ความเงียบที่เสียงดัง : หนังสือภาพที่สร้างโลกด้วยเส้น แสง และความเงียบของ Suzy Lee

คุณคิดว่า “ภาพ” กับ “คำ”  อะไรสำคัญกว่ากัน?
คำถามนี้ไม่มีคำตอบ และอาจจะไม่จำเป็นต้องตอบ 

เพราะระหว่างประโยคแรกที่ถูกเขียนกับเส้นแรกที่เริ่มขีดขึ้นมามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างนั้น สิ่งที่อยู่ระหว่าง เส้น สี และตัวอักษร คือ “เรื่องราว”

ขอบคุณภาพจาก https://www.letstalkpicturebooks.com/

Suzy Lee  นักวาดภาพประกอบและ นักสร้างสรรค์นิทานภาพ หรือ picture book maker ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่แบบนั้นมาตลอด พื้นที่ไม่มีตัวอักษร แต่เต็มไปด้วยเสียงของความรู้สึก เธอไม่ได้ตั้งใจจะเป็นนักเขียนสำหรับเด็กตั้งแต่ต้น เธอเพียงอยากวาดภาพเรื่อย ๆ และการทำหนังสือภาพ ทำให้เธอได้อยู่กับการสร้างสรรค์งานศิลปะและใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันได้

หนังสือของเธอไม่เริ่มจาก “เรื่องราว” แต่เริ่มจาก เส้นโค้งที่อาจกลายเป็นคลื่น เงาที่อาจกลายเป็นสัตว์ในจินตนาการ เธอมักเริ่มวาดก่อนแล้วเรื่องราวค่อยๆ ตามมา 

ขอบคุณภาพจาก https://www.letstalkpicturebooks.com

“เมื่อไม่มีคำ ผู้อ่านจะสร้างเรื่องขึ้นในความคิดของเขาเอง”  เธอเคยกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง และประโยคนี้ดูเหมือนจะเป็นหัวใจของงานหนังสือภาพของเธอ

เด็ก ๆ เข้าใจสิ่งนี้ได้ทันที เด็กไม่กลัวหน้ากระดาษว่าง ไม่กลัวการไม่มีตัวอักษร ไม่กลัวเส้นน้อย ๆ บางตา หรือหนังสือที่มีเพียงสองสี และเด็ก ๆ โดยส่วนมากไม่ต้องการให้ใครบอกว่าภาพนั้นหมายถึงอะไร เด็กเพียงเปิดหนังสือ แล้วปล่อยให้สายตาไล่ไปกับเส้นสายจากนักวาด และความคิดที่ค่อยๆ ลำเลียงออกมาในสมองของพวกเขา

แต่ผู้ใหญ่จำนวนมากเมื่อเจอกับการเล่าเรื่องแบบนี้เหล่านี้กลับลังเล และสร้างความสัมพันธ์กับหนังสือเล่มนั้นไม่ถูก เมื่อไม่มีคำบรรยายหรือตัวอักษรให้เกาะ ผู้ใหญ่มักจะถามว่า “จะอ่านยังไงดี?” ทั้งที่หนังสือภาพไม่ต้องการให้เราอ่านมันแบบอ่านตัวหนังสือ

หนังสือภาพของ Suzy Lee เป็นแบบนั้น เธอมักสร้างสรรค์หนังสือภาพแบบ wordless book หรือหนังสือภาพไร้คำ ที่ใช้ “ภาพ” เป็นส่วนประกอบหลักในการเล่าเรื่อง

ขอบคุณภาพจาก https://www.letstalkpicturebooks.com

ในผลงานหนังสือภาพของเธอเรื่อง Wave เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังเล่นกับคลื่น ไม่มีชื่อ ไม่มีบทพูด ไม่มีเสียงใด ๆ ที่ถูกเขียนด้วยตัวอักษร แต่ทุกครั้งที่ภาพคลื่นซัดขึ้นฝั่ง ผู้อ่านกลับได้ยินเสียงคลื่นในหัว และรู้สึกถึงความสุข ความกลัว การสูญเสีย และการเริ่มต้นใหม่ ตามแต่ประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับ “คลื่น” จะบอกกับพวกเขา

ขอบคุณภาพจาก https://galleries.bolognachildrensbookfair.com/exhibitions/suzy-lee/bcbf23-suzylee-shadow_01-jpg

ส่วนในหนังสือภาพ  Shadow เธอเล่นกับแสงไฟในห้องเก็บของ โลกในเงามืดค่อย ๆ กลับหัวจนเงาไม่ได้อยู่ใต้เท้าอีกต่อไป แต่มายืนข้าง ๆ อย่างเท่ากัน

สิ่งที่ Suzy Lee สร้างสรรค์ ไม่ใช่การ “ตัดคำออกจากหนังสือ” แต่คือการ “คืนพื้นที่ให้ภาพได้สื่อสารด้วยภาษาของมันเอง” ภาษาที่ไม่มีตัวอักษร แต่ทุกคนสามารถเข้าใจได้

โดยเฉพาะเด็ก ๆ 

Suzy Lee เคยบอกว่า “หนังสือภาพคือศิลปะที่เราพกพาได้”

หนังสือของเธอจึงไม่ใช่เพียงของเด็ก แต่เป็นของทุกคนที่ยังอยาก “มองโลก” โดยไม่ต้องรีบ “เข้าใจ” แต่ทำให้ค้นพบบางอย่างในรอยพับกลางหน้ากระดาษ ในช่องว่างระหว่างภาพสองฝั่ง และนั่นบอกเราว่า ความเงียบในหนังสือของ Suzy Lee ไม่ใช่ความว่างเปล่า
แต่มันคือ “พื้นที่ของการฟัง”

ฟังสิ่งที่ภาพอยากพูด
และฟังสิ่งที่ความคิดของเราโต้ตอบกับมัน

เริ่มจากความเชื่อ | On Believing

ในวัยเด็ก Suzy Lee มักใช้เวลาส่วนใหญ่เงียบ ๆ กับการวาดรูป พ่อแม่ของเธอไม่ใช่ศิลปิน แต่บ้านของเธอเต็มไปด้วยหนังสือ เพลง และที่สำคัญที่สุดคือ “ความรู้สึกปลอดภัย”แบบที่ทำให้เด็กคนหนึ่งกล้าคิด กล้าวาดโดยไม่ต้องกลัวผิด “ฉันไม่ได้โตในบ้านที่สอนศิลปะอย่างจริงจัง พ่อและแม่ไม่ใช่ศิลปิน แต่ทั้งสองเปิดพื้นที่ให้ศิลปะเข้าอยู่ในชีวิตประจำวันของครอบครัวเรา” เธอเคยเล่าไว้ในบทสัมภาษณ์จากเวบไซต์ GatheringBooks เมื่อปี 2015

ขอบคุณภาพจาก https://www.letstalkpicturebooks.com

แต่สิ่งที่ทำให้เธอ เชื่อจริง ๆ ว่าการวาดอาจเป็นเส้นทางชีวิตของเธอ มาจาก “คนแปลกหน้า” ในละแวกบ้าน เป็นชายคนหนึ่งที่เปิดสตูดิโอเล็ก ๆ ที่กลิ่นน้ำมันสีลอยออกมาถึงถนน

เด็กหญิง Suzy  มักเดินผ่านหน้าต่างบานนั้นเสมอ วันหนึ่งชายคนนั้นเปิดประตูออกมา เชิญเธอเข้ามาดูภาพในบ้าน และพูดกับเธอสั้น ๆ ว่า “เวลาวาดภาพ ไม่ต้องพยายามให้เหมือนของจริงหรอก ลองดูให้เห็น “ของจริง” เหล่านั้นในแบบของเธอเอง”

คำพูดนั้นเหมือนลมหายใจฐานะศิลปินครั้งแรกของเธอ มันไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่กลับบอกกับเธอว่าการสร้างสรรค์งานศิลปะสามารถซื่อตรงกับสายตาและความเป็นตัวตนของตัวเธอเอง 

เมื่อเธอได้กลายเป็นศิลปินที่มีโอกาสสร้างงานศิลปะ เธอจึงทำหนังสือ My Bright Atelier เพื่อขอบคุณชายคนนั้น หนังสือเล่มนั้นพูดถึง “ห้องเล็ก ๆ ที่แสงลอดเข้ามา และเด็กคนหนึ่งที่เริ่มเชื่อว่าโลกภายในของตัวเองก็มีความหมาย”

หลังจากเรียนจบปริญญาโทที่ Camberwell College of Arts ในลอนดอน เธอพบหนังสือ artist book ของ Sue Coe บนชั้นของอาจารย์ผู้สอน แม้หนังสือเล่มนั้นจะไม่ใช่หนังสือเด็ก แต่ก็เป็นหนังสือศิลปะที่ใช้ภาพเป็นภาษา “นั่นคือวันที่ฉันรู้ว่าหนังสือสามารถเป็นศิลปะได้” เธอกล่าว 

นับจากนั้น เธอไม่ได้มองหนังสือเป็นเพียงสิ่งที่บรรจุเรื่องราว แต่เป็น “พื้นที่ของประสบการณ์” ที่ซึ่งภาพ เสียง กระดาษ และช่องว่าง เชื่อมโยงกันและสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย ทั้งความคิด ความรู้สึก ภาษา หรือความรู้บางอย่าง

ศิลปะของรอยพับ : เส้นบาง ๆ ระหว่างความจริงและจินตนาการ

ถ้าจะพูดถึงเอกลักษณ์ของ Suzy Lee คงไม่มีสิ่งใดโดดเด่นไปกว่า “รอยพับกลางหน้า” ของหนังสือ  เส้นตรงที่แบ่งหน้ากระดาษออกเป็นสองฝั่ง และมักถูกมองข้ามว่าเป็นเพียงข้อจำกัดของการพิมพ์ แต่สำหรับเธอ มันคือพื้นที่ลึกลับระหว่างสองโลก เป็นทั้งขอบเขตและประตู เป็นจุดที่เรื่องราวเริ่มขยับโดยไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ

ขอบคุณภาพจาก https://www.letstalkpicturebooks.com

เธอเริ่มสังเกตเส้นนั้นในตอนทำหนังสือ Mirror ซึ่งเล่าเรื่องเด็กหญิงคนหนึ่งที่เล่นอยู่หน้ากระจก ครึ่งหนึ่งของโลกเป็นความจริง อีกครึ่งคือภาพสะท้อน และรอยพับตรงกลางคือเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่าง “ฉัน” กับ “เธอ” ที่เป็นตัวเองในอีกด้านหนึ่ง เธอเคยเล่าว่า “ฉันหลงใหลในรอยพับตรงกลางของหนังสือ มันเหมือนเส้นแบ่งระหว่างสองโลก เส้นที่ทำให้ทั้งสองด้านมีชีวิตขึ้นมา” (Picturebook Makers, 2015) 

ใน Wave รอยพับนั้นกลายเป็นขอบฟ้า ฝั่งหนึ่งคือชายหาด อีกฝั่งคือทะเล เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ วิ่งเล่นอยู่บนขอบระหว่างทั้งสองด้านนั้น ข้ามไป ข้ามกลับ เหมือนการเต้นรำกับธรรมชาติ เธอไม่จำเป็นต้องพูดคำว่า “กลัว” หรือ “กล้า” เพราะผู้อ่านทุกคนเข้าใจอยู่แล้วว่าการยืนอยู่ตรงกลางระหว่างสิ่งที่รู้จักกับสิ่งที่ไม่รู้จักนั้นรู้สึกอย่างไร

และใน Shadow เส้นนั้นกลายเป็นขอบของแสง เด็กหญิงคนเดิมเล่นอยู่ในห้องเก็บของ เมื่อแสงไฟจากหลอดเดียวฉายลงบนพื้น เงาของสิ่งของรอบตัวเริ่มเคลื่อนไหวกลายเป็นอีกโลกหนึ่ง เด็กหญิงไม่ได้ข้ามเส้นนั้นด้วยเท้า แต่ด้วยจินตนาการ รอยพับที่ครั้งหนึ่งเป็นเพียงขอบกระดาษ จึงกลายเป็น “ขอบของความจริง” ที่ขยายออกไปเรื่อย ๆ เท่ากับความคิดของผู้อ่าน

สามเล่มนี้  Mirror, Wave, Shadow  มักถูกเรียกรวมกันว่า The Border Trilogy และไม่ใช่เพียงเพราะพวกมันใช้เส้นแบ่งกลางหน้าเหมือนกัน แต่เพราะทุกเล่มถามคำถามเดียวกันว่า “เส้นแบ่งระหว่างโลกสองใบอยู่ตรงไหนกันแน่?” ในโลกของเด็ก ความจริงกับจินตนาการยังไม่ถูกแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด และหนังสือของ Suzy Lee เธอพยายามเก็บพื้นที่ตรงนั้นไว้ให้คงอยู่ 

พื้นที่ที่ยังเชื่อว่าแสงกับเงา หรือทะเลกับฟ้า อาจเป็นสิ่งเดียวกันก็ได้

สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้อ่านแต่ละคนก็ “สร้างเส้นแบ่ง” ขึ้นใหม่ด้วยตัวเอง เธอเคยเล่าว่า เด็กบางคนอ่านหนังสือ Shadow ด้วยการวางหนังสือบนตักในมุม 90 องศา เพื่อให้เงาในภาพตกลงมาเหมือนของจริง บางคนถือหนังสือไว้เหนือหัว แล้วส่องไฟจากด้านหลังเพื่อดูว่าภาพเงาบนหน้าถัดไปจะซ้อนกันยังไง เธอบอกว่า “ผู้อ่านที่สร้างสรรค์ที่สุดในโลกคือเด็ก ๆ พวกเขามักค้นพบสิ่งที่ฉันไม่ได้ตั้งใจไว้เสมอ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขที่สุด” (GatheringBooks, 2015) สำหรับ Suzy Lee ผู้อ่านไม่ได้เป็นเพียงผู้รับสาร แต่เป็นผู้ร่วมสร้างความหมายในหน้าหนังสือไปพร้อมกับเธอ

รอยพับกลางหน้าในงานของ Suzy Lee จึงไม่ใช่ขอบเขตที่แบ่งโลกออกจากกัน แต่เป็น “พื้นที่ระหว่าง” ที่สิ่งต่าง ๆ ได้มาพบกัน เธอเรียกมันว่า “the in-between space”  พื้นที่ที่เรายังไม่แน่ใจว่าอยู่ฝั่งไหนของเส้น แต่ก็ยังไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง เพราะบางทีควมหมายอาจเกิดขึ้นในจังหวะที่เราแค่ “ยืนอยู่ตรงกลาง” ก็เป็นได้

เมื่อความเงียบกลายเป็นภาษา

ในโลกของ Suzy Lee “ความเงียบ” ไม่ใช่การหายไปของเสียง แต่ความเงียบก็คือเสียงอีกแบบหนึ่ง  เสียงที่เกิดขึ้นระหว่างการมองและการรู้สึก เธอมักบอกว่าเวลาคิดงาน หนังสือไม่ได้เริ่มจากถ้อยคำ แต่เริ่มจากภาพในหัว ภาพที่ค่อย ๆ เคลื่อนไหวเหมือนความทรงจำที่ยังไม่ตกผลึก เธอเคยพูดไว้ว่า “ฉันคิดเป็นภาพ เรื่องราวส่วนใหญ่เกิดจากภาพที่ต่อเนื่องกัน มันไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายเลยก็ได้ และบางเรื่องก็เล่าได้ดีที่สุดเมื่อไม่มีเสียงพูดใด ๆ” (KBook Interview, 2022)

ขอบคุณภาพจาก https://www.letstalkpicturebooks.com

ความเงียบในหนังสือของเธอจึงไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นช่องว่างที่ชวนให้ผู้อ่านเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย  เหมือนที่เรามองภาพถ่ายแล้วรู้สึกได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลความ ในหน้าหนังสืออย่าง Wave หรือ Shadow ไม่มีใครบอกเราว่าต้องรู้สึกอย่างไร แต่เมื่อเด็กหญิงในภาพหัวเราะหรือเผชิญคลื่นใหญ่ เรากลับรู้สึกบางอย่างที่ตรงกับตัวเองอย่างประหลาด 

Suzy บอกว่า “ถ้ามีคำบรรยาย ผู้อ่านจะจับความทันที แต่ถ้าไม่มีถ้อยคำ ผู้อ่านจะต้องหาความหมายด้วยตัวเอง ต้องใช้เวลาไตร่ตรอง และบ่อยครั้ง พออ่านรอบที่สอง เขามักจะมี ‘ช่วงเวลาของการตระหนักรู้’ เกิดขึ้นเอง” (The Korea Herald, 2022) Suzy ไม่ได้ต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจในแบบเดียวกับเธอ แต่ต้องการให้แต่ละคนwfhค้นพบเรื่องของตัวเองในหน้ากระดาษเหล่านั้น

สิ่งที่น่าสนใจคือ เด็ก ๆ กลับเข้าใจภาษาแบบนี้ได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เด็กไม่เคยหวาดกลัวหน้ากระดาษเปล่า ไม่ลังเลที่จะเติมช่องว่างด้วยจินตนาการ ในทางกลับกัน ผู้ใหญ่จำนวนมากกลับรู้สึกสับสนเมื่อเปิดหนังสือที่ไม่มีคำบรรยาย ทั้ง ๆ ที่สิ่งเดียวที่ต้องทำคือ ดู และ รู้สึก เธอบอกว่า “ผู้ใหญ่กังวลเวลาเห็นหนังสือไม่มีคำ แต่เด็กไม่กังวลเลย ถ้าหนังสือพูดกับพวกเขา และเด็กจะตอบกลับทันทีด้วยจินตนาการของตัวเอง” (The Korea Times, 2022)

บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมหนังสือของ Suzy Lee ถึงพูดกับคนได้ทุกวัย เพราะแม้จะถูกจัดอยู่ในหมวด “หนังสือเด็ก” แต่มันไม่ได้ตั้งใจจะอธิบายให้เด็กเข้าใจโลก หากแต่เปิดทางให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้กลับมาเข้าใจ ตัวเอง อีกครั้ง เธอเคยพูดว่า “ฉันไม่คิดว่าหนังสือภาพเป็นสิ่งที่มีไว้แค่ตอนเราเด็ก มันเป็นพื้นที่ที่เราทุกคนยังกลับมาค้นพบบางสิ่งได้เสมอ” (The Korea Times, 2022)

ภาษาของสีและแสง เมื่อสีไม่ใช่เครื่องมือ แต่คืออารมณ์ของเรื่องเล่า

Suzy Lee ไม่ได้ใช้สีเพื่อทำให้หนังสือดูสวย แต่ใช้มันเหมือนการเลือกเสียงดนตรีในภาพยนตร์ บางครั้งการเลือกใช้สีแค่เฉดสีเดียวก็เพียงพอจะบอกได้ทั้งหมดว่าความรู้สึกของตัวละครคืออะไร เธอมักเริ่มต้นจาก “ความรู้สึก” ก่อนเสมอ แล้วค่อยหาสีที่สามารถเล่าเรื่องนั้นได้โดยไม่ต้องใช้คำ เธอเคยพูดว่า “ฉันไม่เคยเลือกสีจากความชอบส่วนตัว แต่เลือกจากสิ่งที่มันพูดได้” (The Korea Herald, 2022)

ใน Wave สีดำกับสีน้ำเงินคือหัวใจของเรื่องราว ทั้งเล่มถูกวาดด้วยหมึกเพียงสองสี  สีดำของหมึกพู่กัน และสีน้ำเงินของคลื่นทะเล เด็กหญิงในชุดสีขาวค่อย ๆ เปียกจนกลายเป็นสีน้ำเงิน เหมือนระหว่างเล่นกับคลื่น เธอค่อย ๆ กลืนตัวเองเข้ากับธรรมชาติ หนังสือไม่ได้พูดถึงการเติบโตอย่างตรงไปตรงมา แต่สีทำหน้าที่แทนถ้อยคำทุกอย่าง จากความอยากรู้อยากเห็น ไปจนถึงความกลัว ความสูญเสีย และความกล้าที่จะเริ่มใหม่อีกครั้ง “สีน้ำเงินของเสื้อที่เปียกคือจุดที่เธอเปลี่ยนไป” เธอกล่าว “มันไม่ใช่แค่สีน้ำเงิน แต่มันคือร่องรอยของประสบการณ์” (The Korea Herald, 2022)

ใน Shadow โลกทั้งเล่มมีเพียงสองสี  เหลืองกับดำ สีเหลืองคือพื้นที่แห่งแสง ความคิด และจินตนาการ ส่วนสีดำคือโลกของความจริงและขอบเขต เมื่อเงาของสิ่งของกลายเป็นสัตว์ในความฝัน เส้นแบ่งของทั้งสองสีเริ่มเลือนจนกลายเป็นสิ่งเดียวกัน การไม่มีคำในภาพไม่ได้ทำให้เรื่องราวแน่นิ่ง แต่มันกลับเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ผ่านจังหวะของแสงที่เปลี่ยนจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง

เธอเคยเล่าว่า ตอนทำ The Border Trilogy (Miror, Wave และ Shadow) เธอตั้งใจ “ซ่อนร่องรอยของเทคโนโลยี” ให้ได้มากที่สุด แม้งานทั้งหมดจะผ่านกระบวนการดิจิทัลในขั้นตอนสุดท้าย แต่เธอไม่อยากให้มันดู “เนี๊ยบเกินไป” เธออยากให้คนรู้สึกถึงมือที่วาด “ฉันใช้คอมพิวเตอร์เพื่อจัดองค์ประกอบ แต่ฉันอยากให้ภาพยังคงมีกลิ่นของหมึก มีลมหายใจของกระดาษอยู่” สำหรับเธอ ศิลปะไม่ใช่การขจัดความไม่สมบูรณ์ แต่คือการยอมรับว่าร่องรอยความผิดพลาดเล็ก ๆ คือสิ่งที่ทำให้หนังสือมีชีวิต

ในทุกเล่ม สีคือ “อุณหภูมิของเรื่องราว” ที่เปลี่ยนไปตามอารมณ์ของตัวละคร เธอมักบอกว่า “ทุกสีมีเสียงของมันเอง ถ้าเราฟังดีพอ เราจะได้ยินว่ามันพูดอะไร” ในตอนที่เธอได้รับรางวัล Hans Christian Andersen Award ปี 2022 คณะกรรมการเขียนไว้ในคำประกาศว่า “เธอสามารถถ่ายทอดความจริงที่ลึกที่สุดด้วยภาษาที่เรียบง่ายที่สุด” และเมื่อมองหนังสือของเธอ เราก็เข้าใจว่าความเรียบง่ายนั้นไม่ได้เกิดจากการลดทอน แต่จากการเลือกจะไม่ใช้ภาษาในสิ่งที่ภาพได้พูดไปหมดแล้ว

สี แสง และเงาในงานของ Suzy Lee จึงไม่ได้อยู่เพื่อตกแต่ง แต่เพื่อให้เรามองเห็นสิ่งที่คำพูดไม่เคยพูดได้ ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในใจมนุษย์ ความอ่อนไหวที่สั่นอยู่ระหว่างความจริงกับความฝัน และเสียงบางเสียงที่ยังคงอยู่ แม้หน้าหนังสือจะปิดลงไปนานแล้ว

เมื่อหนังสือไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่อง แต่เพื่อมีชีวิตของตัวเอง

สำหรับ Suzy Lee ผู้ที่ตกหลุมรักหนังสือ เธอเชื่อว่าหนังสือไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อคนได้อ่านเพียงอย่างเดียว แต่เป็นพื้นที่ที่คนอ่านได้สัมผัส ได้พลิก ได้ฟังเสียงหน้ากระดาษ และได้รู้สึกถึงน้ำหนักในมือ “หนังสือคือศิลปะที่จับต้องได้ พกพาได้ เป็นส่วนตัว แต่ก็เปิดกว้างในเวลาเดียวกัน” สำหรับเธอ หนังสือคือศิลปะที่มนุษย์ธรรมดาทุกคนสามารถมีไว้ได้ในบ้าน  ไม่ต้องเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ ไม่ต้องมีคำอธิบายประกอบ ก็ยังรู้สึกได้ว่าศิลปะอยู่ตรงหน้า

และเธอมองว่า หนังสือมีชีวิตอยู่ได้เพราะผู้อ่าน  “ตอนที่หนังสือยังอยู่บนโต๊ะ มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์มันจะมีชีวิตก็ต่อเมื่อมีใครบางคนเปิดมันขึ้นมา และเริ่มมอง” (KBook Interview, 2022) และเพราะมองหนังสือเหมือนสิ่งมีชีวิต เธอจึงเคารพใน “ข้อจำกัด” ของมันมากกว่าพยายามจะเอาชนะ “ฉันไม่พยายามให้หนังสือเป็นอย่างอื่นนอกจากหนังสือ ฉันแค่พยายามฟังว่ามันอยากจะเป็นแบบไหน” (GatheringBooks, 2015) บางครั้งหนังสืออยากอยู่ในแนวตั้ง บางครั้งอยากนอนราบ บางเล่มอยากเงียบสนิท บางเล่มอยากให้สีมีเสียงดังขึ้นมาหน่อย 

หนังสือทุกเล่มของ Suzy Lee จึงเต็มไปด้วยชีวิตในแบบของมัน มีการเต้นรำ มีลมหายใจ และมีห้วงความคิดระหว่างจังหวะที่เรามองผ่านไป เธอไม่ได้สร้างหนังสือเพื่อให้คนอ่านเข้าใจ แต่เพื่อให้พวกเขา “ได้อยู่ร่วม” กับมันสักครู่หนึ่ง เหมือนเราได้อยู่ในห้องเดียวกับใครบางคนที่ไม่พูดอะไรเลย แต่กลับรู้สึกว่าเราได้รับความเข้าใจ

กระบวนการสร้างสรรค์ : ห้องทำงานในหัวใจของศิลปิน

ไม่มีสูตรตายตัวสำหรับการสร้างหนังสือภาพในแบบของ Suzy Leeแรงบันดาลใจของเธอมักมาจากสิ่งเล็ก ๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่ทันสังเกต เช่น แสงที่ลอดผ่านผ้าม่านในตอนเช้า หรือเงาของชั้นวางของในห้องเก็บของ เธอเล่าว่าแนวคิดของ Shadow เกิดขึ้นจากวันหนึ่งที่เธอกำลังมองเงาบนพื้น แล้วเห็นว่ามันเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต เธอนึกถึงนิทานโบราณเรื่อง Narcissus ที่หลงรักเงาของตัวเอง ไปจนถึง Peter Pan ที่เงามีตัวตนแยกจากเจ้าของ และภาพวาดของ Giorgio de Chirico ที่เล่นกับความว่างและเงา “ฉันแค่สงสัยว่าถ้าเด็กคนหนึ่งได้เล่นกับเงาของตัวเองจริง ๆ เขาจะเห็นอะไรบ้าง” เธอกล่าว (Picturebook Makers, 2015)

ความอยากรู้นั้นทำให้เธอเป็นศิลปินที่ไม่หยุดทดลอง ทุกครั้งที่เริ่มงานใหม่ เธอไม่รู้หรอกว่ามันจะกลายเป็นหนังสือไร้คำหรือมีคำพูด เธอปล่อยให้ภาพเป็นผู้นำ แล้วฟังมันไปเรื่อย ๆ “ฉันไม่เคยตัดสินใจล่วงหน้าว่าจะทำหนังสือแบบไหน มันจะเป็นหนังสือภาพไร้คำหรือไม่ ฉันก็แค่ปล่อยให้เรื่องราวตัดสินเอง” (Let’s Talk Picturebooks, 2016)

ในสตูดิโอของเธอมีโต๊ะเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยกระดาษเปื้อนหมึก พู่กันที่ใช้ซ้ำจนด้ามสึก และภาพร่างที่ถูกขีดฆ่าไปครึ่งหนึ่ง เธอมักทำงานด้วยมือก่อนเสมอ  วาด ลงสี ตัดแปะ และทดลองการจัดวางด้วยกระดาษจริง เธอบอกว่า “ฉันต้องจับมัน ต้องเห็นแสงสะท้อนบนกระดาษ ถึงจะเข้าใจว่ามันต้องเป็นแบบไหน” แม้สุดท้ายเธอจะสแกนภาพเข้าสู่ระบบดิจิทัลเพื่อจัดวางเลย์เอาต์ แต่เธอยืนยันเสมอว่าความรู้สึกของหมึกและกระดาษจริงเป็นสิ่งที่แทนไม่ได้

หนังสือแต่ละเล่มของเธอจึงเป็นเหมือนบันทึกของการทดลอง  ไม่ใช่แค่การทดลองทางศิลปะ แต่เป็นการทดลองเข้าใจชีวิต ผ่านเส้น เงา แสง และการเงียบพอที่จะฟังเสียงบางอย่างที่พูดอยู่ในใจ

ศิลปะแห่งความเรียบง่าย ซึ่งสิ่งที่ยากที่สุดคือการทำให้คนทุกวัยเข้าใจได้พร้อมกัน

สิ่งที่ Suzy Lee ทำมาตลอดอาจดูเหมือนเรียบง่าย  หนังสือที่มีภาพไม่กี่สี มีคำบรรยายไม่มาก ไม่มีเส้นเรื่องที่ซับซ้อน  แต่ในความเรียบนั้นซ่อนความยากที่สุดเอาไว้ เธอต้องสร้างานที่ “เด็กเข้าใจได้” และในเวลาเดียวกัน “ผู้ใหญ่ก็รู้สึกได้”

เธอเคยพูดอย่างถ่อมตัวว่า “การทำหนังสือที่เด็กเล็ก ๆ เข้าถึงได้ง่ายพอ และในขณะเดียวกันซับซ้อนพอสำหรับผู้ใหญ่ คือสิ่งที่ยากที่สุดในงานของฉัน” (GatheringBooks, 2015) ความยากนั้นไม่ได้อยู่ที่เทคนิคหรือองค์ประกอบศิลป์ แต่อยู่ที่การหาสมดุลระหว่าง ความชัดเจนกับความคลุมเครือ ระหว่างการพูดให้พอรู้เรื่อง และการทำให้คนรู้สึกได้เอง

ในโลกของเธอ “เด็ก” ไม่ใช่ผู้อ่านที่เพียงตัวยังไม่โต แต่คือมนุษย์ที่มีความสามารถในการมองเห็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ลืมไปแล้ว เธอเชื่อว่าเด็กคือผู้อ่านที่ซื่อสัตย์ที่สุดและเปิดกว้างที่สุดในโลก “เด็ก ๆ คือผู้อ่านที่สร้างสรรค์ที่สุด พวกเขามักเห็นสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็น และเติมช่องว่างในหนังสือด้วยจินตนาการของพวกเขาเอง” (GatheringBooks, 2015)

Suzy เล่าว่า มีเด็กคนหนึ่งถือหนังสือ Wave แล้วถามว่า “เด็กผู้หญิงในเรื่องนี่คือเธอใช่ไหม?”
Suzy ตอบไม่ได้ เพราะในแง่หนึ่งเด็กอาจพูดถูกในแบบของเขา เด็กหญิงในเรื่องอาจเป็นตัวเธอเองในวัยเยาว์ หรืออาจเป็นใครก็ได้ที่เคยยืนอยู่ตรงชายหาดแห่งความกล้าและความกลัว  ที่ที่เราต้องเผชิญกับบางสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวของเรา และเลือกว่าจะถอยหรือจะเล่นกับมัน

นั่นคือสิ่งที่เธอเรียกว่า “ความเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบาย” ความสามารถของเด็กที่จะเชื่อมโยงกับอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องแปลมันเป็นภาษา ในขณะที่ผู้ใหญ่จำนวนมากกลับพยายามหาความหมายในทุกหน้า เธอบอกว่า “บางครั้งเด็กอ่านด้วยหัวใจ ส่วนผู้ใหญ่พยายามอ่านด้วยสมอง” และสิ่งที่เธอพยายามทำมาตลอด คือคืนพื้นที่ให้หัวใจได้อ่านอีกครั้ง

รางวัลที่แท้จริงของเธอจึงไม่ใช่เหรียญหรือคำชื่นชมจากสถาบันศิลปะ แต่คือช่วงเวลาที่เธอเห็นเด็กคนหนึ่งหัวเราะ หยุด หรือชี้ไปที่ภาพใดภาพหนึ่งในหนังสือ แล้วพูดว่า “หนูเข้าใจแล้ว” แม้จะไม่มีคำบอกเลยก็ตาม “ตอนนั้นเองที่ฉันรู้ว่าหนังสือของฉันมีชีวิต” เธอกล่าว 

อ้างอิง

  1. Lee Suzy: Picture Book Artist Lee Suzy – K-Book Online (EN) โดย Publication Industry Promotion Agency of Korea, 2 Aug 2021.
  2. Suzy Lee – Blog of Picturebook Makers, “Suzy Lee” (23 Jun 2015)
  3. “Let’s Talk Illustrators #35: Suzy Lee” – Let’s Talk Picturebooks (8 Aug 2017)
  4. “Korean picture book authors say their stories transcend borders, generations” – The Korea Times, 3 Dec 2024


Writer

Avatar photo

Admin Mappa Mappa

Illustrator

Avatar photo

Arunnoon

มนุษย์อินโทรเวิร์ตที่อยากสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คนผ่านภาพวาด

Related Posts