์ของชีวิต – อาจารย์จั๊กบอกกับเราเช่นนั้น

การเรียนรู้ที่สามหลังจากได้เป็นคุณพ่อคือ ‘การพยายามมีสติในการตัดสินใจ’ 

“ผมคิดว่าอย่างไรพ่อแม่ก็คงต้องเป็น คนห่วยในสายตาลูก คือไม่ว่าเราจะพยายามดีแค่ไหน แต่มันก็คงมีบ้างที่เราทำผิดพลาดกับเขา และสิ่งที่ผิดพลาดไปนั้นแม่จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่นั่นก็อาจจะเป็นแผลสำหรับลูกไม่ว่าเราจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมจะฝึกและเตือนตัวเองต่อไปคือ จะพยายามขอโทษลูกให้ได้บ่อยๆ เมื่อเรารู้สึกว่าเราทำไม่ดีกับเขา”

สังคมที่ปลอดภัย สามารถไว้ใจ และเอื้อเฟื้อต่อๆ ไปกับการเติบโตของเด็กๆ  คือสังคมที่อยากให้เด็กๆ ได้เติบโต

“ผมอยากให้สังคมเราใจดีและเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กๆ ทุกคน

ให้พวกเขาได้เป็นเด็กนานๆ เก็บความฝัน และความสนุก

เพราะคนรุ่นผมเติบโตพร้อมกับการเร่งให้โตและแข่งขัน

รู้ตัวอีกที เราก็ลืมความฝัน และความสุขแบบเด็กๆ ไปแล้ว”

‘สังคมที่มีความยุติธรรม’ จึงเป็นคำตอบนั้นสำหรับอาจารย์จั๊ก

“ผมอยากเห็นสังคมที่ทุกคนสามารถวิ่งตามความฝันได้โดยไม่ต้องผูกติดกับชาติกำเนิด เป็นสังคมที่ปลอดภัยให้เขาเติบโตได้อย่างแข็งแรง

“พ่อแม่ยุคใหม่คาดหวังเท่านี้แหละ เราไม่ได้คาดหวังว่าลูกจะต้องร่ำรวย มีใบปริญญาหรือชื่อเสียงอะไรมาก แต่เอาเป็นว่าแค่แข็งแรง มีความสุข และปลอดภัย มันก็ต้องการพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมครั้งใหญ่อยู่เหมือนกัน” อาจารย์จั๊กว่า 

“ผมก็อยากให้สังคมที่ฟินแลนด์จะเติบโตก็คือเป็นรัฐสวัสดิการนี่เอง เป็นฟินแลนด์ในประเทศไทย เป็นสังคมที่มอบเรื่องพื้นฐานที่เขาควรได้รับ เวลาป่วยก็ควรได้รับการอนุญาตให้ป่วย เราอยากมีความรักเราก็ได้รับการอนุญาตให้มีรักที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกในเพศภาวะแบบใดก็ไร้ซึ่งการกีดกัน เมื่อเราอายุมากขึ้นเราก็ได้รับการอนุญาตให้แก่ อยากเรียนหนังสือก็ได้เรียน

“ง่ายๆ คือได้รับอนุญาตให้เราได้เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งนี่แหละ แต่ตอนนี้ยากเหลือเกิน ยากมาก ทั้งหมดที่ผมพูดมาเราไม่ได้รับอนุญาตเลยสักทีเดียว”

สำหรับการออกแบบทุกสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกันไม่ว่าคนในสังคมจะมีทางเลือกในชีวิตแบบใดก็ตาม อาจารย์จั๊กกล่าวว่า แค่เพียงเรามองสวัสดิการทุกมิติให้เป็นเรื่องง่ายๆ และไม่ต้องอาศัยนวัตกรรมที่ซับซ้อน เรื่องอะไรที่เรามองว่าสำคัญ เรื่องนั้นควร ‘ฟรี’ ทั้งหมด ไม่มีอะไรเป็นเรื่องเล็ก ไม่มีอะไรเป็นเรื่องใหญ่เกินไป และไม่ควรมองทุกอย่างเป็นขาว-ดำแยกส่วนกัน เพราะที่จริงแล้วเราล้วนอยู่ในสังคมเดียวกัน และทุกสิ่งอย่างล้วนสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ขาด

แน่นอนว่าการเติบโตของเด็กคนหนึ่ง เรามีหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเต็มไปหมดในฐานะของนิเวศรอบตัวเด็ก ซึ่งนั่นไม่ใช่แค่ครอบครัวที่มีส่วนสำคัญ แต่หมายถึง ‘ทุกคน’ รอบข้างก็ย่อมมีส่วนร่วมในการเติบโตของเด็กๆ กันทั้งนั้น เราจึงชวนคุยต่อถึงเรื่องนี้

“ในแง่วิชาการผมพูดได้อยู่แล้ว แต่ในฐานะพ่อก็ต้องถ่อมตัวมากๆ เพราะเป็นพ่อคนครั้งแรก และทุกอย่างคงไม่ได้เป็นไปตามที่ผมคาดหวังจะให้เป็น

“ผมไม่ควรจะคาดหวังอะไรเยอะเพราะฟินแลนด์ก็จะต้องเติบโตและกำหนดโลกของเขา พอถึงวัย 7 ขวบเขาอาจจะมีความสามารถกำหนดตัวตนแบบที่อยากเป็น โลกที่อยากเห็น ถ้าให้ผมมองอาจจะเป็นเรื่องของการสร้าง Trust Society ว่าด้วยสังคมที่ไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน เพื่อที่เด็กๆ จะได้เติบโตได้อย่างปลอดภัย”

“ผมนึกถึงคำของหมอประเสริฐ (นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์) ว่า ช่วงเวลาที่ดีจะกลายมาเป็นยาชูกำลังเมื่อเราเจอปัญหา ถ้าเรามีช่วงเวลาที่ดีมากพอเมื่อครั้งยังเด็ก ถ้าถามตัวผมเองถึงช่วงเวลาที่ดีของผม ผมก็นึกถึงความสนุกตอนเด็กๆ คือการเล่นอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ตอนที่เราเลือกคณะหรือสอบออกมาได้เกรดดีๆ แล้วในสมุดพกมีแต่คุณครูชม”

“แม่ผมเล่าว่า ปีที่ผมเกิดมีดางหางฮัลเลย์โคจรมาให้เราเห็นเพราะตอนนั้นเป็นครึ่งรอบของดาวหางฮัลเลย์พอดี ดังนั้นวันที่ฟินแลนด์อายุเท่าผมในวันนี้ (38 ปี) ดาวหางฮัลเลย์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง 

“ผมผ่านชีวิตมาประมาณหนึ่ง อายุ 38-39 ปี ผมมีช่วงที่ทุกข์ สุข สมหวัง และผิดหวังทั้งจากเรื่องส่วนตัวและเรื่องการผลักดันประเด็นต่างๆ ผมก็หวังว่าในอีก 38-39 ปีข้างหน้ามันจะมีสังคมที่พยุงชีวิตของเขาไปจนถึงในช่วงนี้ เมื่อวันที่ดาวหางฮัลเลย์กลับมาอีกครั้ง เขาจะได้เห็นว่าสังคมนี้มันดีนะ เขาได้ทำอะไรต่างๆ ที่อยากทำ ได้มีความสุข ได้รัก ได้อกหัก และถึงแม้ว่าจะล้มเหลวก็ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายแล้วสังคมจะไม่ใจร้ายกับเขาก็พอ”

เพราะ ‘รัฐสวัสดิการ’ คือปลายทางของสังคมที่ใฝ่ฝัน

การเลี้ยงเด็กหนึ่งคนย่อมใช้คนทั้งหมู่บ้าน (It takes a village to raise a child.) อาจารย์จั๊กเองก็เห็นด้วยเช่นนั้น ดังนั้นการเลี้ยงเด็กหนึ่งคนจึงต้องใช้คนมากกว่าหนึ่ง ถึงแม้ว่าอัตราการเกิดทั่วโลกจะต่ำลงแม้แต่ในประเทศที่รัฐสวัสดิการดี แต่เขาเองก็ยังเชื่อว่าเราไม่ควรนำเอาปัจจัยทางเศรษฐกิจมาตัดสินทุกการกระทำและนำมาเป็นมาตรวัดเพียงอย่างเดียวที่ตายตัว

และถึงแม้ว่าวันนี้ ‘ฟินแลนด์ในประเทศไทย’ จะยังไม่เกิดขึ้นเสียทีเดียว แต่เรายังคงไม่หมดหวัง อาจารย์จั๊กเองก็เช่นกัน เขาจะยังคงมุ่งหน้าทำงานเพื่อให้สังคมที่ดีเกิดขึ้นได้ในเร็ววัน อย่างน้อยก็ก่อนที่ดาวหางฮัลเลย์จะกลับมาอีกครั้ง

ก่อนจะจากกัน สิ่งหนึ่งที่พ่อจั๊กอยากบอกกับลูกสาวในวันนี้ที่อายุครบ 1 ขวบพอดิบพอดีก็คือ “ไม่ว่าโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร เมื่อเติบโตขึ้นมาแล้ว อาจจะมีบางช่วงเวลาที่รู้สึกเพลี่ยงพล้ำ แต่ก็อยากให้ลูกยืนหยัด ต่อสู้ ใช้ชีวิตในแบบที่อยากจะเป็น และไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หันมาที่ทางนี้จะยังมีพ่อกับแม่เสมอ” 

“อ่อนแอได้ โวยวายได้ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรจะมี เราเจ็บปวดกับเรื่องของตัวเองได้ รวมถึงเรื่องของคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน”

“ผมอยากให้สังคมนี้ใจดีกับคนรุ่นใหม่ เพราะทุกคนล้วนเคยเป็นเด็ก และทุกคนล้วนเคยเป็นคนรุ่นใหม่ และเราจะเจอโจทย์ใหม่ๆ กับคนรุ่นถัดไปแน่นอน อาจจะฝากไว้ว่า อยากให้ทุกคนช่วยกันพยายามโอบอุ้มพวกเขา และเป็นเบาะ เป็นหลังพิงเมื่อยามพวกเขาต้องการ” อาจารย์จั๊กกล่าวทิ้งท้าย


Writer

Avatar photo

รุอร พรหมประสิทธิ์

หนังสือ ไพ่ทาโรต์ กาแฟส้ม แมวสามสี และลิเวอร์พูล

Photographer

Avatar photo

ชวณิช สุริวรรณ

อย่าซีเล็ง เดี๋ยวซู้หลิ่ง

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts